Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 

15>*** พ่ อ ***

วันนี้ขอยกเว้นเรื่องลูก มาพูดเรื่องพ่อแทนนะคะ

เพื่อน ๆ ที่เป็นพ่อ หรือใกล้จะเป็นพ่อ ได้ไปไหน
หรือเปล่าค่ะ วันนี้ยัยปันและปูนพาพ่อช้างไปกินข้าว
เป็นปีแรกที่ลูกเลี้ยงพ่อด้วยเงินของเขาเอง ภูมิใจค่ะ
ก็หนีบแม่ไปด้วย เพราะแม่จะเป็นคนบอกว่าอยาก
กินอะไร

เห็นม่ะ อย่างงัยแม่ก็สำคัญอยู่ดี อิอิ

ขอให้ทุกคุณพ่อ และว่าที่คุณพ่อ รวมทั้ง
คนที่เป็นเพศพ่อทุกคนมีความสุข สมหวัง
เรียนรู้ DSM ได้กระจ่างแจ้งเร็ว ๆ
( จะได้มาสอนบ้าง ) ที่สำคัญให้มีสุขภาพที่
แข็งและแรงนะคะ

จากคุณ : ชราร่า - [ วันพ่อแห่งชาติ 19:20:10 ]








ในชีวิตีฉันมีคนถึง 4 คนที่ฉันเรียกเขาว่า พ่อ

พ่อคนแรกก็คือในหลวง ร. 9 นี้ ท่านเป็นคนที่ฉันคิดว่าเป็นสุดยอดของทุกอย่างทุกสาขาวิชา
ไม่ว่าเป็นศาสตร์ หรือเป็นศิลป์ ซึ่งหาได้ยากมากในคน ๆ หนึ่ง ส่วนใหญ่จะไปเพียงทางใด
ทางหนึ่ง แต่ท่านสามารถเป็นได้สองอย่างสมเป็นกษัตริย์มหาราชจริง ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเพิ่ง
มารักและศรัทธาตามกระแสเอาตอนนี้นะคะ เพราะนอกจากสื่อต่าง ๆ ที่พวกเราคนไทย
ได้พบ ได้อ่านและได้เห็นแล้ว ฉันยังรู้จักพระองค์ท่านผ่านหนังสือหลายเล่ม ทั้งหนังสือ
ที่พิมพ์และขายในเมืองไทย ยังมีหนังสือที่ไม่ได้พิมพ์ในเมืองไทยอีกหลายเล่ม


เอาตั้งแต่เริ่มต้นเลย คืออ่านหนังสือเรื่อง “วันสวรรณคต” เป็นหนังสือที่กล่าวถึงครั้งที่ท่าน
ร.๘ ท่านถูกปืนลั่นขณะที่ประทับอยู่ที่ห้องบรรทมในวังโดยมีท่านในหลวง ร. ๙ อยู่ด้วย หลายคน
คงเคยได้ยินบ้างนะ เล่มต่อมาที่มีโอกาสได้อ่านคือ The Revolutionary King เขียนโดย
William Stevenson หนังสือเล่มนี้อ่านนานเพราะอ่านยาก แต่ก็รู้สึกรักท่านมาก ทั้ง ร. ๘
และ ร. ๙ รวมทั้งสมเด็จย่า รู้เลยว่ากว่าจะมาเป็นกษัตริย์ไทยเพื่อสืบทอดราชวงศ์จักรีใน
ตอนนั้น มีอุปสรรคและปัญหามากมาย เนื่องด้วยมีกลุ่มบุคคลที่ต้องการโค่นล้มระบบกษัตริย์
และตั้งตนเป็นใหญ่ซึ่งคล้ายกับระบบการปกครองแนวตะวันตก สมเด็จย่าเองซึ่งว่าแล้ว
ก็เป็นหญิงสามัญธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวพาลูก ๆ กลับเมืองไทยเพื่อรับ
สถานภาพเป็นกษัตริย์ ก็มีความเสียสละ อดทน พร่ำอบรมและสั่งสอน และเตรียมพร้อมใน
ทุกสิ่งอย่างเพื่อประเทศไทยจะได้มีองค์กษัตริย์ที่สง่างาม และเป็นที่รักใคร่ของพวกเราทั้ง
สองพระองค์อย่างทุกวันนี้


อีกเล่มที่เพิ่งได้มีโอกาสอ่านเร็ว ๆ นี้ก็คือ The King Never Smile ยิ่งเทอญทูน
และบูชาท่านมากขึ้นมาก ก็ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยพสกนิกรชาวไทยอย่างมากมาย
มีรอยพระบาทประทับไปทั่วทุกแดนดินเพียงเพื่อให้คนไทยทุก ๆ คน ทุก ๆ ระดับมีความ
สุขมากขึ้น คอยรับและแก้ปัญหาไปเสียทุกอย่าง แล้วจะ
ให้ท่านยิ้มออกได้อย่างไร
แต่ฉันมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้ได้ถูกตีพิมพ์ ก่อนวันที่ 6 มิถุนายน 2549 ปีฉลองราชย์ 60 ปี
ไม่งั้นฝรั่งนักข่าวคนเขียนหนังสือเล่มนี้ก็จะเห็นว่า ท่าน smile แล้ว ยิ้มวันที่เห็นคนไทย
ในเสื้อสีเหลืองหลายแสนหลายล้าน มาแสดงความรักภักดีต่อท่านหน้าสีหบัญชรซึ่งฉันก็ขน
ลุกซู่ทุกครั้งที่ดูเทปชุดนี้ เจ้าฝรั่งที่เขียนหนังสือเล่มที่ว่าหากรู้ว่ามีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
แบบนี้คงหักปากกาไม่ทัน


หนังสือ 2 เล่มหลังนี้เข้าใจว่าเป็นหนังสือที่ไม่ได้อนุญาตให้มาขายในเมืองไทย เพราะมุมมอง
จากคนต่างชาติต่างถิ่นจะมารู้ซึ้งและเข้าถึงใจเราได้อย่างงัย อย่างไรก็ตาม ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึก
ดีใจที่ได้อ่านค่ะ เพราะได้รู้จักท่านมากขึ้นในมุมมองคนชาติอื่น ๆ ที่แปลกแยกออกไป


ฉันดีใจที่บรรพบุรุษที่เมืองจีนของครอบครัวฉันเลือกที่จะมาอพยพครอบครัวมาตั้งหลัก
ปักฐานที่เมืองไทยแทนที่จะเป็นไต้หวัน ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ หรือประเทศอื่น ๆ
ซึ่งองค์พระกษัตริย์ไทยก็เปิดโอกาสให้คนจีนเข้ามาทำมาหากินอย่างเสรี ทำให้ฉันได้เกิดที่นี่


ฉันโชคดีกว่าคนในตระกูลหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมาที่ได้เกิดเป็นคนไทย.... แค่นั้นไม่พอ

ฉันโชคดีกว่าคนไทยหลาย ๆ ยุคที่ได้เกิดมาในสมัยที่กษัตริย์พระองค์นี้ครองราชย์ และ

ฉันก็โชคดีกว่าคนในประเทศอื่น ๆ ที่มีกษัตริย์ที่ รักประชาชนอย่างสุดหัวใจทั้งคำพูดและการกระทำ

ฉันโชคดีกว่าบัณฑิตหลาย ๆ คนที่มีในหลวงมาแสดงความยินดีด้วยการมอบปริญญาบัตรให้วันที่ฉันสำเร็จการศึกษา

แค่นี้ก็บอกได้เต็มปากแล้วว่าปลื้มและโชคดีแค่ไหน


สิ่งที่ฉันคิดตอบแทน ก็คือ ทำตัวเป็นคนดีเป็นตัวอย่างที่ดี และ อบรมสั่งสอนลูกหลานให้เป็น
คนดีไม่ทำให้สังคมต้องเดือดร้อน รู้จักพอเพียงเพื่อความเพียงพอในการดำรงชีวิต ดูไป
แล้วอาจจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ หากมองจากภารกิจเยอะแยะที่ท่านทำ และใคร ๆ ก็พูดแบบนี้
กันเกร่อ แต่ฉันว่าฉันทำจริง และทำมานานแล้ว อย่างที่มานั่งเล่าให้พวกเราฟังหลายตอนที่ผ่านมางัย



จากคุณ : ชราร่า - [ วันพ่อแห่งชาติ 19:24:54 ]






ความคิดเห็นที่ 2

พ่อคนที่สองก็คือ พ่อบังเกิดเกล้าของฉันเอง...

พ่อเดิมเป็นครูสอนภาษาจีน เคยเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนสงครามโลก เวลามีหวอมา
ต้องไล่ให้นักเรียนหลบใต้โต๊ะเรียน พ่อก็หลบใต้โต๊ะครูเหมือนกัน หวอไปแล้ว ก็ค่อยมา
สอนหนังสือกันต่อ ทำให้นึกถึงสนามบินสุวรรณภูมิกับ กับสถาบันลาดกระบังฯ ตอนนี้เห็น
มีเรื่องกันอยู่ ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว ต่างกันตรงที่ไม่ได้หลบระเบิด แต่หลบเสียงกันไม่พ้น
ทำให้มีปัญหาเวลาสอนหนังสือเหมือนกัน ...


สำหรับฉัน พ่อเป็นคนใจดี ไม่เคยตีฉันซักกแเอะ ผิดกับแม่ เห็นฉันคราวไร ก็ต้องหยิบ
ไม้ขัดหม้อเกือบคราวนั้น แต่ก่อนตอนที่สนามหลวงมีขายของเสาร์อาทิตย์ เหมือนแบบ
จตุจักรตอนนี้ พ่อก็จะพาฉันขึ้นรถรางฝั่งที่มีเบาะนั่ง ซึ่งจะแพงกว่าฝั่งที่ไม่มีเบาะ ต๊อง
แต๊ง ต๊องแต๊ง.... ไปดูต้นไม้ ดูนก เล่นว่าวและซื้อขนมอยู่บ่อย ๆ แปลกใจที่พ่อไม่เคยชวน
ลูก ๆ คนอื่นไปเลยนอกจากฉัน


พ่ออุ้มฉันขึ้นสูงเวลามีงิ้วมาเล่นที่ตลาด เพื่อฉันจะได้มองเห็นได้ชัดเจน น้ำหนักฉันก็ไม่มาก
แต่ด้วยระยะเวลา ทำให้พ่อต้องสลับมืออยู่บ่อย ๆ ฉันไม่ได้สนุกไปกับงิ้วที่เล่นอยู่หรอก
เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ยังชอบที่จะเห็นอะไรในที่สูงเพราะจะมองเห็นได้ไกล ๆ และแน่
นอนฉันมักจะมีน้ำตาลสายไหมสีสวย ฟูฟ่องอยู่ปลายไม้หรือไม่ก็ตุ๊กตาทำด้วยน้ำตาลที่
ถูกเคี่ยวจนเหนียวหนึบในหม้อเหล็กใบย่อมแบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ น้ำตาลเคี่ยวต่างสีที่ คนขาย
หยิบจับมาตกแต่งด้วยกรรไกรเล็กอย่างคล่องแคล่ว ออกมาเป็นรูปหงอคงบ้าง รูปดอกไม้
หรือนกบ้างบนไม้ถือเล็กยาวติดมือกลับบ้านเสมอหลังงิ้วในตลาดเลิก


ตอนเรียนที่เผยอิง อย่างที่เล่าให้ฟัง ฉันถูกทำโทษบ่อย ๆ คุณครูก็จะให้อยู่ตอนเย็นเพราะ
มีการบ้านเพิ่ม พ่อก็มักจะหิ้วหม้อเคลือบสีน้ำเงินมีฝาปิดใบกลม มาส่งให้ฉันที่หลังห้องเรียน
เป็นประจำด้วยกลัวว่าจะหิว แล้วนั่งรอรับฉันกลับบ้าน อันนี้ก็ไม่เห็นพ่อไปส่งข้าวให้กับพี่น้อง
คนไหนเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าไม่มีใครเกเร และต้องอยู่เย็นเหมือนฉันละมั่ง
พี่น้องคนอื่น ๆ เรียบร้อยกันทุกคน


นอกจากมีชื่อจีนเป็นของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว ฉันยังมีชื่อเล่นจีนอีกด้วยนะ ว่าไปแล้ว
มีหลายชื่อด้วยซ้ำ และหนึ่งในชื่อนั้นก็คือ “เช็งซิม” ซึ่งแปลว่า “สบายใจ” ด้วยความเป็น
คนร่าเริง แจ่มใสยิ้มง่าย เถียงเก่ง ทำเอาผู้ใหญ่หัวเราะได้ง่ายเมื่ออยู่ใกล้...


