|
นกกระปูดตาแดงน้ำแห้งก็ตาย
นกกระปูดเป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่ได้ยินแต่ชื่อจากในเพลงมานาน ก่อนที่จะได้เห็นตัวจริงเสียงจริง
แถมยังเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีกระปูดสองชนิดอีกต่างหาก คือกระปูดเล็กและกระปูดใหญ่ กระปูดเล็กนั้นยังไม่เคยเห็น แต่กระปูดใหญ่ได้เห็นเต็มๆตาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะที่พุทธมณฑลนี่เห็นเป็นครั้งแรก เพราะมีคนเอาข้าวไปเทไว้บนถนนและเค้ามากินกันสองตัว เหมือนแม่ไก่ไม่มีผิด
นกกระปูดใหญ่เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ถึง53ซม. คือเกือบๆสองไม้บรรทัดนั่นเชียว มีขนปกคลุมร่างกายสีดำ ปาก และเท้าก็เป็นสีดำ แต่มีหลังและปีกสีน้ำตาล นัยน์ตาสีแดงสมดั่งที่เพลงว่า และส่งเสียงร้องปุ๊ด ปุ๊ด ปุ๊ดให้ได้ยินโดยไม่เห็นตัวอยู่เสมอๆ
นกกระปูดเป็นนกประจำถิ่นที่หาง่ายและพบได้ทั้งประเทศ ชอบหากินบนพื้นดิน แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ไปเกาะอยู่บนยอดไม้สูงๆให้หมั่นไส้เล่นๆ แม้จะขนาดใหญ่โตขนาดนี้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมองเห็นตัวได้ง่ายๆเพราะสีของเค้าจะกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมและมักอยู่ในพงหญ้ารกๆ โดยหาอาหารตามแหล่งนั้นเอง เช่นพวกแมลงต่างๆ สัตว์เลื้อยคลานเล็กๆ ตะขาบ เป็นต้น
ถ้าคราวหน้าได้ยินเสียงปุ๊ด ปุ๊ด กังวานๆจากพงหญ้าที่ไหนก็อย่าลืมมองหานกใหญ่ที่มองหายากตัวนี้ดู
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับนกกระปูดใหญ่ คลิกที่นี่
Create Date : 08 มกราคม 2548 | | |
Last Update : 7 สิงหาคม 2548 19:39:42 น. |
Counter : 19947 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กะเต็นหัวดำ
นกกะเต็นหัวดำ Halcyon pileata (Black-capped Kingfisher) ที่พบโดยทั่วไปไม่ใช่นกประจำถิ่นของประเทศไทย แต่เป็นนกที่เดินทางอพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทยหรืออพยพผ่านเฉพาะช่วงหน้าหนาว โดยจะเริ่มพบตัวได้ราวเดือนตุลาคมเป็นต้นไปของทุกปี โดยจะพบได้ตามป่าโกงกาง ป่าละเมาะ สวนสาธารณะ พื้นที่เกษตรกรรม บนสายไฟข้างทาง เนื่องจากเป็นนกกะเต็นที่มีขนาดตัวจากปลายปากจรดปลายหางถึง 30 เซนติเมตร และมีสีสันสะดุดตาจึงเป็นที่สังเกตเห็นตัวได้โดยง่าย
