เครือซีพี จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' พร้อมกัน 35 จุดทั่วประเทศ
เครือซีพี และกลุ่มบริษัทในเครือฯ รวมพลังจิตอาสา ภาครัฐ ชุมชนและประชาชน จัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ตามโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 พร้อมกัน 35 จุดทั่วประเทศ



คณะผู้บริหารและเพื่อนพนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มบริษัทในเครือฯ  ร่วมกันจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์  ตามโครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ”  นำโดย นายขจร เจียรวนนท์ กรรมการบริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ดร.นริศ  ธรรมเกื้อกูล  ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มโลตัสส์เอเชีย-แปซิฟิก (ยกเว้นประเทศจีน) นายจอมกิตติ  ศิริกุล  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ นายเรวัติ  หทัยสัตยพงศ์  รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)  นายภูมิชัย  ตรัยดลานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี โซเชียลอิมแพคท์ จำกัด นายโกศล สิงหนาท ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตบางขุนเทียน พร้อมด้วยพนักงานซีพีอาสา และประชาชนกว่า  200  คน ร่วมใจผนึกกำลังทำความดี ปลูกป่าชายเลนและเก็บขยะบริเวณพื้นที่ป่าชายเลนทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังได้จัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ในอีก 34 จุด มีเพื่อนพนักงานซีพีอาสากว่า 1,700 คนเข้าร่วมโดยพร้อมเพียงกันทั่วประเทศ



นายขจร เจียรวนนท์ กรรมการบริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด  กล่าวว่า  ตามที่ประธานอาวุโสธนินท์ เจียรวนนท์ มีนโยบายให้ทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนเป็นวันจิตอาสาประจำปีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม และเพื่อสนองพระราโชบายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโครงการจิตอาสาพระราชทานร่วมกันทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สุขของชุมชนโดยรอบ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน



ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือฯ ได้ร่วมจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตามโครงการจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ”  พร้อมกันทั่วประเทศ ในปีนี้กิจกรรมหลักได้ร่วมกับเขตบางขุนเทียนปลูกต้นโกงกางในพื้นที่ป่าชายเลนบางขุนเทียน ตามแนวพระราชดําริด้านการอนุรักษ์และพัฒนาป่าชายเลน ในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนที่นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศชายฝั่ง อันเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์น้ำ และยังมีประโยชน์มากมาย อาทิ ช่วยป้องกันการพังทลายของดินชายฝั่งและดูดซับสิ่งปฏิกูลต่างๆ ช่วยปกป้องประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งจากภัยธรรมชาติอันเนื่องมาจากความสมดุลของระบบนิเวศบริเวณชายฝั่ง อีกทั้ง ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนขนาดมหาศาล เนื่องจากมีอัตราการสังเคราะห์แสงสูง จึงช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาก และสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปของเนื้อไม้ และกักเก็บคาร์บอนในดินได้ในปริมาณที่มากกว่าป่าบกถึง 6 เท่าตัว นอกจากนี้ ยังเพิ่มปริมาณออกซิเจนในบรรยากาศ  จึงนับเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามหาศาลทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ และเป็นสถานที่พักผ่อนและแหล่งศึกษาธรรมชาติ อีกด้วย



นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจในเครือซีพี ยังได้จัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ที่หลากหลาย ในพื้นที่รอบสำนักงาน และพื้นที่สาธารณะ อาทิเช่น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด มหาชน หรือ CPF ที่โรงเพาะฟักลูกกุ้งตะวัน จ.พังงา จัดกิจกรรมเก็บขยะ ณ ชายหาดทับตะวัน และหน่วยงานวิจัยพัฒนา โรงเพาะฟักลูกกุ้งท่าบอน จัดกิจกรรมปลูกมะพร้าวชายทะเลวัดหัวคุ้ง อ.ระโนด จ.สงขลา  ส่วนทางด้านบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) จ.เชียงใหม่  ทำความสะอาดพื้นที่ พัฒนาโรงเรียน ปรับปรุงสถานทำสื่อการเรียนการสอน โรงเรียนวัดแม่สะลาบ ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ และ บริษัท ซีพีแรม จำกัด จ. ขอนแก่น  จัดกิจกรรมซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ทาสีเครื่องเด็กเล่น ทำความสะอาด แจกอาหาร