อ๋อ มีอยู่อีกเรื่อง ที่พ่อเห็นแล้ว จะต้องดีดนิ้วฉันให้เจ็บเมื่อฉันกินข้าวโดยไม่ใช้ตะเกียบ....

“เราเป็นคนจีน ต้องใช้ตะเกียบเป็น...”


ตอนเข้าวัยรุ่น พ่อจะเป็นคนเฝ้ารอฉันกลับบ้านดึกด้วยความเป็นห่วง หลายครั้งที่เจอ
พ่อยืนรอฉันอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าซอยบ้านโดยไม่รู้ว่ารออยู่นานแค่ไหนแล้ว หรือไม่ฉันก็จะ
เห็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์จีนด้วยแว่นขยายใต้โป๊ะไฟดวงสีเหลืองเข้ม ตอนฉันแอบไขกุญ
แจเข้าบ้านกลางดึก

และเมื่อเห็นฉันกลับมาพ่อก็จะเก็บหนังสือพิมพ์ เอาแว่นขยายใส่กล่อง ปิดไฟเข้านอนโดยไม่พูดอะไร


วันที่ญาติผู้ใหญ่คุณช้างมาสู่ขอฉันกับพ่อ แม้ว่าจะรู้เห็นการคบหากันมากกว่าเพื่อนระหว่าง
เราสองคนมานาน วันนั้นกลับเป็นอีกวันที่ฉันจะไม่อาจลืมได้เลย

“เวลามาขอสาวบ้านนี้ พวกคุณต้องเอากระดาษแดงยาวมาพร้อมหมึกและพู่กันจีนที่ยังไม่
ได้ใช้ มาขอวันเดือนปีเกิดของลูกสาวผม โดยผมจะเป็นคนเขียนให้ไปทั้งชื่อแซ่
และวันเวลาเกิดกลับไป พวกคุณนำไปเพื่อดูวันที่เป็นมงคล แล้วก็เขียนวันที่เป็น
ฤกษ์ดีมาในกระดาษใบเดียวกันส่งกลับมาให้ผม ไม่ใช่มากันมือเปล่า แบบนี้ ไม่มีขั้น
ตอนธรรมเนียม ไม่มีความเคารพหรือให้เกียรติกันนี่นา ทำงี้ได้งัย.....”


ญาติผู้ใหญ่ของคุณช้างแทบหงายหลัง เมื่อเจอไม้เด็ดของพ่อฉันเข้า....พ่อเอาแบบฉบับการ
สู่ขอโกวเนี้ยแบบจีนมาใช้ พี่ ๆ บอกว่าพ่อหวงลูกสาว โดยเฉพาะฉันคนนี้เพราะครั้งที่ว่าที่
พี่เขยมาขอพี่สาว ไม่เห็นพ่อวุ่นวายยุ่งยากแบบนี้


หลังแต่งงาน พ่อเฝ้าดูฉันและหลานทั้งสามเติบใหญ่อย่างภูมิใจ คอยให้กำลังใจเมื่อฉัน
เหนื่อยมีปัญหาบ้าง ช่วงหลัง ๆ พ่อล้มป่วยลง เป็นอัมพฤตอยู่พักใหญ่ ๆ ร่างกายอ่อนเพลีย
และป่วยง่าย ฉันและพี่น้องทุกคนดูแลพ่อเป็นอย่างดี กระนั้น ความเจ็บปวดของพ่อก็
ไม่บรรเทาลง วันสุดท้ายตอนที่อยู่โรงพยาบาล หมอบอกพวกเราว่า พ่อมีเลือดไหลออก
จากกระเพาะไม่หยุด และ อายุ 85 ของพ่อก็แก่เกินกว่าจะผ่าตัด เนื้อกระเพาะไม่อยู่ในสภาพ
แข็งแรงพอที่จะเย็บได้ติดอย่างถาวร สิ่งทีทำได้ก็คือ การให้เลือด แล้วเลือดจากกระเพาะ
ก็จะไหลออกมาเวียนกันไปแบบนี้ หลังจากที่คุณหมออธิบายจบ ฉันถามหมอว่า

“ ถ้าพ่อฉัน เป็นคุณพ่อของหมอ คุณหมอจะตัดสินใจทำอย่างงัยต่อไปค่ะ ”

“.. สภาพแบบนี้ คนไข้ก็เจ็บปวดพอสมควรนะครับ แล้วอายุมากเท่านี้ การทนความเจ็บปวด
เป็นสิ่งที่ทรมานมาก มากกว่าพวกเรา ๆ อีก ถ้าเป็นพ่อผม ผมคงไม่อยากให้ทรมานแบบนี้ ”
แม้ไม่ได้ให้คำตอบตรง ๆ ฉันก็อ่านออกในนัยที่คุณหมอพูด

ขณะที่คนอื่น ๆ ไม่กล้าตัดสินใจและยัง งง ๆ กับคำพูดของคุณหมอ ฉันเป็นคนเดียวที่เรียก
ประชุมพี่น้องทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ฉันเสนอให้พ่อไปอย่างสงบ โดยไม่ต้องให้เลือดอีก
ด้วยเหตุและผลหลายประการ ที่สำคัญ ไม่อยากให้พ่อต้องเจ็บไปกว่านี้ พ่อต้องเจ็บเพื่ออะไร
เพื่อให้คนอื่น ๆ ว่าเราเป็นลูกที่ดี ลูกที่กตัญญเหรอ เปล่าเลย ความเจ็บปวดของพ่อต่างหาก
ที่เราต้องสนใจมากกว่าเรื่องอื่น ๆ พ่อเหนื่อยเพราะพวกเรามามากพอแล้ว ให้พ่อไปอย่างสงบเถอะ


หลังจากคุณหมอเริ่มให้สัญณาญว่าใกล้เวลาแล้ว รอบเตียงของพ่อ พวกเราจับมือกันไว้
และสวดมนต์ ชิณบัญชรบ้าง นะโมตะสะบ้าง ทำสมาธิเพื่อส่งบุญกุศล ก็แล้วแต่ถนัด
พักใหญ่ ๆ พ่อก็จากไปท่ามกลางความโศกเศร้า พวกเราภาวนาว่าชาติหน้า มีจริง ก็ขอให้
ได้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีก

พ่อคนต่อไป...พ่อสามี

เขาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องเกร็ง หรือต้องปรนบัติเป็นพิเศษในฐานะที่เป็นสะใภ้คนโต
พ่อสามีเป็นคนทำงานแบบใช้แรงงานมาก่อน ต่อมามีกิจการในเรื่องของการขนส่งรวม
กับเพื่อน ๆ แต่ด้วยความเป็นคนซื่อ จึงมักจะถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ ก็มักจะไม่พูดอะไร
เป็นคนมีน้ำใจดี คอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนฝูงจนเดือดร้อนตัวเองในบางครั้ง พ่อสามีเอา
ใจใส่ฉัน ไม่แพ้ลูก ๆ ทุกคนในบ้าน ยัยปันติดอากงมาก เพราะจะเป็นคนเดียวที่พาไปเดิน
ตลาดตอนเช้า หรือไม่ก็ขับรถพาเที่ยวไปไกล ๆ ด้วยรถโอเปิ้ล คันยาวสีเทาเข้มของแก


กิจการรถขนส่งจะเริ่มงานจริง ๆ จัง ๆ หลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะทางการอนุญาตให้
รถใช้ถนนได้หลังสี่ทุ่มขึ้นไป กว่าจะรับลูกค้า กว่าจะจัดการให้สินค้าได้ขึ้นรถและวาง
น้ำหนักได้เหมาะสมในรถแต่ละคัน ดูน้ำมัน ดูยางรถ และความพร้อมอื่น ๆ สรุปบัญชีรายการ
สินค้าก่อนส่งรถออกแต่ละคัน และจะได้เข้าบ้าน ก็เกือบเที่ยงคืนทุกวัน


หลาย ๆ ครั้ง หลังจากเลิกงาน ฉันกับคุณช้างจะต้องไปหลังตลาดสวนหลวง เพื่อช่วยแก
ดูแลบ้าง คนแก่อายุมาก ก็มักจะอยู่ดึกไม่ไหว และหูตา ก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว ฉันมักจะกลับบ้าน
ก่อนไปพาเด็ก ๆ ออกมาด้วย อากงก็มักยิ้มตาหยี และกางแขนรับเสมอเมื่อเห็นเด็ก ๆ
วิ่งมา ส่วนคนงานก็จะรู้ว่า วันนี้เถ้าแก่อารมณ์ดี ฉะนั้น อู้งานบ้างนิดหน่อยก็คงไม่โดน
เอ็ดตะโรเหมือนทุกครั้ง


เสียดายที่แกจากไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนนั้น เจ้าแฝดมีอายุแค่ไม่ครบสองขวบดี อากงกำลัง
เห่อหลานทีเดียว แต่ก็แปลกที่ลูกทุก ๆ คนจำอากงได้แม่น เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง
คงมีความประทับใจลึก ๆ ในความใจดีที่อากงมีให้กับทุกคน



จากคุณ : ชราร่า - [ วันพ่อแห่งชาติ 19:35:40 ]






ความคิดเห็นที่ 5

สุดท้าย ... พ่อช้างของลูก

อาจจะไม่ใช่พ่อที่เป็น super dad อาจจะไม่ใช่พ่อที่เป็นฮีโร่ อะไรมากมาย แต่ทุก ๆ
เรื่องที่เกี่ยวกับลูก ไม่มีที่พ่อช้างจะไม่รับรู้ อาจจะเพียงไม่รู้ว่าจะต้องจัดการแก้ปัญหา
โน้นนี้อย่างไร เพราะนั้นมักจะเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว


เรื่องวิชาการ เรื่องพาเที่ยว อันนี้สิต้องยกให้พ่อช้าง การเตรียมการข้อมูลต่าง ๆ ก่อน
ไปทัศนาจร อธิบายสิ่งที่ลูกจะต้องเจอ ต้องพบ ให้เห็นของจริง ได้สัมผัสของแท้ สิ่งเหล่า
นี้ฉันทำไม่ได้ ไม่ชำนาญ ลูกมั่วจะเยอะ พ่อช้างจะบอกเสมอว่าการเรียนไม่ใช่ต้องอยู่
ในห้อง สิ่งที่อยู่นอกห้อง จะทำให้ลูกเรียนได้ดีขึ้น เข้าใจมากขึ้น ที่สำคัญจะจำได้
เพราะสนุกกว่า ไม่เบื่อ


ทุกครั้งที่ฉันตีลูก พ่อช้างไม่เคยเข้ามาห้าม ด้วยว่ายกการอบรมสั่งสอนอยู่ที่ฉัน เขา
เองด้วยเป็นเซลล์ต่างจังหวัด เลยมีเวลาได้อยู่บ้านและพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว
ได้เพียงเดือนละ 10 วัน พ่อช้างจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไร คอยฟังฉันพูดถึงสาเหตุ
ที่ต้องลงโทษลูกว่า ที่มา ที่ไปเป็นอย่างไร แต่หลังจากนั้นแล้ว พ่อช้างจะเอาลูกเข้ามากอด
แยกออกไปจากที่เกิดเหตุ แล้วค่อย ๆ ปลอบว่า ทำไมแม่ถึงต้องลงโทษ สิ่งที่ถูกคืออะไร


“…ปูนไม่ได้ตั้งใจเอาของในครัวไปเล่นตักทรายใช่ไหมครับ ทีหลังต้องถามก่อนนะลูก
ที่ใช้ในครัวต้องสะอาด ไม่งั้นเวลาทำกับข้าว ใช้ช้อนไม่สะอาด ปูนก็จะปวดท้องนะครับ
ทุก ๆ คนก็จะปวดท้องด้วย ทีหลังปูนจะใช้อะไร ก็ต้องถามก่อนนะครับ....”


จริง ๆ ฉันก็พูดเรื่องเดียวกันแหละ เพียงแต่โทนเสียงฉันจะเข้มกว่าเท่านั้น


ทุกครั้งที่ต้องสอบ ไม่ว่าจะเป็นช่วงชั้นไหน พ่อช้างจะเป็นคนดูความเรียบร้อยอย่างรอบคอบ
ฉันจำได้ว่า ตอนลูกไปสอบเข้าชั้น มัธยมปีที่ 1 ปีที่ 3 และ แม้กระทั่งสอบ entrance
พ่อช้างจะบัตรสอบเอามาดูซิ ตัวสะกดชื่อสกุลถูกต้องไหม โดยเฉพาะห้องสอบที่อยู่
ต่างโรงเรียน พ่อช้างจะต้องหาวันที่สะดวกก่อนสอบสัก 2-3 วัน ขับรถไปดูทำเลที่ตั้ง
สถานที่สอบ ตึกสอบ ห้องสอบ และส่องดูโต๊ะที่นั่งสอบ ว่าเลขที่นี้ โต๊ะแถวเท่าไร
หมายเลขอะไร แล้วจดใส่กระดาษไว้ นอกจากนี้ ยังต้องพาลูกคนจะสอบไปดูห้องน้ำ
ห้องโรงอาหาร รถเมลล์สายทิ่วิ่งผ่าน เวลาที่ต้องใช้เดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่า แม้จะมีอุปสรรค
ปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ก็สามารถทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ หากเรารู้ และจำเป็นต้องแก้
ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นตื่นสาย หรือรถติด เป็นต้น


ก่อนไปสอบ พ่อช้างจะพาลูกไหว้พระพุทธเป็นกำลังใจ คืนนั้นจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ทั้ง
ที่ห้องตัวเอง และ ห้องลูก หากลางานได้ พ่อช้างจะพยายามอยู่เป็นเพื่อนลูกจนสอบ
เสร็จทุกวัน มิใยว่าช่วงหลัง ๆ ลูกจะอายเพื่อน ที่มีพ่อมาเฝ้าสอบ พ่อช้างก็จะไปอยู่ที่ตึก
อื่น หรือรออยู่ที่ห้างใกล้ ๆ สนามสอบ ไม่ให้เพื่อนลูกเห็น เอาไปล้อได้


กับฉันเองพ่อช้างใส่ใจอย่างไม่แสดงออก ช่วงไหนที่จราจรจะติดขัดมาก หรือว่ารู้ว่างาน
เยอะอาจจะต้องหิ้วท้องอยู่บนถนนนาน จะมีกล่องนม และขนมปัง วางอยู่ในรถเสมอ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเอามา ถ้าจะไม่สบาย ก็จะถามว่าไปหาหมอไหม เรื่องนัดหมายที่คลีนิค
หรือโรงพยาลาล พ่อช้างจะจัดการให้เสร็จสรรพ อีกทั้งจะโทรมาคอยเตือนทุก ๆ ช่วงประ
มาณว่าฉันต้องกินยาหลังอาหาร ทั้ง 3 มื้อ ทั้งตอนเช้าประมาณ 7 โมงเช้า ตอนเที่ยงครึ่ง
และ ตอนประมาณ 1 ทุ่ม โดยที่ตัวเขาเองยังอยู่ต่างจังหวัด

“คุณอย่าลืมกินยานะครับ..” “ กินยายัง ดีขึ้นบ้างไหม ...”เหมือนนาฬิกาปลุกเลยแหละ....หรือว่า

“ผมอยู่บ้านแล้วนะครับตอนนี้ เย็นคุณมีธุระ หรือว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ก็ตามสบายนะ
ผมจะดูลูก ๆ เองวันนี้ คุณไม่ต้องรีบกลับก็ได้...” ประโยคนี้ได้ยินบ่อย ๆ ช่วงเวลาเขามา
อยู่ที่กรุงเทพ ฯ


เป็นงัย..น่ารักไหม


เมื่อประมาณปี1998- 2000 ช่วงที่ว่านี้ พ่อช้างไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย เพราะที่บริษัทส่งพ่อช้าง
ไปทำงานที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน เป็นเวลา สองปี ขณะที่ลูกยังอยู่มัธยมปลายทั้ง 3 คน
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อด้านการเรียน นอกจากที่โรงเรียนแล้ว ยังต้องมีกิจกรรม ยังจะต้อง
ไปกวดวิชาเรียนพิเศษสารพัดกับครูคนนั้น อาจารย์คนนี้ ต่างที่ ต่างเวลา และต่างวิชา
แม่ช่าเหนื่อยถึงเหนื่อยมาก งานก็เยอะ โปรแกรม Y2K ที่ต่างหวาดกลัว ต้องเตรียมการเอก
สาร ต้องเตรียมพร้อม วันหยุดก็เป็นแม่ช่าโชเฟอร์ ส่งลูกคนนั้น รับลูกคนนี้ ยัง ยังไม่พอ
บางครั้งลูกเป็นไข้ สักพักอีกคนท้องเสีย ฉันต้องคอยหนีงานมาดูลูกช่วงกลางวัน อีกคน
กำลังมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน งานกีฬาสีทำไม่เสร็จ ส่งรายงานไม่ทัน โอ้ยยย...สารพัด
รุมเร้าเข้ามา แม่ช่า รับปัญหาอยู่คนเดียว ที่สำคัญต้องคอยไม่ให้ตัวเองป่วย หรือเป็นอะไร
ไป แค่คืนเดียวที่รู้ตัวว่าเป็นไข้ตัวรุม ๆ ฉันต้องรีบหายากินทันที ท่องในใจว่า ห้ามหยุด
ห้ามป่วย ให้เวลาตัวเองคืนนั้นเพียงคืนเดียว พรุ่งนี้ ฉันต้องพร้อมรับงานหนักได้เหมือนเดิม

พ่อช้างโทรทางไกลจากประเทศจีนมาที่บ้านคืนวันหนึ่ง ซึ่งบังเอิญเป็นวันที่ฉันอารมณ์เสียพุ่ง
ปริ๊ดสุดขีดด้วยเรื่องอะไรที่ไม่เป็นสาระ แต่ด้วยความเหนื่อย และเพลีย จึงหงุดหงิดพร้อม
ที่จะหาเรื่องกับใครสักคนอยู่แล้ว พ่อช้างก็มาเป็นตัวรับอารมณ์ฉันพอดี

“..ช่างานยุ่งไหมช่วงนี้ แล้วลูก ๆ เป็นอย่างงัยบ้าง คุณลำบากไหม”

“…เหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่แล้ว ไหนจะต้องส่งเรียนพิเศษ ไหนจะงานที่บริษัท
แล้วนี่นะ ๕^%$()_%$#@!!.........”

ทุก ๆ คำพูดก็พรั่งพรูผ่านสายโทรศัพท์ไปยังเมืองที่เขาอยู่.....

“แล้วคุณล่ะ เป็นงัย...” ถามกลับ หลังจากบ่นจนเหนื่อย

“ที่นี่เมืองมันเงียบ ทำงานเสร็จตอนเย็น ก็ไม่ค่อยมีที่ไป นั่งคุยกันเองกับเพื่อนที่มาด้วยกัน
หรือเพื่อนคนจีน ดูทีวีบ้าง ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ .....”


“โห ทำงานมีความสุขแบบนี้ ดีนะคะ น่าอิจฉาชะมัด ช่านะบางทีเวลาเป็นของตัวเองสักชั่วโมง
ยังหาไม่ค่อยได้เลย คุณน่ะ สบายจังเลยนะ มีเวลาว่าง แล้วยังได้เที่ยวบ่อย ๆ อีก… ลูกทาง
นี้ตั้ง 3 คน นั่งดูแลอยู่คนเดียว มันเหนื่อยแค่ไหนคุณรู้บ้างไหม...” อดไม่ได้ที่จะใส่เข้าไปอีกดอก


“ผมกลับว่า คุณยังดีกว่าผมนะ ” เสียงเขาเนิบและช้า...คล้ายปลอบเมื่อรู้ว่าฉันอารมณ์ไม่ดี

“ดียังงัย มาแลกกันไหม...โธ่...”ว่าไปโน้น เกเรเหมือนเด็ก ๆ

“ก็คุณยังได้เห็นลูก ได้อยู่กับลูกงัย ผมคิดถึงลูกแค่ไหน ก็...” เสียงเขาเงียบไป ส่วนฉันก็อึ้ง
สะอื้นของเขาทำให้ฉันรู้สึกจนจุกที่คอ ใช่ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นทั้งเหงา และ เงียบ
ให้เหนื่อยแค่ไหนฉันก็ได้อยู่กับลูก ได้กอด ได้หอม แต่เขาซิ ไม่มีโอกาสได้ทำอย่างฉันเลย....










 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:11:42 น.
Counter : 391 Pageviews.  