นกกะเต็นหัวดำมีปากสีแดงสด หัวและหน้าสีดำ โดยหัวสีดำนี้ ถ้ามองจากทางด้านหลังจะเห็นตัดกันชัดเจนกับคอสีขาวเป็นลักษณะเหมือนกับว่านกไว้ผมทรงหางเต่า ขนคลุมตัวด้านบนและหางที่ยาวพอประมาณเป็นสีน้ำเงิน ขนปีกสีน้ำเงินตัดกับสีขาวที่ขอบปีกนอก ขนคลุมลำตัวด้านล่างตั้งแต่ด้านข้างของอกเป็นสีออกส้มน้ำตาล บริเวณตรงกลางของอกเป็นสีขาวต่อเนื่องลงมาจากคอ มีขาและเท้าเล็กๆดูไม่ค่อยแข็งแรงสีแดง ตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน
อาหารของนกกะเต็นหัวดำจะเป็นไปตามแหล่งที่อยู่อาศัย หากว่าอยู่ตามป่าชายเลน ก็จะกินปู กินปลา หากว่าอยู่ตามสวนสาธารณะ หรือแหล่งน้ำอื่นก็จะกินบรรดาแมลง กบ เขียด และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ เมื่อจับเหยื่อได้นกก็จะนำมาฟาดกับกิ่งไม้จนตาย แล้วจึงกิน
นกกะเต็นหัวดำทำรังในโพรงดินริมฝั่งน้ำ โดยจับคู่ผสมพันธุ์ในช่วงเดือนพฤษภาคม นกตัวผู้จะเกี้ยวพาราสีตัวเมียโดยการบินโชว์ ร้องเสียงดัง แล้วบินไปเกาะโชว์ตัวเด่นๆบนกิ่งไม้ ขยับตัวไปซ้ายทีขวาที หากตัวเมียพอใจในลีลาท่าทางก็จะปลงใจช่วยกันขุดโพรงดินลึกราว1-3เมตร ทำมุมเฉียงขึ้นด้านบน เมื่อผสมพันธุ์แล้ว แม่นกจะวางไข่ราว 4-5ฟอง พ่อแม่นกช่วยกันกกไข่ราว18-24วันก็จะฟักเป็นตัว ลูกนกถูกเลี้ยงในโพรงรังราว3-4สัปดาห์ก็จะออกมาข้างนอก พ่อแม่ก็ต้องหาอาหารมาป้อนนอกรังจนลูกนกโตพอที่จะหาอาหารได้เอง
อย่างไรก็ตาม นกกะเต็นหัวดำส่วนใหญ่ไม่ได้ทำรังวางไข่ในประเทศไทย (มีเพียง 1 รายงานที่พบว่าทำรังวางไข่ที่จ.นครสวรรค์)เป็นเพียงผู้อพยพหนีหนาวลงมาจากตอนเหนือของเกาหลีและประเทศจีน ซึ่งนกจะใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนที่นั่น และเริ่มอพยพลงมาในช่วงกันยายน-ตุลาคม โดยนกชนิดนี้จะบินลงมาถึงศรีลังกา ประเทศไทย อินโดจีน มาเลเซีย ไปจนถึงอินโดนีเซีย จำนวนน้อยมากจะเดินทางลงไปถึงสุมาตราและชวา สำหรับประเทศไทยนั้นพบได้ทั่วประเทศ โดยนกที่พบทางภาคเหนือจะเป็นนกอพยพผ่านที่กำลังเดินทางลงมาใช้เวลาช่วงฤดูหนาวในภาคกลางและคาบสมุทรมลายู
ภาพนกกะเต็นหัวดำนี้ เจ้าของบล็อกถ่ายมาจากพุทธมณฑล ซึ่งจะพบนกชนิดนี้ได้เป็นจำนวนมากทุกปี ที่ว่ามากนี้ไม่ใช่ว่านกหากินอยู่ด้วยกัน นกกะเต็นหัวดำจะแยกกันหากิน และมักพบเพียงครั้งละ 1 ตัวเสมอ แต่ที่ว่ามากก็คือ เมื่อพบตรงนี้แล้ว ขับรถไปอีกจุดก็เจอ อีกจุดก็เจอ และเจอได้ทุกครั้งที่เข้าไปในพุทธมณฑลในช่วงฤดูที่นกอพยพมา
ข้อมูลจาก //www.bird-home.com
Create Date : 08 มกราคม 2548 | | |
Last Update : 11 กันยายน 2549 19:27:38 น. |
Counter : 3924 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กะเต็นอกขาว