ขณะที่กลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (CPPC) และ บ. เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (โลตัส) จัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ที่สถานพักตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ และปลูกป่าในพื้นที่โรงงานสีคิ้ว จ.นครราชสีมา  ขณะที่ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จํากัด (ธุรกิจไอศกรีม ) จัดกิจกรรมตีเส้นสนามโรงเรียน ณ โรงเรียนวัดบางบ่อ จ.สมุทรปราการ และ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด (ธุรกิจสัตว์เลี้ยง) จัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์  ที่โรงเรียนคลองเจริญราษฎร์ จ.สมุทรปราการ

ด้าน CP Medical Center  จัดกิจกรรมอาสาให้กับนักเรียน โรงเรียนวัดกาหลง จ.สมุทรปราการ อาทิ การปลูกพืชผักสวนครัว การแนะนำวิธีล้างมือและใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้อง การปรับปรุงห้องสมุด การเลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียน และการมอบสิ่งของต่างๆ ให้กับโรงเรียน เป็นต้น  และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมกับสำนักงานเขตห้วยขวาง  ทำความสะอาดทางเดินริมถนนรัชดา และ ถนนหน้าอาคารทรู ทาวเวอร์รัชดา และเก็บขยะบริเวณคลองยายสุ่น ถนนรัชดา เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นต้น

 



Create Date : 28 พฤศจิกายน 2565
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2565 8:53:33 น.
Counter : 415 Pageviews.

0 comment
ซีพี จัดประกวดเรียงความชิงทุนการศึกษา น้อมรำลึกวันพระราชทานธงชาติไทย
เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ดำเนินโครงการความกตัญญูต่อแผ่นดินและความภูมิใจในธงชาติไทยขึ้นมา เพื่อน้อมรำลึกในวันพระราชทานธงชาติไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กันยายนของทุกปี

ในปีนี้เป็นโอกาสครบรอบ 105 ปีวันพระราชทานธงชาติไทย จึงประกาศเปิดรับผลงานเพื่อเข้าร่วมการประกวดเขียนเรียงความ ในหัวข้อ “ความกตัญญูต่อแผ่นดินและความภูมิใจในธงชาติไทย” เพื่อส่งเสริมและปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนไทยมีความรักและความกตัญญูต่อแผ่นดินไทยและมีความภูมิใจในธงชาติไทย

โดยเชิญชวนเด็กและเยาวชน ระดับประถมศึกษาตอนต้น – ตอนปลาย และมัธยมศึกษาตอนต้น – ตอนปลาย ส่งผลงานเรียงความเข้าร่วมประกวดชิงทุนการศึกษารวม 60,000 บาท

ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนที่สนใจสามารถส่งผลงานเรียงความด้วยลายมือตัวบรรจงหรือพิมพ์ โดยมีความยาวไม่เกิน 10-20 บรรทัด มีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูต่อแผ่นดินและความภูมิใจในธงชาติไทย และยกตัวอย่างการกระทำหรือสิ่งที่แสดงถึงความกตัญญูต่อแผ่นดิน



รางวัลแบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่

1. ระดับชั้นประถมศึกษา 5 รางวัล รางวัลที่ 1 เป็นทุนการศึกษา 10,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองลงมาเป็นทุนการศึกษา 5,000 บาท จำนวน 4 รางวัล  

2. ระดับมัธยมศึกษามี 5 รางวัลเช่นกัน รางวัลที่ 1 เป็นทุนการศึกษา 10,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองลงมาเป็นทุนการศึกษา 5,000 บาท จำนวน 4 รางวัล 

ผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานเรียงความมาที่อีเมล wearecp@gmail.com  ภายในวันที่ 20 กันยายน 2565

ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลและรายละเอียดการรับรางวัล ผ่านเว็บไซต์ //www.wearecp.com ในวันที่ 26 กันยายน 2565

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://www.wearecp.com/cpg-12092022/

********************* 
หลักเกณฑ์และการตัดสิน การประกวดเรียงความเรื่อง “ความกตัญญูต่อแผ่นดินและความภูมิใจในธงชาติไทย” เนื่องในวันธงชาติไทย 28 กันยายน 2565

คุณสมบัติผู้ส่งผลงานเข้าประกวด : กำลังศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนต้น – ตอนปลาย และมัธยมศึกษาตอนต้น – ตอนปลาย

