หลงใหลในความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด


Jap@Pro
Location :
Tokyo Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




อยากนำเสนอความรู้ในแนวทางใหม่ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกคน
Business Development
Enterprise Currency Marketing
Psychological Marketing
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Jap@Pro's blog to your web]
Links
 

 

คิดให้เจ๋งกับ critical thinking (1)

ผมคิดว่าคงมีหลายคนไม่คุ้นกับคำนี้ critical thinking แต่จะไปคุ้นกับ logical thinking มากกว่า
critical thinking เป็นวิธีการคิดแบบหนึ่งที่ใช้ในการแก้ปัญหาในปัจจุบันหรือในสถานการณ์วิกฤติ (crisis) เป็นส่วนหนึ่งของ logical thinking
ทำไมเราถึงต้องศึกษา critical thinking
critical thinking สามารถนำไปใช้ได้ในหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ การคิดแบบ critical thinking สามารถจัดการกับปัญหาอันยุ่งเหยิง และหาวิธีที่ดีที่สุด รวดเร็วที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุดในการแก้ปัญหานั้น ฟังดูเหมือนโม้ จริงๆก็โม้นั่นแหละ เพราะว่าก็ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นด้วย แต่รับรองว่าถ้านำ critical thinking ไปใช้สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ดีขึ้น
critical thinking ประกอบด้วยอะไรบ้าง?

  1. Basic thinking

  1. Thinking method

  1. Thinking Tools

เดี๋ยวจะอธิบายแต่ละตัวนะครับ
สำหรับการคิดแบบ critical thinking นั้น เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ Basic thinking ซึ่ง Basic thinking มีดังนี้
  • MECE

  • มองภาพรวม

  • positive thinking

  • creativity

  • shared senses

ตัวแทนของ Basic thinking - MECE (มีซี่)
MECE ย่อมาจาก
  • M : Mutually

  • E : Exclusive

  • C : Collectively

  • E : Exhaustive

ไปแปลเอาเองนะครับ
สรุปรวมๆก็คือ MECE คือการรวบรวมจัดการ factors ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้หลุดและไม่ให้ซ้อนทับกัน
อย่าเพิ่งทำหน้างงครับน้องๆ เดี๋ยวผมจะยกตัวอย่างให้ดู


ตัวต่อมา Thinking Method คือวิธีในการคิดนั่นเอง ประกอบไปด้วย 4 วิธีดังนี้
  1. Reset

  1. Framework

  1. Option

  1. Process


อธิบายตัวแรกก่อนนะ
Reset
Reset หรือ Zero base อธิบายง่ายๆเลย สูงสุดคืนสู่สามัญ กลับไปเริ่มคิดใหม่ตั้งแต่แรกหรือกลับไปสู่ศูนย์เลย ใช้จัดการกับสิ่งที่ซับซ้อนจนยากเกินเยียวยาแล้ว
Framework
คือการกำหนดกรอบความคิดขอบเขตแล้วพยายามคิด วิเคราะห์ภายในกรอบนั้น ตัวอย่างวิธีการคิดแบบ Framework เช่น SWOT, 4P, PPM เป็นต้น (ไปหาอ่านเอาเองนะจ๊ะ)
Option
ตามชื่อเลย วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วหาทางเลือกหลายๆทางเลือก จากนั้นก็เปรียบเทียบหาวิธีที่ดีที่สุด ฟังเหมือนไม่มีอะไร เดี๋ยวอ่านไปเรื่อยๆนะครับ วิธีนี้เจ๋งดีผมลองแล้ว
Process
เป็นการคิดแบบ Flow เช่นตามลำดับ ตามเวลา เป็นต้น ทำให้เราสามารถเข้าใจลำดับ ภาพรวม และกระแสได้ดียิ่งขึ้น ใครที่เคยมีประสบการณ์ในการเขียนโปรแกรมย่อมรู้จัก flowchart ซึ่ง flowchart เป็นตัวอย่างหนึ่งของวิธีการคิดแบบ process. (อันนี้ก็ดีพิสูจน์แล้วครับผม)

เดี๋ยวคราวหน้าจะเขียนเกี่ยวกับ Thinking Tools นะ วันนี้เหนื่อยแล้ว




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 30 เมษายน 2551 9:19:45 น.
Counter : 4765 Pageviews.  