14>แม่พิมพ์ของลูก

แต่ละวัน ในวัยเรียน ลูก ๆ ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียน พบและเห็นเพื่อน ๆ และ คุณครู อาจารย์
ทั้งหลายมากกว่าอยู่ที่บ้าน แม้นับเวลา นับชั่วโมงแล้วอาจจะพอ ๆ กัน แต่สำหรับพ่อ และ
แม่ ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือหนูถีบจักร ย่อมมีเวลาอยู่ด้วยกัน น้อยกว่าอยู่แล้ว


ส่วนจะน้อย หรือ มากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการแบ่งสรรปันส่วนเวลากันได้ดีเพียงไหน


อาจารย์ หรือ คุณครูที่ลูกได้พบเจอ สถานะทางสังคม ก็คือผู้ประสาทวิชาความรู้ให้
แต่ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ มีโกรธ มีทุกข์ มีสุข มียาก ลูกได้พบเจอครู
หลายคนที่เป็นครูที่ดี ขณะเดียวกัน ก็มีครูที่ฝากความมีสีสรรให้กับครอบครัวเราอยู่
ไม่น้อยเหมือนกัน


ดูซิ ว่าเหมือนกับของใครบ้างหรือเปล่า


จากคุณ : ชราร่า - [ 26 พ.ย. 49 22:46:48 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

“งานปีใหม่ คุณครูบอกว่าให้เอาของขวัญไปสองชิ้นนะ แม่”


“...ทำไมสองชิ้นล่ะคะ มีงานอะไรบ้างจ๊ะ”


“คุณครูบอกว่า ชิ้นนึงไว้จับฉลาก ราคา 30 บาท ส่วนอีกชิ้นนึงเป็นของขวัญคุณครู ราคาเท่าไรก็ได้ค่ะ”


“?? !! ??”


“...พรุ่งนี้ แม่จะแวะซื้อให้ตอนหลังเลิกงานนะคะ สำหรับของขวัญจับฉลาก” ลูกมองหน้าฟังฉันต่อ

“ส่วนของขวัญครู ก็ให้คุณครูโทรหาแม่เองนะคะ ลูกรู้เบอร์ของที่บ้านใช่ไหมลูก ถ้าครูถามก็บอกครูไปนะ”


ลูกคงไม่ได้เข้าใจหรอกว่า ฉันอยากให้ครูโทรมาเพื่ออะไร ลูกจะพูดตามที่ฉันบอก
หรือเปล่า ก็ไม่รู้ แต่สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนอะไรบางอย่างในการจัดการทางออกของฉัน
และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของลูก ซึ่งน่าเศร้ามาก ไว้เล่าต่อไปค่ะ


“บ้านเราเป็นคนจนเหรอคะ แม่” วันนี้ลูกมากับคำถามแปลก ๆ


“...ทำไมเหรอลูก” ฉันยังไม่ตอบ เพราะยังไม่รู้ที่มาของคำถามดี


“ที่โรงเรียน เพื่อนบอกว่าถ้าได้เงินวันละ 5 บาท เป็นคนจน อย่างน้องเจนได้แบงค์ 20 ทุกวัน...”


“ใช่ ๆ น้องตูน ก็ได้ สอง20 บาทแน่ะ ” ลูกอีกคนเสริม


“แล้วทำไมเราจน ล่ะแม่” ขอบตาเริ่มแดง ๆ


ยังไม่ทันจะตอบคำถามลูก ก็ได้ที่มาของคำถามคือ “ คุณครูไม่ให้หนูแสดงบนเวที
งานปีใหม่ของโรงเรียน เพราะว่าต้องออกเงินชุดแสดงเอง มันแพงมากน่ะแม่ คนละ
150 บาท ครูถามว่าถ้าคุณแม่ให้ 150 ได้ ครูก็อนุญาตให้ขึ้นแสดงได้ แต่ต้องซ้อมก่อน
หลาย ๆ วัน...”


“แล้วคุณครูบอกว่า บ้านเรายากจนงั้นเหรอลูก”

“ เต้นรำต้องจับคู่ค่ะ เหลือ 1 คน คือหนูกับทิมมี่…ทิมมี่บอกว่า หนูเอาเงินมา 5 บาท
แม่คงไม่มีค่าชุด คุณครูก็ให้หนูออก” ลูกเล่าตะกุกตะกักตามนี้ ก็ประมาณว่า ทั้งห้องต้อง
เหลือ 1 คน เพราะไม่มีคู่ เพื่อน ๆ สรุปว่าบ้านเรายากจนจากเงินที่ลูกเอามาโรงเรียนใน
แต่ละวัน ดังนั้นคงไม่มีค่าชุดให้ครู ลูกเลยเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่ได้ขึ้นเวที สงสารลูกจังเลย


จากคุณ : ชราร่า - [ 26 พ.ย. 49 22:50:49 ]






ความคิดเห็นที่ 2

ฉันเห็นลูกแอบดูเพื่อน ๆ ซ้อมเต้นรำหลังเลิกเรียน กลับถึงบ้าน ยังเลียนแบบท่าเต้นเป็น
จังหวะ ๆ เหมือนที่เห็นมา แต่ไม่ได้รบเร้าหรือมีคำพูดใด ๆ ออกมาว่า อยากขึ้นเวที
เหมือนเพื่อน ๆ


และฉันก็ไม่ได้ถาม !!!
แล้วฉันจะไม่รู้เหรอว่า ลูกอยากทำอะไร


ก็บอกตรง ๆ ว่า ไม่รู้จะอธิบายให้ลูกวัย 6- 7 ขวบฟังอย่างไร เป็นแม่ที่แก้ปัญหาเรื่องโน้น
นี้ได้สารพัด แต่คราวนี้..ก็ถึงจุดตันได้เหมือนกัน


ห่วยได้ใจจริง ๆ เลย ฉันนี่


ซ้ำยังถูกตอกย้ำด้วยเหตุการณ์ที่วันหนึ่งขับรถไปแถวสยามสแควร์ จะผ่านไปทางพระรามสี่
พอรถจอดไฟแดงหน้า จุฬา ฯ ก็ชี้ให้ลูกดู


“นี่เด็ก ๆ เห็นไหม นี่โรงเรียนแม่นะ แม่เคยเรียนที่นี่กับพ่อ”


“อ้าว พ่อกับแม่เรียนโรงเรียนวัดเหรอคะ”


แป่วววว

เพราะเห็นหอประชุมและตึกอักษรมีหลังคามุงกระเบื้องแดงคล้ายวัดนั่นเอง


โอ้ย ซ้ำเติม กระทืบได้แบน จริง ๆ


เก็บความรู้สึกเรื่องนี้มาได้หลายปี หาจังหวะที่จะบอกลูกเรื่อง ความร่ำรวยและความ
ยากจนมีกฎเกณฑ์การวัดที่ไหน ความพอใจ และความไม่รู้จักพอเพียง แตกต่างกัน
อย่างไร จริง ๆ ฉันน่าจะคิดว่าลูกซึมซับได้เองในตอนนั้น แต่ปรากฏว่า กว่าจะตั้งหลัก
สอนลูกได้ มันก็เกิดเป็นตะกอนในใจลูกมาได้ระยะหนึ่ง ซึ่งก็กินเวลามาหลายปีทีเดียว

อีกเรื่องหนึ่งคือการสอนทำการบ้าน สิ่งที่เป็นกิจวัตรก็คือ เด็ก ๆ จะเอาสมุดจดการบ้าน
และการบ้านที่ทำเสร็จแล้วมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งฉัน เพื่อว่าหากฉันเข้าบ้านแล้ว
ก็จะได้ตรวจดูและเซ็นชื่อ พรุ่งนี้เช้า ก็ให้แก้ ถ้ามี หรือไม่มีแก้ก็ใส่เข้ากระเป๋านักเรียนเลย


วันนั้น เข้าบ้านดึก งานกว่าจะเสร็จหมดแรง เห็นสมุดการบ้านที่คุ้นตาของลูกทุกคน
วางไว้บนโต๊ะตามที่เคย พลิก ๆ หน่อย ก็เซ็นชื่อไป แบบว่าไม่ได้ดู


เย็นวันต่อมา ลูกเอาสมุดที่มีกากบาทสีแดงทั้งหน้ามาให้ดู บอกว่าคุณครูถ้าว่างให้คุณแม่
ไปพบด้วย ฉันรู้สึกผิดมาก แต่ก็หาพยายามข้อมูลและทำความเข้าใจกับความผิดที่ได้
กระทำไว้ก่อนไปพบครู

จากคุณ : ชราร่า - [ 26 พ.ย. 49 22:54:54 ]






ความคิดเห็นที่ 3

โจทย์ก็คือ คุณครูเล่าเรื่อง และให้นักเรียนวาดรูปตามเรื่องนั้น ๆ 4 รูป โดยให้นักเรียนร่วม
ทำงานชิ้นนี้กับผู้ปกครอง


“วันหนึ่ง คุณครูประกาศหน้าเสาธง ว่าจะพานักเรียนไปทัศนศึกษาที่บางแสน
เด็ก ๆ ดีใจมาก” นี่คือเนื้อหาที่คุณครูให้มา


ด้วยที่กลับบ้านดึกอย่างที่เล่า ลูกก็ทำงานชิ้นนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งรูปทั้ง 4 ที่ครูกำหนดเนื้อหา
นั้น ลูกได้วาดออกมาเป็น


รูปที่ 1 ธงชาติบนเสาสูง มีคน ๆ หนึ่งยืนอยู่ข้างเสา

รูปที่ 2 มีรูปร่างเหมือนไมค์ แต่วาดออกมา เป็นอมยิ้ม

รูปที่ 3 ภูเขาสองลูก มีนกบิน มีห่วงยาง เหมือนโดนัท วางบนพื้น

รูปที่ 4 มือห้านิ้ว ประมาณ 3-4 มือ


คุณครูบอกฉันว่า ไม่สามารถสื่อสารได้ชัดเจนเท่าที่ควร และที่สำคัญ ผู้ปกครองไม่ได้
มีส่วนร่วม ฉันถามคุณครูว่า แล้วภาพที่ครูคาดหวังคืออะไร คุณครูก็หยิบตัวอย่าง
ชิ้นงานที่ดีที่สุดในความเห็นของครูออกมา


รูปที่ 1 รูปเสาธงอยู่ไกล ๆ มีคน ๆ หนึ่งยืนอยู่บนระเบียงห้อง มีไมค์ มีนักเรียนเข้าแถว
หลายแถว ทุกคนมีคิ้ว มีตา มีปาก ครบถ้วน


รูปที่ 2 หน้าของนักเรียนหลายคน ยิ้มแย้ม


รูปที่ 3 นักเรียนกำลังขึ้นรถทัศนาจรอย่างมีระเบียบ ซึ่งมีหลายคัน


รูปที่ 4 ชายทะเล มีรูปเรือใบ รุปเด็กกำลังก่อกองทราบอยู่ริมชายหาด

ทั้งหมดวาดด้วยสีน้ำ สวยงาม


ฉันออกความคิดเห็นกับครูว่า แม้ฉันไม่ได้ร่วมงานชิ้นนี้ แต่ก็ไม่เห็นว่า งานที่ลูกทำด้วย
ตัวเขาเอง จะดูแย่ กว่า ผู้ปกครองคนอื่น ๆ ทำเลยการที่จะกากบาทสีแดง ใหญ่ยักษ์
ขนาดนั้น อยากให้คำนึง ถึงจิตใจของเด็กด้วยในเรื่องความไม่สามารถวาดรูปได้ สิ่งเหล่านี้
คือรูปที่เขาสามารถถ่ายทอดจากจินตนาของเขาจริง ๆ ขอให้คุณครูเข้าใจ ก็ให้คะแนนใหม่


คุณครูยืนยันว่าไม่สามารถให้คะแนนได้ เพราะเป็นงานที่ต้องการให้ผู้ปกครองกับนักเรียน
มีปฎิสัมพันธ์กัน ถ้าให้คะแนนไป ก็เท่ากับเด็กทำถูกต้อง


ดังนั้นงานชิ้นนั้นก็ต้องผิด เพราะว่าผู้ปกครองไม่ให้ความสนใจในงานของนักเรียนเพียงพอ


อยากหัวเราะให้ฟันโยก งานชิ้นเดียว วัดความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ปกครองไปได้
ตลอดกาล งั้นเหรอไม่เรียกว่าหัวสีเหลี่ยม ก็ไม่รู้ว่าเรียกรัยดี


จากคุณ : ชราร่า - [ 26 พ.ย. 49 23:00:15 ]






ความคิดเห็นที่ 4

จุดสรุปของแต่ละเรื่องเป็นดังนี้ค่ะ

ลูกเล่าในตอนหลังว่า หลังปีใหม่ คุณครูได้อวดของหลายอย่างในห้องเรียน...