นกกะเต็นอกขาว Halcyon smyrnensis (White-throated Kingfisher) เป็นนกกะเต็นประจำถิ่นของประเทศไทยที่พบได้ปริมาณมากและพบได้ทั่วประเทศ และเป็นนกประจำถิ่นของเอเชียใต้ กระจายพันธุ์ตั้งแต่ตุรกีจนถึงฟิลิปปินส์ มีทั้งหมด 4 ชนิดย่อยแตกต่างไปตามพื้นที่ที่อยู่อาศัย โดยชนิดย่อยที่พบในประเทศไทยคือชนิดย่อย H.s.smyrnensis
นกกะเต็นอกขาวมีปากใหญ่สีแดง คอและอกสีขาวตามชื่อสามัญ หัวและตัวด้านล่างเป็นสีน้ำตาลแดง ปีกและหางสีฟ้าสดใส ปลายปีกดำ หัวปีกสีน้ำตาลและน้ำเงินเข้ม ขาและเท้าสีแดงเช่นเดียวกับปาก มีความยาวจากปลายปากจรดปลายหาง 28 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่ตัวเมียอาจมีสีน้ำตาลที่อ่อนกว่า
นกกะเต็นอกขาวไม่ได้กินปลาเป็นหลัก อาหารที่นกชนิดนี้กินได้แก่สัตว์เลื้อยคลานที่มีและไม่มีกระดูกสันหลัง งูขนาดเล็ก หนู กิ้งก่า ปลาขนาดเล็ก จิ้งจก ตุ๊กแก ตะขาบ ปู กบ เขียด นกขนาดเล็ก เช่นนกกระจิบหญ้า เป็นต้น เมื่อกินอาหารได้หลากหลาย เราจึงสามารถพบนกชนิดนี้ได้ในพื้นที่หลากหลาย เช่น สวนสาธารณะ สวนมะพร้าว ห้วย บึง หนอง คลอง แม่น้ำ หาดโคลน ป่าโกงกาง ป่าไผ่ ป่าเต็งรัง ตั้งแต่พื้นราบจนถึงระดับความสูง2000เมตรจากระดับน้ำทะเล
นกชนิดนี้มักถูกพบเกาะนิ่งๆก้มหัวลงหาอาหาร เมื่อพบก็จะโฉบลงไปจับขึ้นมา ฟาดกับกิ่งไม้ จนสลบหรือตาย แล้วจึงกิน
ในประเทศไทย นกชนิดนี้จะทำรังวางไข่ช่วงเดือนเมษายน ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะช่วยกันขุดโพรงรังโดยใช้ปากและเล็บเท้าขุดเป็นโพรงเข้าไปในผนังดิน ตามบ่อน้ำที่เกือบแห้ง ผนังดินลำธารน้ำ เป็นต้น ปากรังจะมีพุ่มไม้เล็กๆปิดปากโพรงเล็กน้อย ปลายโพรงด้านในจะขุดเป็นแอ่งวางไข่ กว้าง 50 เซนติเมตร ลึก 7 เซนติเมตร วางไข่ครอกละ 4-7 ฟอง เปลือกไข่สีขาว พ่อแม่นกช่วยกันหาอาหารมาป้อนลูก
นกกะเต็นอกขาวนี้ เจ้าของบล็อกมักพบที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นประจำ โดยบริเวณที่พบมักเป็นบริเวณริมน้ำ เคยพบนกจับปูและกิ้งก่าขึ้นมากินหลายครั้ง ถ้าเป็นปูก็จะตีกับกิ่งไม้จนขาหักออก แล้วกิน กิ้งก่าก็ถูกจับฟาดกับกิ่งไม้จนแน่นิ่งไป แล้วจึงกิน โดยช่วงที่พบนกชนิดนี้มักเป็นช่วงหน้าฝนเป็นต้นไป จนถึงช่วงเวลาที่นกกะเต็นหัวดำ( Black-capped Kingfisher) ซึ่งเป็นนกอพยพ เดินทางมาอาศัยที่นี่ในช่วงฤดูหนาว
ข้อมูลจาก:
www.bird-home.com วิกิพีเดีย
Create Date : 07 มกราคม 2548 | | |
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 13:56:05 น. |
Counter : 4970 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|