จำให้แม่น

IT Theory
[คุณคือคนที่มีความจำดีหรือไม่] จะมีสักกี่คนที่จะมั่นใจและตอบว่า “ใช่” คนส่วนมากจะตอบว่า ไม่ หรือ ไม่แน่ใจ ทำไมสิ่งที่เราร่ำเรียนมาถึงไม่สามารถที่จะจำได้นานๆ ส่วนมากจะจำได้ก่อนสอบ พอสอบเสร็จก็คืนอาจารย์หมด
มีหลายทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความจำ แต่มีอยู่ทฤษฎีนึงที่น่าสนใจ นั่นคือทฤษฎี IT หลักการของทฤษฎีนี้ คือ ประสิทธิภาพในการจำของสมองของคนเรา เกิดจากผลลัพธ์การคูณกันระหว่าง factors 2 ตัว คือ I – Impression หรือความประทับใจ กับ T- Times คือ จำนวนครั้ง

ประสิทธิภาพในการจดจำ = I x T

T-Times หรือ จำนวนครั้ง หลายๆคนคงใช้วิธีนี้ในการท่องจำคำศัพธ์ภาษาอังกฤษ คือการอ่านและเขียนหลายๆครั้ง เพื่อให้จำได้ แต่ว่าสำหรับการทำงานของสมองนั้น การจดจำสิ่งที่ซ้ำกันหลายๆหน จะมีความรู้สึกเบื่อเกิดขึ้น ในที่สุดประสิทธิภาพก็จะลดลง ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำให้ดียิ่งขึ้น องค์ประกอบอีกตัวหนึ่ง นั่นก็คือ I- Impression หรือความประทับใจ นั่นเอง
ทำไมเราถึงจำเหตุการณ์ตอนเกิดอุบัติเหตุได้ไม่เคยลืม
ตอนเด็ก ผมเคยประสบอุบัติเหตุขี่จักรยานชนกับมอเตอร์ไซด์ ครั้งนั้นผมขี่จักรยานข้ามถนนโดยไม่ได้มองซ้ายขวา และในตอนนั้นมีมอเตอร์ไซด์คันนึงขี่มาด้วยความเร็วสูง ผมมองเห็นมอเตอร์ไซด์เข้ามา แต่ผมไม่แน่ใจว่าควรจะขี่ต่อหรือถอยหลังดี สรุปก็คือ หยุดอยู่กลางถนน ทำให้มอเตอร์ไซด์คันนั้นมาชนอย่างแรง ตอนนั้นเหมือนโลกมืดไปหมด ตัวผมลอยและตกลงมานอนกลางถนน เมื่อนึกถึงตอนนั้นทีไรก็จะจดจำลำดับเหตุการณ์ได้ทุกที ทำไมผมถึงจำอุบัติเหตุครั้งนั้นได้ไม่เคยลืม?
หลายคนคงเคยเรียนมาว่าสมองของคนเราจะมีเซลล์สมองทีทำการรับส่งข้อมูลซึ่งกันและกัน ซึ่งตอนเกิดอุบัติเหตุ เซลล์สมองจะทำการรับส่งข้อมูลระหว่างกันมากกว่าปกติ ซึ่งเรียกสภาพตอนนั้นว่า “สมองเปิด” เนื่องจากตอนเกิดอุบัติเหตุซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นความตาย สมองของคนเราจะทำงานแบบ Full speed เพื่อที่จะทำอย่างไรก็ได้ให้รอดพ้นจากวิกฤติตรงนั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือ สมองเราจึงจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้อย่างแม่นยำ
การเกิดอุบัติเหตุนั้นเป็น Impression (ผมไม่อยากใช้คำความประทับใจเลยพับผ่าสิ) อย่างหนึ่ง ซึ่งสมองจะสามารถจดจำเหตุการณ์นั้นๆได้เป็นอย่างดี ซึ่ง I-Impression หรือ ความประทับใจ ประกอบไปด้วย Filter สามแบบ คือ [ประสาทสัมผัส] [ความคิด] และ [ความรู้สึก]
[ประสาทสัมผัส] ประกอบด้วย มองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และสัมผัส
[ความคิด] การเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีต
  • ข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
    • ข้อมูลที่รู้อยู่แล้ว แต่ว่ามีความสำคัญและมีความสนใจอย่างมาก
      [ความรู้สึก] ความรู้สึกชอบและเกลียด
      บางคนอาจจะรู้สึกชอบบางคนอาจจะรู้สึกเกลียด ซึ่งความรู้สึกตรงนี้จะทำให้คนเรามีความประทับใจที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ Filter ยังทำงานแบบ random และไม่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้ว่าจะพยายามสร้างเหตุการณ์ให้สมองอยู่ในสภาพ [สมองเปิด] ก็ตาม (หวังว่าทุกคนคงไม่ไปเดินให้รถชนนะครับ)
      มาถึงตอนนี้ทุกคนคงจะทราบแล้วว่าการจะสร้าง Impression ให้เกิดขึ้นนั้นต้องทำอย่างไร
      คีย์เวิร์ดคือ [การเปลี่ยนแปลง] จากที่ได้อธิบายไปแล้วว่าสมองไม่ชอบสิ่งที่เรียบง่าย ในทางกลับกันสมองชอบการเปลี่ยนแปลง ในการที่จะทำให้สมองอยู่ในสภาพ [สมองเปิด] นั้นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การกระตุ้นอย่างรุนแรงแต่เป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความประทับใจ แล้วเราก็จะจำได้ดียิ่งขึ้นครับผม