“ เสื้อที่ครูใส่วันนี้เป็นของที่ผู้ปกครองของ___ ให้มา สวยไหมคะ นักเรียน ”


“ลิปสติก ที่ครูใช้ทาวันนี้ ก็เป็นของขวัญจากผู้ปกครองของ __”


“....นี่ __ วานไปบอกคุณพ่อคุณแม่นะคะว่า ขนมเค้กปีใหม่ที่ให้ครูมา อร่อยมาก”


“……………..”
“___________”

ประมาณ กดดัน กดดัน ...


ลูก ๆ รู้ว่า ขืนมาบอกฉัน ก็คงไม่ได้ของขวัญไปให้คุณครูแน่นอน เลยไปปรึกษาพี่พร
( พี่เลี้ยงต่อจากพี่ญัติ ) พี่พร ก็ไปซื้อที่คาดผมพลาสติกจากตลาดนัดหน้าซอยบ้าน
ราคา 7 บาท สีดำใส่ซองกระดาษ สีหม่น ลายคิตตี้บาง ๆ ให้คุณครูไปในวันต่อมา


ไม่ปรากฏว่า คุณครูเอามาพูดอวดเหมือนของเพื่อนคนอื่น ๆ เลย ลูกมาบอกตอนหลังว่า
อายเพื่อนมาก เพราะครูเอาไปให้ลูกของภารโรงใช้


ก็เป็นสาเหตุที่ทั้งครูและเพื่อน ๆ เห็นว่า เราคงไม่มีเงินสำหรับชูดเต้นรำราคา 150 บาท
การจะได้ขึ้นเวทีงานปีใหม่ ก็เป็นความรู้สึกที่ไม่น่าประทับใจของลูกเลย


ผลพวงต่อมา ก็คือ เพื่อน ๆ สรุปว่า เราคงไม่มีทางได้เคยเห็นทะเล จึงวาดรูปออกมาเป็น
ภูเขาสองลูก พระอาทิตย์ส่องแสงอยู่เยื้องไปด้านขวา มีเมฆสองก้อน และนกตัวเล็ก
อีก หนึ่งฝูง คล้ายลอกจาก ส. ค. ส ใบหนาเคลือบเงาในสมัยหนึ่งแบบนั้น


5 ปีผ่านไป มันสะท้อนใจจนออกปากขอโทษลูกตอนนั้น ว่าแม่ไม่ได้มีเจตนาให้ลูกมีความ
ทุกข์ขนาดมากมายแบบนี้


“แม่ไม่ต้องห่วง ตอนหลัง ๆ ก็มานึกดู หนูไม่เคยรู้สึกว่า หนูขาดอะไร หนูก็เลยไม่สนใจว่า
เป็นคนจนแล้วมันอย่างงัยเหรอ”

“แล้วถ้าจนแล้ว อยู่แบบนี้ หนูก็ไม่รู้ว่าการเป็นคนรวยแล้วมันจะดีกว่าตรงไหน”


เรื่องนี้สอนฉันว่า บางครั้งเวลา ก็เป็นตัวช่วยที่ดีได้เหมือนกัน

จากคุณ : ชราร่า - [ 26 พ.ย. 49 23:03:10 ]






ความคิดเห็นที่ 5

ขออนุญาตทำความเข้าใจอีกครั้ง ไม่ได้หมายว่าคุณครูทุกคนเป็นแบบนี้ เรื่องดี ๆ ก็มีเยอะ
จะขอลงชื่อไว้ตรงนี้เลยนะคะ คุณครูมุกดา อาจารย์ทวีพงศ์ อาจารย์อรีรัตน์ ครูเกษม
อาจารย์สายัณห์ ครูประทุมศรี อาจารย์ชนินทร์ ครูอนุทิน
และท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยนามค่ะ







 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:10:42 น.
Counter : 376 Pageviews.  

13>คู่มือเตรียมตัวก่อนเดินห้าง

ดูหัวข้อแล้วรู้สึกไฮโซจังเลยนะคะ
แต่เปล่าหรอก เพียงแต่คนมีอาชีพ
Mother Director ต้องบริหารเวลา
ให้ดี การเดินห้างเพื่อจับจ่ายก็เป็น
สิ่งที่หลีกเลี่ยงยาก

สอนลูก..ยิ่งมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อย
จะมาจำกัดการสอนอยู่แค่โต๊ะเขียน
หนังสือไม่ได้ พบเห็นอะไรด้วยกัน
ก็สอนไปด้วยนั่นแหละดีที่สุด เพราะ
learning by doing แต่ตอนนี้เป็นตอน
Learning by shopping อิอิ



จากคุณ : ชราร่า - [ 23 พ.ย. 49 22:08:46 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

“แม่ช่าจะพาลูก ๆ ไปที่โรบินสันนะคะ วันนี้เราไปซื้อของที่ super กัน เราไม่ซื้อของ
อย่างอื่น เพราะวันนี้แม่ช่าทำงานได้เงินมา 250 บาท..”


“โห แม่ได้เงินเยอะจัง..” เด็ก ๆ มีอายุประมาณ 4-5 ขวบ ยังเดียงสากับมูลค่าของเงิน


“แม่มีรายการของที่ต้องซื้ออยู่แล้ว ไหนใครอ่านออกบ้างว่าแม่ต้องซื้ออะไร...” ตั้งใจที่จะ
เขียนตัวชัด ๆ โต ๆ เพื่อให้ลูกฝึกอ่าน และสนุกเมื่อไปข้างนอกด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นกิจกรรม
ของแม่ก็ตาม ....

น้องปันมักจะอาสาเป็นคนอ่านรายการของที่ต้องซื้อ ส่วนน้องแฝดก็จะช่วยกันหาว่าของ
อยู่ส่วนไหนของ super ยังต้องอ่านฉลากให้ชัดเจนว่าใช่ของที่ต้องซื้อแน่นอน ตัวเลข
ซึ่งเป็นราคาของสินค้า ลูกก็มักจะถามว่าอันไหนเรียกว่าถูก อันไหนคือแพง มีการแย่งกัน
ตอบ บ้างก็เถียง แล้วท้ายสุดก็หันหน้ามาที่แม่ช่า ทำนองว่า “แม่ว่าใครถูกฮ่ะ”


นอกจากนี้ แม่ช่ายังจะสอดแทรกความรู้ให้ลูกเรื่องของน้ำหนักของสินค้า เรื่องของ อย.
( อาหารและยา ) โดยเฉพาะว่าหากเราซื้อขนมแล้วไม่มีเลขหมาย อย. ก็ไม่ปลอดภัยที่
จะซื้อมากิน อีกอย่างก็คือวันหมดอายุ ของนม หรือ โยเกิร์ต ต้องสังเกตให้ดี


ถ้าเราตกลงกันว่ามาซื้อของใช้ในบ้าน เราก็จะไม่แวะที่ไหนอีก คือกลับตรงเข้าบ้าน
หรือว่าพอมีเงินเหลือบ้าง ก็ให้ลูกตัดสินใจว่าจะกินขนมได้อีกคนละเท่าไร กี่ชิ้น วิธีนี้ทำให้
ลูกคิดเลขอยู่ตลอด เพื่อดูว่าเมื่อของครบแล้ว จะลุ้นมีเงินเหลือกินขนมไหมทุกครั้ง สนุกดี
พร้อมกันได้เรียนรู้นิสัย และ วิธีคิดของลูกแต่ละคนด้วย
ลูกคนที่ตะกละหน่อยก็จะคอย
ให้ซื้อของลดราคาเพราะจะได้มีเงินเหลือกินขนม ขณะที่อีกคนจะดูว่าของราคาถูกนั้น
จะหมดอายุแล้วหรือเปล่า แม่ช่าก็อมยิ้มยืนฟังเฉย ๆ



จากคุณ : ชราร่า - [ 23 พ.ย. 49 22:11:40 ]






ความคิดเห็นที่ 2

มีบ่อยครั้งที่แม่ช่า แกล้งว่าเงินที่เจ้านายให้มาวันนี้ ไม่พอซื้อของใช้ในบ้านเลย ขาดไป
20บาทบ้าง 30 บาทบ้าง เด็ก ๆ จะหน้าเสียเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเพราะว่าไม่มีเงินเหลือซื้อ
ขนม อีกส่วนหนึ่งก็คือ ที่บ้านใช้ของฟุ่มเฟือยไปหรือเปล่า ฉันก็จะถือโอกาสพูด
เรื่องกินข้าวต้องหมดจาน ไม่เหลือทิ้งไว้ ของเล่นเสีย ก็ซ่อมได้ ไม่ต้องซื้อใหม่หรอก
หรือว่าพอเล่นเบื่อแล้ว ก็ทำความสะอาดเอากล่องมาใส่ไว้อย่างเดิมนะคะ พวกโฟม
หรือกระดาษที่กันกระแทกก็ไม่เคยทิ้งไปแต่แรกอยู่แล้ว พอจะต้องเก็บใหม่ ก็ทำให้
เหมือนของใหม่ เก็บไว้หลังตู้ คอยสลับกับของเล่นอยู่อีกหนึ่งชุด ดังนี้ประเภทไม่ครบสี
หรือชิ้นส่วนหายก็เกิดขึ้นน้อยมากค่ะ


ก็ใช่ว่าจะใจร้ายไปทุกเรื่อง โอกาสพิเศษไปซื้อของเล่น หรือขนมเค้กก็มี เพียงแต่ว่าฉัน
ต้องมีงบประมาณให้เสมอว่าไม่เกินกว่านี้ ดังนั้น ต้องย้ำเสมอว่าเงินน่ะ มี แต่มีเท่านี้นะ
ประเภทออกอาการดิ้นกลางห้าง ร้องไห้เอาชนะ ก็ไม่มีให้เห็น เพราะหากสัญญาว่าให้ก็มี
ให้แน่ ถ้าไม่ได้บอกว่าให้ ดิ้นให้ตายก็ไม่มี อย่ามาร้องเสียให้ยาก แต่ก็ยังไม่เคยร้อง
ให้เห็นเลยนะคะตั้งแต่เป็นแม่เป็นลูกกันมา