ลักษณะผลงานที่ส่งเข้าประกวด
2.1 เป็นเรียงความที่มีเนื้อหาสาระสอดคล้องกับหัวข้อที่จัดประกวด แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูต่อแผ่นดินและความภูมิใจในธงชาติไทย โดยมีการยกตัวอย่างการกระทำหรือสิ่งที่แสดงถึงความกตัญญูต่อแผ่นดิน
2.2 เขียนเรียงความด้วยลายมือตัวบรรจง หรือพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ตัวอักษร Cordia New ขนาด 16 จำนวน 10-20 บรรทัด หรือ ไม่เกินหน้ากระดาษ A4
2.3 ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ไม่คัดลอก ดัดแปลง หรือเลียนแบบมาจากผลงานของผู้อื่น

เกณฑ์การพิจารณาตัดสิน
3.1 เนื้อหา
3.1.1 ด้านการแสดงให้เห็นถึงความภูมิใจในชาติไทย ธงชาติไทยและความกตัญญูที่มีต่อแผ่นดินไทย  50 คะแนน
3.1.2 ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้ตระหนักถึงความภูมิใจในชาติไทย ธงชาติไทย และความกตัญญูต่อประเทศไทย 30 คะแนน
3.2 การใช้ภาษา
3.2.1 ใช้ภาษาอย่างสละสลวย  ถูกต้องตามอักขระวิธี  สื่อสารได้ชัดเจน  20 คะแนน

วิธีการส่งผลงานเข้าประกวด
4.1 ส่งผลงานเขียนด้วยลายมือตัวบรรจง หรือพิมพ์แนบเป็นไฟล์นามสกุล.doc (Microsoft Word 2003)
4.2 ใส่หัวข้อ (subject) ว่า เรียงความเรื่อง “ความกตัญญูต่อแผ่นดินและความภูมิใจในธงชาติไทย”
4.3 ระบุชื่อ-นามสกุล สถานศึกษาและระดับชั้นการศึกษา
4.4 ส่งไฟล์เรียงความมาที่อีเมล wearecp@gmail.com ภายในวันที่ 20 กันยายน 2565

รางวัลการประกวด
ระดับชั้นประถมศึกษา 5 รางวัล 10,000 บาท 1 รางวัล / 5,000 บาท 4 รางวัล
ระดับชั้นมัธยมศึกษา 5 รางวัล 10,000 บาท 1 รางวัล / 5,000 บาท 4 รางวัล

ประกาศผลการตัดสิน
6.1 ประกาศผลภายในวันที่ 26 กันยายน 2565
6.2 ประกาศผลและแจ้งรายละเอียดการรับรางวัลทาง https://www.wearecp.com
6.3 ผลการตัดสินของคณะกรรมการการตัดสินประกวดเรียงความถือเป็นที่สิ้นสุด

*ผู้ประสานงานโครงการ : คุณ พัชราภา ฤกษ์ฉวี 081-962-1681


 



Create Date : 15 กันยายน 2565
Last Update : 15 กันยายน 2565 15:42:59 น.
Counter : 261 Pageviews.

0 comment
กลุ่มทรูยืนหนึ่งต่อเนื่อง คว้าแชมป์ DJSI อีกครั้ง ตอกย้ำองค์กรที่ยั่งยืน
การจัดอันดับสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2563 เพิ่งประกาศผลไปหมาด ๆ โดยในปีนี้ กลุ่มทรู ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง กับการเป็นองค์กรสื่อสารโทรคมนาคมไทยเพียงรายแรกและรายเดียวที่ติดอันดับ DJSI ประเภทตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) ด้วยคะแนนสูงสุดที่ 1 (World Industry Leader) ของโลก 3 ปีซ้อนของหมวดธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม รวมถึงคงสถานะเป็นสมาชิกดาวน์โจนส์ ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 (2560 – 2563)
 


ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจขององค์กรต่าง ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม โดยไม่สามารถมุ่งเน้นในเรื่องของผลกำไรทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงความสมดุลรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยิ่งต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมากมายบนพื้นฐานของธรรมาภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
 
นอกจากนี้ บริษัทที่เข้าร่วมการประเมิน DJSI ยังแสดงให้เห็นว่ามีการตั้งเป้าหมายและการวางแผนระยะยาวต่อการสร้างความเข้มแข็ง ทั้งในด้านผลประกอบการทางธุรกิจ การห้ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
 