       

      Create Date : 09 พฤศจิกายน 2550    
      Last Update : 30 เมษายน 2551 9:19:14 น.
      Counter : 528 Pageviews.  

เปิดตัวเองเพื่อลดแรงกดดันจากความเครียด

ความเครียดเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น งานที่มากขึ้น เงินเดือนที่น้อยนิด ปัญหาครอบครัว รถติด เป็นต้น แต่ในจำนวนสาเหตุทั้งหลายเหล่านี้ ความเครียดที่เกิดจาก [ปฎิสัมพันธ์กับคน] เป็นสาเหตุที่มีค่อนข้างสำคัญ มีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถทนต่อความเครียดนี้ได้ซึ่งส่วนมากจะเป็นกับผู้ชายเพราะว่าผู้ชายจะพยายามรักษาฟอร์มไว้ บางคนโดนหัวหน้าด่าว่า ได้แต่ทำนิ่งเฉย ยอมรับผิดโดยไม่โต้แย้ง ความรู้สึกตรงนี้จะสะสมเรื่อยๆ จนเกิดเป็นความเครียดรอนับวันระเบิด ท้ายสุดบางรายก็ฆ่าตัวตาย
การรักษาฟอร์มนั้นก่อให้เกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่จะปลดปล่อยความเครียดได้นั้นก็คือ การเปิดเผยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจุดเด่น จุดด้อยของตนเองให้คนอื่นรับรู้ ไม่อดทนจนเกินไป ในบางครั้งระบายกับเจ้านาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงานบ้าง ไม่จำเป็นต้องสนใจในเรื่องของสถานะของตนเองมากนัก การที่เราเปิดเผยตนเองให้กับคนอื่นได้รับทราบนั้น นอกจากจะผ่อนคลายความเครียดที่มีอยู่ยังช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เจ้านาย ได้ดียิ่งขึ้น

  • ไม่รักษาฟอร์ม ไม่อดทนจนเกินไป
แสดงให้คนอื่นได้เห็นถึง จุดเด่น จุดด้อย ของตนเอง
  • มีการคุยเล่นกับคนรอบข้าง โดยไม่สนใจเรื่องของตำแหน่งและสถานะ




     

    Create Date : 04 พฤศจิกายน 2550    
    Last Update : 30 เมษายน 2551 9:18:45 น.
    Counter : 364 Pageviews.  