อีกเรื่องหนึ่งก็คือ วิธีการแก้ปัญหา ถ้าลูกพลัดหลงในห้าง เด็ก ๆ นั้นพอเดินได้เอง ก็มัก
ไม่สนใจว่ากลุ่ม หรือพวก ไปถึงไหนกันแล้ว ครั้นจะจูงมือลูกทั้งหมด ก็คงต้องเอาเชือก
มาผูกไว้เป็นพวง


แม่ช่า ก็จะเขียนชื่อพ่อ และแม่พร้อมหมายเลขโทรติดต่อใส่กระเป๋าลูก หรือห้อยคอไว้
มีแอบเขียนยศและตำแหน่งของทั้งพ่อและแม่ไว้ด้วยเผื่อคนร้ายจะลักพาเด็ก ก็คงไม่กล้า
เอาลูกของนายตำรวจยศพลตำรวจเอกช้าง และแพทย์หญิงช่าไปหรอก อิอิ


อีกทีก็จะสอนให้ลูกท่องหมายเลขโทรศัพท์บ้านไว้ ทันทีที่รู้จักตัวเลข 1-10 แล้วหากเมื่อไร
ที่รู้ตัวว่าหลงแล้ว ไม่ต้องตกใจ ให้ยืนอยู่กับที่เดิม หรือไม่ก็เดินไปที่บันไดเลื่อนที่ใกล้
มากที่สุด แม่จะเดินไปหาบริเวณที่ผ่านมา และบันไดเลื่อน


ก็โชคดีว่าผ่านมาไม่เคยได้ใช้ป้ายห้อยคอและบันได้เลื่อนเป็นประโยชน์สักที


จากคุณ : ชราร่า - [ 23 พ.ย. 49 22:14:42 ]






ความคิดเห็นที่ 3

ข้าวของซื้อมาก ๆ แม่ช่าก็ไม่เคยหิ้วตัวเอียงอยู่คนเดียว เด็ก ๆ ต้องให้ถือด้วยอย่าง
ถ้วนหน้า ให้น้ำหนักพอ ๆ กัน เพราะเป็นของใช้ของทุกคนที่บ้านเรา ก็ต้องช่วยกันหิ้ว
ไม่เกี่ยงกัน หรือจะเห็นแก่ตัวไม่ได้เลย เพราะจะเป็นคนที่ไม่มีคนเล่นด้วย และคราวหน้า
จะมา super ก็จะไม่ชวนมาด้วย เป็นการ boycott เล็กน้อย เข็ดไปนานเลยแหละ


ครั้งหนึ่ง บอกลูกว่า วันนี้มีงบประมาณสำหรับเด็ก ๆ ซื้อขนม คนละ 20 บาท ดีใจกัน
มากก็คงคิดว่าเยอะอ่ะนะ เพราะต่างคนต่างถือตะกร้าพลาสติกคนละใบ แม่ช่าเรียน
รู้จากลูก ๆ ในคราวนี้ว่า .....


น้องปัน>> ซื้อของขบเคี้ยว ยี่ห้อเดียวกันแต่หลายรสชาติ ใช้งบหมด = สนใจเรื่องไหน ก็จะมุ่งมั่นเจาะลึกกันสุด ๆ

น้องปูน >> ได้ของชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว ราคาเต็มอัตราเท่าที่ได้รับ = ไม่ค่อยคิดอะไรลึกซึ้ง ใช้สิทธิเต็มที่


น้องไปป์ >> ขนมหลายอย่าง และ หลายราคา ซ้ำยังมีเงินเหลือมาคืนอีก = เป็นคนเรื่อย ๆ และพอใจเท่าที่ตัวมีอยู่


ฉันอ่านลูกได้ถูกหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ที่อยากจะบอกก็คือ ลูกจะเติบโตขึ้นมา อย่าดูแค่
ตัวเลขบนตาชั่ง หรือจากไม้วัดส่วนสูง ให้สังเกตการณ์พัฒนาการด้านความคิด ความ
อ่านทั้ง IQ และ EQ เพื่อเราจะสามารถหล่อหลอม หรือขัดเกลาใหม่ได้ ก่อนสายเกินแก้







 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:09:55 น.
Counter : 560 Pageviews.  

12>รัก หรือ ทำร้าย


ช่วงนี้เริ่มเข้าประเด็นการดูแลเด็กแล้วนะคะ เตรียม
save ได้เลย แต่บางเรื่องก็เลือน ๆ ไปบ้าง ก็มัน
ตั้งกว่า 20 ปีแล้วนี่นา พี่ว่าหลัก ๆ ก็คงไม่ต่างกัน
เท่าไร คงไม่ได้ลงรายละเอียด



จากคุณ : ชราร่า - [ 22 พ.ย. 49 17:18:18 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

“กลุ้มใจจังเลยพี่ช่า ลูกพูดไม่ฟังเล้ยยย ดื้อก็เท่านั้น นี่ก็พยายามแล้วนะ ว่าจะไม่สนใจแล้ว
ปล่อยไปตามบุญตามกรรมแล้วกัน ไอ้เราทำงานเหนื่อยแทบตาย วัน ๆ ลูกไม่เห็น
ใจบ้างเลย....ทำงัยดีค่ะ พี่”


คำพูดประมาณนี้เยอะมากเวลามีพ่อแม่รุ่นน้องมาขอคำปรึกษา ซึ่งมักจะมารู้สึกตัวก็
ตอนที่ลูกโตแล้ว หรือไม่ก็ตามใจกันมา จนกระทั่งไม่กล้าออกปากเอง มีการโบ้ย
ให้โรงเรียนดูแล คุณครูสั่งสอน พร้อมกับบอกว่า “ ก็ฉันไม่มีเวลานี่ !!”


เด็กเล็กรับรู้ในสิ่งที่เราพูดหรือแสดงกับเขาเสมอ คำพูดที่ว่า รอให้โตกว่านี้ก่อน หรือให้รู้
เรื่องมากหน่อย ค่อยมาว่ากันนั้น ก็มักจะเจอว่าสายเกินไป
เคยอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “ กว่าจะ
ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว” ไหมค่ะ นั่นแหละ แค่อนุบาลยังว่าสายเลย ไหมล่ะ ฉะนั้น
ไม่ต้องรอ ดีที่สุดก็คือวันนี้ เดี๋ยวนี้ !!!


พฤติกรรมของพ่อแม่ที่กลัวว่าลูกจะไม่รัก...


ลูกไม่กินผัก... >> เขี่ยผักให้
ลูกไม่ยอมนอน... >> อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าลูกจะง่วง
ลูกใจร้อน... >> พยายามไม่ขัดใจ
ลูกเอาแต่ใจตัว... >> ประเคนให้ลูกได้ทุกอย่าง


รักลูกกับการทำร้ายลูก อยู่ใกล้กันมากค่ะ แต่อยากให้คิดนิดส์นึงว่า ตกลงแก้ปัญหาระยะสั้น
เพียงให้เขาหยุดร้องกริ๊ด ๆ หยุดดิ้นปั๊ดปั๊ดกลางห้างสรรพสินค้า เพราะแก้รำคาญ ขอให้
หยุดทำ หยุดร้องเฉพาะช่วงนี้ หรือยอมลำบาก อดทน ค่อย ๆ พูด ไม่รอเวลาให้ลูกคิด
เองได้ เพื่อสร้างความจำในสิ่งที่ถูกต้อง ที่ควรปฎิบัติตั้งแต่ต้น เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในวันหลัง


ความมีวินัย เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ค่อย ๆ ทำค่อย ๆ เรียนรู้กันไป แต่ที่มักจะไปกัน
ไม่ค่อยรอด เพราะผู้ใหญ่เอง ก็ไม่พยายามเป็นแบบอย่างที่ดีเอง ซ้ำยังมีการแบ่งว่า ผู้ใหญ่
ทำได้ เด็กทำไม่ได้ จำไว้เถอะว่าคุณจะพูดแบบนี้กับลูกได้ไม่นาน วันหนึ่งเขาจะเรียก
ร้องความถูกต้องที่แท้จริง ถึงตอนนั้น คุณจะร้องไห้ในอก อย่างชอกช้ำ !! เชื่อเหอะ


ปัญหาหลัก ๆ สำหรับเด็กเล็กในระยะแรก ๆ มีไม่มากค่ะ พอแบ่งออกได้อย่างนี้


มีต่อจ๊ะ รอแป๊บเนอะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 22 พ.ย. 49 17:21:54 ]






ความคิดเห็นที่ 2

เด็กไม่กินข้าว

ต้องฝึกให้นาฬิกาในตัวลูกมีความเที่ยงตรง พอถึงเวลากิน ก็ต้องกิน ไม่ใช่เดี๋ยวนม
เดี๋ยวน้ำส้ม กลับมาป้อนนมใหม่ นาฬิกาในตัวจะรวน เด็กเล็กหิวบ่อย ก็ต้องค่อย ๆ ฝึก
โตขึ้นหน่อย ถ้าไม่กิน เมื่อถึงมื้ออาหาร ก็ไม่ต้องกิน เก็บให้หมด !!! จะกินอีกที ต่อเมื่อ
ถึงเวลาเท่านั้น ถ้ามื้อนั้นไม่กิน ก็ไม่มีการให้ขนมระหว่างมื้อนะคะ คุณแม่และพี่เลี้ยงต้อง
ใจแข็งค่ะ สักพักเด็กจะเรียนรู้เอง


การวิ่งไล่ป้อนข้าว เป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เวลากิน ต้องนั่งกับที่ค่ะ ไม่ควร
ดูทีวี ไปกินไป เด็กจะอมข้าว และติดเป็นนิสัย เพราะว่าเพลินไปกับการดู เลยไม่ยอมเคี้ยว
แล้วข้าวนี่ ยิ่งอม ยิ่งหวาน ก็จะยิ่งเพลินไปกันใหญ่


แล้วประเภทไม่กินผักเขียว ไม่กินถั่ว ไม่กินปลา หรือการยกเว้นใด ๆ ก็อยู่ที่เริ่มต้น
ก่อนอื่นต้องดูที่ตัวคนป้อนก่อนพี่เลี้ยงบางคนไม่กินผลไม้ ก็พาลไม่ป้อนผลไม้ให้น้อง
บางคนชอบเค็ม ข้าวน้องก็ได้รสมือพี่เลี้ยง คือ เค็มจนไตแทบพัง สำหรับเด็กรสชาติให้
อ่อนไว้ก่อนนะคะ ควรได้ความหวานจากผัก และความหอมน่าทานจากเครื่องปรุงที่สดและใหม่


ก็ต้องทำความเข้าใจให้ดี ของมีประโยชน์ต้องให้หลากหลาย และทำให้น่าทาน ปรุงอะไร
ก็ให้กินอย่างนั้น ไม่ควรตามใจเด็กมากโดยยอมเขี่ยนี่ทิ้ง เอานี่ออก ควรพูดหรือหลอกล่อ
เด็กบ้าง ว่ากินแล้วเก่ง แข็งแรงหรือว่าสวย น่ารัก ก็ว่าไป



จากคุณ : ชราร่า - [ 22 พ.ย. 49 17:24:14 ]