กลุ่มทรูมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นมาตลอด โดยเดินหน้าให้บรรลุเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ ในปี 2030 คือ 1. การเป็นองค์กร carbon neutral ลดการปลดปล่อยก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ เลิกใช้เทคโนโลยีที่สิ้นเปลืองพลังงาน และใช้พลังงานทางเลือก และ 2. กำหนดให้ของเสียที่เกิดจากการดำเนินงานต้องเป็นศูนย์


 
ล่าสุด คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หัวเรือใหญ่ผู้เป็นแรงผลักดันสำคัญของกลุ่มทรูในการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน ได้แสดงความเห็นบนเวทีสัมมนาเพื่อสังคมแห่งปี ในหัวข้อ “ภาคธุรกิจไทย ในวิถียั่งยืน” จัดโดย มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ร่วมกับประชาชาติธุรกิจ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า
 
ความตระหนักรู้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต การทำธุรกิจ และความยั่งยืน ประสบการณ์จากหลายเวทีทั่วโลก เช่น World Economic Forum, One Young World และ UNGC บอกว่า ผู้นำส่วนใหญ่เห็นเหมือนกันว่า ปัญหาทั้งหมดต้องแก้ด้วยเอกชน เพราะภาครัฐส่วนใหญ่ในโลกไม่มีความต่อเนื่อง เอกชนมีความต่อเนื่องยาวนานกว่ารัฐบาล เพราะเมื่อมีรัฐบาลใหม่ ก็มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย นอกจากนี้ เอกชนยังอยู่ระหว่างสองโลก โลกหนึ่งคือการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขณะเดียวกันก็ต้องทำตามความต้องการทางการตลาดด้วย จึงเห็นทั้งสองด้าน
 
“หากเอกชนตระหนักรู้ว่า บทบาทของตัวเองสำคัญ ไม่ใช่แค่เรื่องการทำ CSRs แต่สามารถขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาระดับโลกได้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอันดับแรก อยากให้มองว่า เอกชนเหมือนครอบครัวขนาดใหญ่ เราต้องดูแลคนในครอบครัวเราเอง ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แบ่งบทบาทหน้าที่ในบ้านกัน หากบริษัทตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดว่า จะทำรายได้ ทำกำไร ตามเป้าหมายอย่างดียว ความเป็นบริษัทก็จะไม่มีความเข้มแข็ง เพราะวัฒนธรรมองค์กรในการช่วยเหลือกันไม่มี บริษัทก็จะไม่ยั่งยืน”
 
นอกจากนี้ คุณศุภชัยยังสนับสนุนองค์กรต่าง ๆ ให้ตั้งเป้าหมาย โดยควรมองภาพใหญ่ ๆ เช่น จะเป็นองค์กรที่ช่วยสร้างคน สร้างงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และถ่ายทอดองค์ความรู้ เป็นต้นว่า
 
1. ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่จะช่วยลดสภาวะโลกร้อน (global warming) เพราะอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีการคาดการณ์ว่า ถ้าบวกเพิ่มอีก 10% สายพันธุ์ของสัตว์โลกจะหายไป 16% รวมถึงมนุษย์ด้วย
2. ตั้งเป้าบรรลุสถานะของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (net zero carbon)
3. ตั้งเป้าลดขยะเหลือศูนย์ (zero waste)
4. สร้างความเสมอภาค (human rights) โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา
 
เมื่อภาคธุรกิจเริ่มตั้งเป้าในประเด็นเหล่านี้ ก็จะเริ่มขยับและรู้ว่าจะเดินหน้าก้าวต่อไปได้อย่างไร
 



อย่างไรก็ตาม การสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของความยั่งยืนลงไปสู่รากหญ้านั้น คุณศุภชัยมองว่า สื่อมีความสำคัญมาก เพราะสื่อเปรียบเสมือนห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็ต้องได้รับการสนับสุนนอย่างเต็มที่จากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น ให้ incentive สำหรับการผลิตรายการที่ให้ความรู้เรื่องความยั่งยืนในช่วงเวลาไพร์มไทม์ที่มีผู้ชมจำนวนมาก แล้วหากคอนเทนท์เหล่านี้ไปอยู่ในสื่อออนไลน์ด้วย ก็จะยิ่งทำให้เข้าถึงครอบคลุมกลุ่มคนทุกวัย
 
เรื่องของความยั่งยืนเป็นวาระสำคัญของโลก จึงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ภาคเอกชนไทยเริ่มขยับแล้ว โดยการมีบทบาทเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของโลกเรา ซึ่งเราทุกคนที่เหลือก็ต้องเริ่มสร้างความตระหนักรู้ตั้งแต่บัดนี้ โดยเรียนรู้และพัฒนาไปด้วยกัน เพื่อให้เราทุกคนมีคุณชีวิตที่ดีขึ้น
 

 
------------
 



Create Date : 18 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2563 8:26:59 น.
Counter : 995 Pageviews.