ชมในจุดเด่นที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คาดหวังมาก่อน

หลายคนที่ทำงานที่ต้องข้องแวะกับลูกค้า บางครั้งต้องพาลูกค้าไปเลี้ยง พาไปเที่ยว เป็นต้น สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรจะให้ลูกค้าพอใจ และยินดีที่จะใช้บริการของบริษัทเรา

ในการสนทนากับลูกค้านั้น [การชม] เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ใช้ในการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ในการชมลูกค้านั้น ตามหลักจิตวิทยามีอยู่ 2 ประเภท คือ [การย้ำกับตนเอง] และ [การขยายออก] ซึ่งการชมแบบการขยายออกจะให้ประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี การชมแบบขยายออก คือการชมในจุดเด่นของฝ่ายตรงข้ามโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คาดหวังหรือคาดคิดมาก่อน

ตัวอย่าง ลูกค้าเป็นคนที่เล่นกอล์ฟได้เก่งมาก เมื่อเราชมลูกค้าว่า
“คุณสมศักดิ์ คุณเล่นกอล์ฟได้เก่งมากๆเลย”

การชมแบบนี้จะให้ประสิทธิภาพที่ค่อนข้างน้อย เพราะอะไร

เพราะว่าตัวลูกค้าเองก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าตนเองเล่นกอล์ฟเก่ง หลายๆคนก็ชมแบบนี้กันทั้งนั้น และก็คาดหวังว่าจะได้รับคำชมเช่นนี้จากอีกฝ่ายนึง เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า [การย้ำกับตนเอง] กล่าวคือ ลูกค้าจะคิดว่าตนเองเก่ง และการที่ได้รับคำชมเช่นนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา

การชมแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าทำให้ลูกค้าไม่ยินดีหรือพึงพอใจ เพียงแต่ไม่ได้สร้างความประทับใจเท่าที่ควร

คนที่เล่นกีฬาได้เก่ง ก็ย่อมมีแต่คนมองตรงจุดนั้น ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะไม่ได้ปฎิเสธก็ตามแต่ว่าในใจลึกๆก็คาดหวังที่จะให้คนอื่น มองด้านอื่นของตนบ้าง จากตัวอย่างข้างบน เราลองมาใช้วิธีการชมแบบขยายออกดู คอยสังเกตลูกค้าว่านอกจากการเล่นกอล์ฟแล้ว ลูกค้ามีจุดเด่นอย่างอื่นอีกหรือไม่ เช่น “คุณสมศักดิ์ชุดที่คุณใส่ดูดีมากคะ” “ไม่ทราบว่าซื้อที่ไหนเหรอคะ ดูดีมากๆเลย” เป็นต้น ซึ่งการชมลักษณะนี้ ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำชมเช่นนี้มาก่อน จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “เอ เราก็มี sense ในเรื่องการแต่งกายเหมือนกัน” ซึ่งจะสร้างความประทับใจได้มาก

ทำไมการชมแบบขยายออกถึงสร้างความประทับใจได้มากกว่าการชมแบบย้ำกับตนเอง เพราะว่าไม่ว่าใครก็เชื่อใน ความเป็นไปได้ในอนาคต กล่าวคือ ตนเองมีความอัจฉริยะซ่อนอยู่ ตนเองมีอนาคตที่ดีรออยู่ เป็นต้น การชมแบบขยายออกจะสร้างความคาดหวังในอนาคตให้แก่คนๆนั้น ดังนั้น จึงสร้างความประทับใจและความพึงพอใจได้มากกว่า




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 30 เมษายน 2551 9:18:23 น.
Counter : 355 Pageviews.  

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.