ความคิดเห็นที่ 3

เด็กไม่ยอมนอน


เป็นการฝึกนาฬิกาในตัวเช่นกัน ตอนยังเล็กนอนมากสักหน่อย ก็ให้ตามนั้น ยืดหยุ่น
ได้บ้าง แต่อย่าให้ผิดเวลามาก ที่จะมีปัญหาคือตอนกลางคืน เมื่อเด็กโตหน่อยหากร้อง
ไห้กลางคืนบ่อย เมื่อดูแล้วว่าร้องตามเวลาเกิดจากความเคยชิน ก็ให้ดื่มน้ำแทนการให้นม
และเวลาตื่นก็จะทิ้งห่างไปเอง...ควรสร้างบรรยากาศด้วยค่ะ ไม่ใช่ คุณพ่อ ก็ดูทีวี ราย
การบอลเตะกันโครม ๆ แล้วจะให้หนูนอนได้อย่างไร


ตอนลูกทั้งสามยังเล็ก ที่บ้านก็จะมีระเบียบปฎิบัติคือ
ตอนนั้นทางช่อง 7 มีรายการ
การ์ตูนประมาณ 15 นาที ก่อนข่าว 2 ทุ่ม เมื่อถึงเวลา ก็เกณฑ์มาให้ดูทีวี
พอจบรายการการ์ตูน ก็มี good night kiss กับผู้ใหญ่ทุกคน แล้วก็พากันไปนอนใน
ห้องตัวเอง ซึ่งจะเงียบและปิดไฟด้วย ทำแบบนี้ได้ระยะหนึ่ง พอรายการการ์ตูนจบ
เด็กทั้งหมด แทบจะหาวนอนพร้อม ๆ กัน นาฬิกาในตัวเขาทำงานแล้ว ถึงเวลานอนก็
หลับเลย ตอนแรกลำบากนิดหน่อย หลัง ๆ ก็เริ่มสบายเพราะอยู่ตัวกันหมดแล้ว


ส่วนเรื่องกินนมตอนกลางคืน เนื่องจากดูแลไม่ทันกับเด็กตั้ง 3 คน ขืนต้องขึ้นมาให้
นมตลอด คงไม่ได้นอนแน่ ๆ คุณช่า มี trick นิดหน่อย อาจจะพอช่วยได้นะคะ คือ
เมื่อหัดให้เด็กจับขวดนมได้แล้ว ทุกคน จะมีพี่จิงโจ้ คือเป็นตุ๊กตาผ้า มีกระเป๋าหน้า
ท้องที่มีขนาดพอใส่ขวดนมได้ คนละหนึ่งตัว โดยจะวางไว้ประมาณที่ 10 นาฬิกา ถ้าเด็ก
เอื้อมมือไปทางขวา บนเล็กน้อย ก็จะสามารถหยิบขวดนมได้ทันที


“ พี่จิงโจ้ใจดี คอยดูให้ลูกหลับสบายนะคะ แล้วจะเฝ้าขวดนมไว้ให้ ถ้าลูกหิวนอน ก็มา
หยิบกับพี่จิงโจ้ได้เลยนะคะ”


ช่วงแรก ๆ ก็ต้องตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงร้อง เอามือของลูกเอื้อมไปที่กระเป๋าพี่จิงโจ้
พูดเบา ๆ ให้ลูกรู้ว่า ขวดนมอยู่ตรงนี้ ๆ ฝึกแบบนี้สักพักหนึ่ง คอยดูการปรับพฤติกรรม
คราวหลังพอลูกต้องตื่นกลางดึก เขาก็จะเอื้อมมือไปหยิบเองโดยอัตโนมัติ


มีเรื่องเล่าขำ ๆ ก็คือ เจ้าลูกชาย พอกินนมหมดขวด จะเควี้ยงขวดนมเปล่าไปด้านหลังดัง
โป้งทันที และทุกครั้ง อันนี้ไม่ได้สอนนะ ทำได้งัยไม่รู้

ส่วนลูกสาว กินเสร็จ ก็จะลืมตาขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วเอาขวดนมเปล่า ยัดใส่กระเป๋าพี่จิงโจ้
เหมือนเดิมอันนี้ก็ไม่ได้สอนเหมือนกัน แปลกไหมล่ะ



จากคุณ : ชราร่า - [ 22 พ.ย. 49 17:29:10 ]






ความคิดเห็นที่ 4

เมื่อหนูไม่ฉะบาย .. กินยา

การป้อนยาก็เป็นปัญหากันมาก ซึ่งก็เริ่มที่ผู้ใหญ่นั่นแหละทำให้เด็กรู้ว่าเรื่องกินยาเป็น
เรื่องน่ากลัว เด็กรับรู้และซึมซับได้เร็วมากจากท่าทีของคนรอบข้าง


ที่เห็นบ่อยก็คือ พอถึงเวลาป้อนยา ก็จับเด็กมาห่อผ้า กันเปื้อน แล้วรัดตัวเด็กไว้แน่น ๆ...
จะบ้าเหรอ แค่นี้ก็น่ากลัวมากแล้ว อยู่ ๆ จับหนูมามัดตัวซะงั้น แล้วไอ้ช้อนที่ใส่น้ำสี
อะไรไม่รู้ ก็มีคนหนึ่งจับงัดปากให้หนูเปิด อีกคนก็พยายามเทไอ้น้ำใส่ปากหนู
ซ้ำหน้าตาก็ขึงขัง คิ้วขมวดเอาเป็นเอาตายน่ากลัวมากเลย


เป็นคุณ คุณคิดว่าเป็นเรื่องสนุกได้อย่างนั้นเหรอ !!!


หนูตื่นและกลัว ด้วย ก็ อ๊อกยาสีเขียว สีเหลือง ออกมาหมดเลย คุณพ่อ คุณเม่ก็เอ็ด
หนูอีก จับมัดตัวใหม่ ป้อนใหม่


นี่จะฆ่าหนู หรือให้หนูหายป่วยกันแน่




หนูก็เลยมีความรู้สึกที่ไม่ดีตั้งแต่คุณหมอชุดขาว ที่ฟังหัวใจกับ ไอ้ขวดกลม ๆ ฝาขาว ๆ
ทุกที เพราะทำให้หนูรู้สึกกลัว และหวาดระแวงทุกครั้งเลย


สมัยนี้มีหลอดสลิงก็ช่วยได้มาก ค่อย ๆ ฉีดทีละนิดที่กระพุงแก้ม
หรือให้ดูดจุ๊บ ๆ แต่ระวังว่าหน้าตา
เหมือนเข็มฉีดยานะ


ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่บอกว่า นี่คือ ยา ถ้าเราบอกว่ามันคือน้ำผลไม้ หรือน้ำมนต์
น้ำวิเศษที่ สโนไวท์ให้มา ที่ทำให้หนูหายตัวร้อนได้ล่ะ เพราะรสชาติยาสำหรับเด็ก
ก็มักจะหวานอยู่แล้ว ป้อนก็ให้มีท่าทางป้อนให้ปกติ เหมือนกินข้าว หรือผลไม้
ตามด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำอุ่น


แค่นี้เอง เด็กก็ไม่ต้องกลัว ร้องไห้กริ๊ด ๆ ฝังใจกับการกินยา ที่ผู้ใหญ่สร้างความรู้สึกที่แย่ ๆ
กับหนูในครั้งแรก


เห็นไหมคะ ทุกอย่างอยู่ที่มือเราทั้งสิ้น เมล็ดพันธุ์เม็ดนี้ ขึ้นอยู่กับดินที่เราเลือก ปุ๋ยที่เราใส่
แสงแดดและน้ำที่มีเพียงพอให้เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างแข็งแรง เราต้องอดทน อดกลั้น
และมุ่งมั่น เพื่อจะได้ไม่นั่งเสียใจในภายหลัง


ที่ทำไปนั้นรักลูกหรือเพียงให้สบายตัวชั่วครู่ ควรจะคิดดูให้ดี





 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:08:33 น.
Counter : 452 Pageviews.  

11>ต้อนรับน้องใหม่

ที่จะเล่าสู่กันฟังตอนนี้ก็คือ วิธีที่จะให้พี่
คนโต ที่เดิมก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ใคร ๆ ก็เอา
ใจ ด้วยความที่มาก่อนคนอื่น ทุก ๆ อย่าง
ก็เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวในบ้าน ไม่ว่า
จะเป็นของเล่น เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้
อันใด โต๊ะเก้าอี้ ชาม และแก้วน้ำที่เป็น
สิ่งเล็ก ๆ สีสรรสวยงาม นั้น รับมือกับน้อง
ที่เคยอยู่ที่ท้องแม่ ให้รักน้อง ช่วยแม่
เลี้ยงน้องได้อย่างไร

โดยเฉพาะน้องที่มาทีเดียว สองคน ! ! !
--------------------


ตั้งแต่ยังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ทั้งเพื่อน ๆ ญาติ ๆ มาเยี่ยมกันคึกคัก ตัวฉันเอง
เหนื่อยและเพลียมาก แผลผ่าตัดยังสดและเจ็บอยู่ แต่ก็ต้องฝืนใจขึ้นมารับแขก บางวัน
คิดว่าจะได้พักสักงีบหนึ่ง ก็ได้แค่งีบสั้น ๆ เท่านั้น


เรื่องการเยี่ยมคนไข้หรือคนป่วย ก็ออกจะทำใจกันได้ลำบาก ไม่ไปเยี่ยม ก็อาจหาว่า
ไม่ใส่ใจ หลายครั้งก็อยากให้ได้พักผ่อนจริง ๆ เพราะไม่งั้น ก็คงไม่นอนโรงพยาบาล
ใช่ไหม แต่คนไทยเราก็มักจะทำใจไม่ได้ หากได้ยินข่าวว่ามีใครไม่สบาย แล้วไม่ไปเยี่ยม
จะบอกว่าจริง ๆ แล้วคนไข้อยากพักผ่อนมาก ๆ


ด้วยทุกคนอยากเห็นลูกแฝดก็เลยอาจจะมาเยี่ยมมากกว่าปกติ คุณพยาบาลตั้งกะบะแก้วไว้
คู่กันหน้ากระจกห้องเลี้ยงเด็กอ่อน หลังจากอยู่ตู้อบครบ 3 วันแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะเปรียบเทียบ
ความเหมือน ความต่างของลูกฉัน หลายครั้งที่ออกจะเคือง ๆ เพราะไม่ค่อยชอบให้
ใครมาวิจารณ์ คล้ายกับตัวตลก แต่ก็อ่อนเพลียเกินกว่าจะไปทำอะไร


กล่องของขวัญ สำหรับลูกทั้งสองมีมากมาย เพราะส่วนใหญ่จะให้สองชิ้น ที่สำคัญก็คือ
ให้เป็น 2 ชุดเหมือนกัน และมักจะเป็นสี และ แบบเดียวกัน ถ้าเป็นของเล่นหรือของใช้
ก็เหมือนกันอีกคงอยากให้ใช้ของและแต่งตัวเหมือนกัน


แต่ในหนังสือที่ฉันได้รับจากนายที่ทำงาน คือวิธีเลี้ยงลูกแฝด โดยกลุ่มแม่ลูกแฝดในอเมริกา
ทำการรวมตัวกัน เขียนขึ้นมาโดยอาศัยประสบการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตความผิดปกติ
พฤติกรรมที่อาจเกิดในเด็กแฝด การเลื่อมเวลาให้นม การให้ยา การเรียน ความจำ และอื่น ๆ
อีกซึ่งดีมาก อย่างน้อย ๆ ก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันยึดเหนี่ยวไว้เพื่อเลี้ยงลูกท้องสองนี้