0 comment
โครงการเลี้ยงไก่ไข่ เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โรงเรียนบ้านแสนสุข จัดการผลผลิตเลี้ยงชาวชุมชน



วันนี้ .....น้องๆ โรงเรียนบ้านแสนสุข ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียน 100 กว่าคน อยู่ในถิ่นกันดารติดประเทศกัมพูชา เด็ก 70% เป็นชาวกัมพูชา และ 30% เป็นเด็กไทย กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว หลังหยุดยาวจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19

แม้โรงเรียนที่นี่จะอยู่ติดแนวชายแดน แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี โดยผู้บริหารของสถานศึกษาและคุณครู ทำให้โรงเรียนสามารถเป็นตัวอย่างของการจัดการผลผลิตจากกิจกรรมโครงการ “เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ซึ่งไม่เพียงการบริหารจัดการผลผลิตไข่ไก่เพียงพอเป็นอาหารมื้อกลางวันของนักเรียนในช่วงที่เปิดภาคเรียนตามปกติ แต่ยังเกื้อกูลสู่ชุมชน และเป็นแหล่งอาหารในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิดอีกด้วย

บรรจรงค์ วรเศรษฐสุขศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแสนสุข เล่าว่า โรงเรียนคิดไกลเกินกว่าคำว่าโรงเรียนมานานแล้ว ไม่ได้คิดแค่ว่านักเรียนมาเรียน แต่ติดตามไปถึงเรื่องภาวะโภชนาการของเด็ก และการเป็นแหล่งอาหารในภาวะวิกฤติ เช่น ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ช่วยโรงเรียนและชุมชนได้มากที่สุด เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่จากโครงการ ซึ่งเก็บผลผลิตได้ 4 แผงต่อวัน จะถูกนำมาจัดสรรเพื่อจำหน่ายให้กับชุมชน 3 แผง ในราคาย่อมเยาแผงละ 80 บาท ส่วนอีก 1 แผง เตรียมไว้สำหรับใส่ตู้ปันสุขของชุมชน โดยทุกๆ 5 วัน โรงเรียนจะนำไข่ไก่ใส่ถุง ถุงละ 5 ฟอง พร้อมข้าวสาร 1 กิโลกรัม จำนวน 30 ชุดไปใส่ตู้ปันสุข

นอกจากนี้ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเด็กๆ ไม่ได้มาโรงเรียน และโรงเรียนไม่ต้องนำผลผลิตไข่ไก่มาทำอาหารกลางวันให้นักเรียน ในช่วงนั้นจึงสามารถนำผลผลิตไข่ไก่มาทำอาหารเพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือชุมชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19 รวมทั้งแจกจ่ายให้เด็กนักเรียนไทยและกัมพูชา



ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงปิดเทอมก็ตาม นักเรียนสามารถมารับข้าวห่อที่โรงเรียนทำ เช่น ข้าวกะเพราไข่ดาว ข้าวไข่เจียว ซึ่งโรงเรียนจัดไว้จำนวน150 ห่อ เพื่อแจกจ่ายวันเว้นวัน ซึ่งนอกจากไข่ไก่ซึ่งเป็นวัตถุดิบจากโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ แล้ว โรงเรียนยังนำเงินจากการจำหน่ายผลผลิตไข่ไก่ให้กับชุมชนมาซื้อวัตถุดิบอื่นๆ ในการประกอบอาหาร เช่น ข้าวสาร และ เนื้อหมู



โรงเรียนบ้านแสนสุขเป็น 1 ใน 824 โรงเรียน ที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท โดยโครงการมีเป้าหมายส่งเสริมเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลและถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศเข้าถึงอาหารโปรตีนคุณภาพ คือ ไข่ไก่ และมีส่วนร่วมบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชน รวมทั้งฝึกทักษะให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงไก่ไข่ สามารถนำไปเป็นอาชีพติดตัวได้ในอนาคต

 




Create Date : 03 สิงหาคม 2563
Last Update : 3 สิงหาคม 2563 17:29:28 น.
Counter : 735 Pageviews.