สิ่งหนึ่งที่ในหนังสือเขียนไว้ซึ่งย้ำให้หลีกเลี่ยง ก็คือแต่งตัวเหมือนกัน หรือการดำเนินชีวิตประ
จำวันที่เหมือนกัน เพราะจะเป็นสาเหตุให้เด็กขาดความมั่นใจในตัวเอง เนื่องจากหากเราแสดง
ให้เด็กรู้สึกว่า หากแฝดคนที่หนึ่ง แต่งแบบนี้ แฝดคนที่สองก็ต้องแต่งเหมือนกันนั้น ก็จะ
สร้างให้เกิดนิสัยไม่มีความคิดริเริ่มแต่แรกซึ่งโดยเหตุและผล ฉันเอง ก็เห็นด้วยอย่างมาก


ดังนั้น เสื้อผ้าข้าวของที่เหมือนกัน จึงถูกแยกออกมาเป็นสองชุด ชุดหนึ่งไว้ใช้ อีกชุดก็เก็บ
ไว้เพื่อให้คนอื่น ต่อไป หรือไม่ก็อาจนำมาใช้ในวันข้างหน้า ของเล่นก็เช่นเดียวกัน
ญาติ ๆ และ พี่เลี้ยงเด็ก จะไม่ค่อยพยายามเข้าใจในสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ ทุก ๆ คนหาว่า
คนชอบขวาง ชอบฝืน ที่จะให้ลูกใส่เสื้อผ้าชุดเดียวกันโดยเฉพาะเวลาจะพาลูกออกนอกบ้าน
แต่ฉันก็รู้ว่า เมื่อไรที่ฉันไม่อยู่ ก็จะแอบให้น้องใส่เสื้อเหมือนกัน ก็เอาเหอะ ถือว่าไม่เห็น





อ้าว ก็เลยเขียนไม่เข้าประเด็นที่อยากจะพูดให้ฟังในกรณีที่ลูกคนโต จะยอมรับน้องคนใหม่ได้อย่างไร



พอรู้ว่า น้องแฝดได้ของขวัญมากมาย กลับไปที่บ้านลูกสาวคนโตวัยไม่ถึง 16 เดือน
คงยากที่จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันจึงออกอุบายให้คุณช้างไปซื้อของขวัญสำหรับ
เด็กหญิง อีกประมาณ 5-6 กล่องหลายหลากออกไป เป็นเสื้อผ้าบ้าง ตุ๊กตาบ้าง แอบไว้
คราวนี้พอแขกผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยมกลับไปแล้ว แม่ช่าก็จะเรียกพี่ปันมาใกล้ ๆ

“นี่จ๊ะน้องปัน คุณป้าณี ฝากกล่องนี้ไว้ให้หนูนะคะ เพราะป้าณีรู้ว่า หนูจะช่วยแม่เลี้ยงน้อง
ก็เลยให้เป็นรางวัลจ๊ะ” น้องปันยิ้มแก้มปริ หรือไม่ก็....

“ลุงสน ฝากของขวัญให้พี่สาวคนเก่งนะคะ”

ซึ่งจริง ๆ เป็นของที่เราซื้อเองและแอบไว้หลังตู้ไม่ให้ลูกเห็น เดี๋ยวจะไม่เนียน..


ส่วนหากคนที่มาเป็นเพื่อน ๆ ที่พอจะบอกกันได้ ก็จะโทรขอกันตรง ๆ


“พี่นิดจ๊ะ ตอนมาเยี่ยมหลานแฝด ขอขนมกล่องเล็ก ๆ ฝากให้น้องปันด้วยนะจ๊ะ”

“เออจริงซิ ได้ ๆ เดี๋ยวซื้อให้ด้วยอีกชิ้น ยัยช่านี่ความคิดดีแฮ่ะ”

“น้องปัน ป้านิดฝากของเล่นให้พี่ปัน กับน้องนะคะ 3 กล่อง น้องยังเล็ก พี่ปันเก็บให้น้อง
ก่อน ส่วนกล่องนี้ตุ๊กตาของปันเลย อันนี้ ชอบไหม” คำนี้เล่นเอาพี่ปัน อกพอง เป็นพี่แล้วนะ
เป็นพี่แล้ว ส่วนป้า ๆ น้า ๆ ทั้งหลาย ยังเอาวิธีนี้ไปใช้สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีลูกคนที่สอง
หรือสาม แต่จะซื้อเผื่อคนเป็นพี่ด้วยเสมอ


อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันทำแล้วได้ผล เต็ม ๆ ก็คือ คุณช้างจะไม่ต้องเข้ามามีส่วนในน้องแฝดเลย
คุณพ่อ จะเป็นคนดูแลพี่ปัน คนเดียว บอกให้พี่ปันรู้ว่าช่วงนี้แม่ดูแลไม่ไหว เพราะต้องดู
น้องแฝด ดังนั้น ปันจะไม่รู้สึกเหงา หรือถูกแย่งเอาความรักไปหมด เพราะแม่ช่าแบ่งหน้าที่
ไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว


ส่วนหากพี่ปันอยากมาช่วยแม่ดูน้อง ก็จะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ก่อน เช่น พี่ป้นจะมีหน้าที่หยิบ
แพมเพิส หรือผ้าอ้อม เวลาน้องจะใช้ แม่หรือพี่เลี้ยงก็จะเรียกหา

“พี่ปัน พี่ปัน น้องขอผ้าอ้อมจ๊ะ โอ้ยย เก่งจัง น้องปูน กับน้องไปป์รักพี่ปัน เพราะพี่ปัน
ใจดีนะคะ”


น้องปันจะวิ่งเข้ามาทำหน้าที่ทุกครั้ง จนเป็นงานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ หลายครั้งที่มักจะชี้นิ้วไปที่
ก้นน้อง แล้วหันหน้ามามองแถม
มีเสียง เออ อ้า ด้วยความที่ยังพูดไม่ได้ เสมือนถามว่าน้องเปียก หรือยังหลัง ๆ เริ่มรู้งาน
เลียนแบบจากพี่เลี้ยง ก็คือ จับก้นน้องเอง พอรู้สึกว่าน้องเปียก ก็จะร้องเสียงดัง
และวิ่งไปที่ตะกร้าผ้าอ้อมทันที


คนที่มาเยี่ยมเยอะ ๆ ก็มีทั้งมาแสดงความยินดีจริง ๆ ที่เราโชคดีมีคราวเดียวสองคน นัยว่า
ประหยัดค่าคลอดแต่ก็ยังมีอีกจำพวกหนึ่ง จะเรียกว่า พวกเจตนาดีประสงค์ร้าย ก็คงไม่ผิด

“นี่ นี่ ช่า อย่าหาว่าพี่พูดไม่ดีนะ อันนี้สำหรับคนสนิทนะคะ ไม่สนิทก็คงไม่กล้าพูด
เรื่องการมีเด็กแฝดในบ้านเนี่ยะ โดยเฉพาะเด็กชาย”

ฉันเริ่มทำใจ บอกตัวเองว่า คำทำนายจะมาอีกแล้วงั้นเหรอ


“ …. มีอะไรเหรอคะ”

“คือคนพูดกันว่า ถ้ามีแฝดในบ้าน ก็ให้แยกเลี้ยงกันซะ อยู่ด้วยกัน คนใดคนหนึ่งจะไม่รอด...”

“วิธีการก็คือ ยกให้คนอื่นไปเลี้ยง หรือไม่ก็ยกให้พระเลี้ยงแทน...”


ทีแรก ก็นึกว่า เพื่อนรุ่นพี่จะพูดเล่น คงกะ จะขอลูกฉันไปเลี้ยง เพราะเธอแต่งงานนานแล้ว
แต่ยังไม่มีลูกแต่ด้วยเรื่องนี้ มีคนมากกว่า 4 คน มาพูดในลักษณะเดียวกันหมด กระทั่ง
เกิดกระแสความคิดที่เห็นด้วยขึ้นมาในวงญาติของคุณช้าง ว่าหลานแฝดคู่นี้ จะต้องถูก
แยกออกจากกัน ! ! !


“… ถ้าอยู่แล้ว บ้านนี้จะมีเหตุไม่ดี ช่ากับลูกก็จะย้ายออกไปเองดีกว่า คงไม่สร้างความ
ลำบากให้แน่นอนค่ะ ไม่ต้องเป็นกังวล..” ฉันอาสาเองในค่ำวันหนึ่งบนโต๊ะอาหาร


“….ก็ไม่ใช่ว่าจะขับไส ไล่ส่ง แต่เป็นธรรมเนียมที่พ่อแม่ก็ต้องอยู่กับลูกชายคนโต
ช่าจะทิ้งให้คนแก่อยู่กันเอง แล้วพาลูก 3 คนย้ายออกไปได้อย่างงัย”


“ถ้างั้น ก็อยู่ด้วยกันแบบนี้แหละ หากเกิดเหตุอะไรขึ้น ช่า ก็จะรับผิดชอบเอง แต่ขอร้อง
ไว้อย่างเดียว อย่าพูดเรื่องทำนองนี้อีกต่อไป ใครมาพูดอีก ก็ไม่ต้องฟัง.. และไม่ต้อง
มาเล่าให้ฟังด้วย” ฉันเสียงเข้ม เรื่องดังกล่าว ก็หยุดไปโดยปริยายนับแต่วันนั้น


แม่ของฉันซึ่ง ได้มาเยี่ยมฉันพร้อมให้น้องชายหาบตะกร้าจีนใบใหญ่สองใบ มารับขวัญ
หลานชาย คนแรกของบ้านตามธรรมเนียมจีนเท่งไฮ้ ประกอบด้วยไข่ไก่ 40 ใบ ส้ม
กล้วย และขนมจันอับ อีกจำนวนหนึ่ง มาอวยพรกับญาติผู้ใหญ่ของทางคุณช้าง


“..วันนี้เอาขนมมายินดี มีหลานแฝด เปรียบเสมือนมีตะเกียงคู่อยู่หน้าบ้าน จะส่อง
ความเจริญและให้แสงสว่างกับคนในบ้านนี้ไปตลอด ดีใจด้วยนะคะ”

แม่ฉันซึ่งฉันไม่เคยเล่าเรื่อง ที่ผู้หวังดีประสงค์ร้ายบอก แต่กลับนำเรื่องที่ดี ๆ มาให้
ซึ่งเห็นได้ว่า อยู่ที่มุมมองที่แตกต่างกันจริง ๆ มาถึงวันนี้ก็ 22 ปีแล้วที่เลี้ยงกันมา ก็มีแต่เรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขื้นมาตลอด โดยเฉพาะวันที่แฝดทั้งสองจบการศึกษาจากสถาบันระดับต้น ๆ ของประเทศ ฉันนึกถึงคำแม่

”เด็กสองคนนี้ จะเป็นตะเกียงหน้าบ้านสองดวงที่ส่องให้แสงสว่างกับคนในบ้านตลอดไป”

และแน่นอนที่สุด เป็นตะเกียงที่ให้ความอบอุ่นกับใจฉันด้วย





 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:07:50 น.
Counter : 414 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.