0 comment
เอกชนร่วมสานอนาคตการศึกษาไทยให้ยั่งยืน ยกระดับ CONNEXT ED สู่มูลนิธิ
จากจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2559 ด้วยเล็งเห็นว่า งานด้านการศึกษา เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันดำเนินการแบบจริงจัง และมีนโยบายชัดเจน จึงเกิดการผนึกกำลังของ 3 ภาคส่วนหลัก คือ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน โดยมี 12 องค์กรเอกชนเป็นแกนนำสำคัญ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาของไทยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ได้แก่

1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
3. บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
4. บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน)
5. บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
6. กลุ่มมิตรผล
7. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
8. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
9. เอสซีจี
10. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
11. บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ
12. บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)



 

วันนี้ โครงการสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี พัฒนาไปอีกขั้น ถูกยกระดับขึ้นเป็น “มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED)” เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนการศึกษาไทย ให้มั่นคงและยั่งยืน ตามแนวทาง 5 ยุทธศาสตร์หลัก พร้อมเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนรวม ให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนไทย

 

 

โดยเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 มีการจัดประชุมคณะกรรมการบริหารมูลนิธิ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2563 เพื่อร่วมหารือและวางแผน สานต่อการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงถอดบทเรียนและขยายผลตัวอย่างโมเดลองค์ความรู้ (Best Practice) ของแต่ละองค์กรเอกชน สู่สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ และเตรียมพัฒนานวัตกรรม “แพลตฟอร์มการบริจาคเพื่อการศึกษา” (Crowdfunding) ในอนาคต เพื่อเป็นสื่อกลางในการระดมทุน และสร้างโอกาสให้ทุกคนได้เป็น “ผู้ให้” ร่วมสานอนาคตการศึกษาไทยให้ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยมีระบบตรวจสอบเงินบริจาคได้ทุกขั้นตอน


 
การประชุมครั้งนี้มี พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ องคมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน ที่ประชุมประกอบด้วยคณะที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน นำโดย คุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ในฐานะรองประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิฯ รวมถึงคณะผู้บริหารจาก 12 องค์กรผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ ณ ห้องประชุม สำนักงานใหญ่มูลนิธิฯ อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ถ.รัชดาภิเษก



 

สำหรับสาระสำคัญของ 5 ยุทธศาสตร์หลักของโครงการนั้น ประกอบด้วย
 
1. การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะ (Transparency) ที่แสดงถึงข้อมูลและตัวชี้วัดที่ชัดเจน
2. กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Market Mechanisms) ที่เชื่อมโยงทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ช่วยกันพัฒนา และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
3. การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน (High Quality Principals & Teachers) ให้มีคุณภาพในทุกด้าน ภายใต้ KPI หรือตัวชี้วัดที่ดีและมีมาตรฐาน เพราะเชื่อว่าต้นแบบที่ดีจะเป็นตัวอย่างและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลต่อเด็ก ๆ โดยตรง
4. เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ (Child Centric & Curriculum) การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้น Child Centric ให้เด็กเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ทำให้เด็กสามารถค้นพบกระบวนการเรียนรู้ ที่รู้จักตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ลงมือทำ และอภิปรายด้วยเหตุผล แล้วเกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่สำคัญต้องปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เพื่อผลิตคนให้เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง เป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ
5. การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) โดยส่งเสริมให้ทุกโรงเรียนมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีความพร้อม เพื่อให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างทัดเทียมกันในทุกพื้นที่

 



คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) มีความเชื่อมั่นว่า “การศึกษา” คือพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ทุกคนมีคุณค่า มีความพร้อม มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ และยังเป็นรากลึกหล่อเลี้ยงให้ทุกชีวิตเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และมองว่า ระบบการศึกษาที่ดีจะต้องปลูกฝังสิ่งที่เรียกว่า Value หรือคุณค่า แล้วคุณค่าเหล่านี้จะทำให้เด็ก ๆ นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อคนทั้งโลก ต่อครอบครัว หรือต่อตัวเองได้
 
 



Create Date : 22 กรกฎาคม 2563
Last Update : 22 กรกฎาคม 2563 16:06:32 น.
Counter : 773 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  

สมาชิกหมายเลข 3761838
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



All Blog