เราคัดสรรบริษัทประกันคุณภาพเพื่อคุณ ด้วยทางเลือกที่เหมาะสมในราคาที่คุณพึงพอใจ
|
|||
ทำไมต้องลงทุน ? เก็บเงินใส่กระปุกอย่างเดียวไม่พอหรือ ?
การลงทุนอย่างรอบคอบ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เงินของเราเติบโต อำนาจการซื้อของเราจะลดลงเรื่อย ๆ จากภาวะเงินเฟ้อ หากไม่มีวิธีทำให้เงินงอกเงิยอย่างระมัดระวัง คนเรามักมองการลงทุนว่าเป็นการเสี่ยง ที่จริงแล้วการลงทุนคือ การเก็บออมด้วยวิธีที่ได้ผลตอบแทนสูงสุด โดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย เช่น
- ตราสารหนี้ เพื่อการระดมทุนที่ออกโดยรัฐบาล (พันธบัตร) หรือภาคเอกชน (หุ้นกู้) ซึ่งผู้ลงทุน (ซึ่งก็คือผู้ให้กู้ยืม) จะได้รับดอกเบี้ยตามงวดที่กำหนดไว้ในตราสารหนี้ และได้รับเงินลงทุนคืนเมื่อตราสารหนี้ครบอายุ - ตราสารทุน ก็คือหุ้น ถือเป็นรูปแบบหนึ่งในการถือครองกรรมสิทธิ์ในกิจการ ส่วนได้ส่วนเสียของผู้ลงทุนจะขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถือครองอยู่ ผูู้้ถือหุ้นมีโอกาสได้กำไรจากมูลค่าหุ้นและอาจได้รับเงินปันผลด้วย - กองทุนรวม บริหารโดยผู้จัดการลงทุนมืออาชีพ ซึ่งอาจจะนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์แบบใดแบบหนึ่ง หรือหลายรูปแบบ เช่น เงินสด พันธบัตร หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ฯลฯ - ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Link) เป็นลูกผสมระหว่างความคุ้มครองจากประกันชีวิต และมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอ้างอิงตามหลักทรัพย์ที่ลงทุนควบกันในกรมธรรม์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนต้องทำอย่างไร
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ไม่ว่าเราจะเป็นคนขับ ผู้โดยสารหรือผู้เห็นเหตุการณ์ เราควรปฏิบัติอย่างไร
1. ถ้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ควรเข้าช่วยเหลือคนป่วยเจ็บตามสมควร และเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดี โดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นรถคันหนึ่งชนคนแล้วหนี สิ่งที่เราควรช่วยเหลือจับกุมคนที่ทำผิดได้ก็คือ พยายามจดทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถที่ชนไว้ได้แล้วรีบแจ้งให้ตำรวจทราบเพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีพลเมืองดีบางท่านถึงกับขับรถตามจับคนขับ ที่ชน คนแล้วหนีได้ คนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคม 2. ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน ท่านจะต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อ 1. สิ่งแรกคือท่านจะต้องขอร้องให้คนอื่น หรือตำรวจนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ก่อน ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาภายหลัง แต่ถ้าเจ็บเล็กน้อยพอยอมความได้ก็ยอมเสีย เพื่อมิให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่จะต้อง พยายามขอชื่อหรือจำทะเบียนรถคันที่ชนเราไว้ให้ได้ เพราะถ้าหากผู้ขับขี่เบี้ยวเราภายหลัง เราจะได้จัดการเรียกค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย มิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้ว่าจะไปฟ้องร้องเขาจากใคร ที่ไหน 3. ถ้าท่านเป็นคนขับ ถ้าท่านเป็นคนขับรถชนกัน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ อย่าหนีเป็นอันขาด เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น ไม่ใช่ เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไร ควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนี นานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนตาย แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดี บางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านเป็นคนดีมีน้ำใจ หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้
4. ถ้ารถท่านมีประกัน ท่านต้องรีบติดต่อกับบริษัทประกันของท่านทันที เพราะบริษัทประกันเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมมูลเพื่อเอาไว้ต่อสู้คดี 5. ถ้ามีกล้องถ่ายรูปหรือหากล้องถ่ายรูปใกล้ที่เกิดเหตุได้ต้องรีบถ่ายรูปรถ และที่เกิดเหตุไว้ให้พร้อม เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นหลักฐานการต่อสู้คดีต่อไป และหากมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ้งหรือมูลนิธิร่วมกตัญญูถ่ายภาพศพหรือที่เกิดเหตุไว้ ก็ให้ติดต่อขอภาพที่ถ่ายเก็บไว้ให้ได้ เพราะจะเป็นประโยชน์แก่รูปคดีในภายหลัง 6. ควรช่วยเหลือคนเจ็บหรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ คนขับรถ มักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ ความจริงเมื่อเราขับรถชน คนตาย บาดเจ็บ หรือการขับรถโดยประมาทนั้น เรามีความผิดทั้งทางกฎหมายแพ่ง และอาญา
- เราขับรถชนคนบาดเจ็บไปโรงพยาบาล ต่อมาอัยการฟ้องเราต่อศาล เราก็แถลงต่อศาลว่าเราช่วยเหลือคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาล ส่วนมาก ศาลจะเห็นว่า เราเป็นคนดีมีน้ำใจ ศาลก็อาจจะรออาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ถ้าเราชนแล้วหนี ส่วนมาก ศาลมักจะจำคุกเราเลย เพราะเห็นว่าเราเป็นคนแล้งน้ำใจ - การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มากยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่า ไม่ให้คืนรถของกลางให้แก่ผู้ต้องหา จนกว่า ผู้ต้องหา จะพยายาม ตกลงกับฝ่ายผู้เสียหาย และถ้าหาก เราชดใช้ค่าเสียหาย จ่ายค่าทำศพให้เขา คดีแพ่งก็ระงับ เพราะถือว่า ยอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายเราในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว และถ้าเราถูกฟ้อง คดีอาญาต่อศาล ผู้เสียหาย จะมาแถลงต่อศาลว่า เราได้ชดใช้ค่าเสียหายให้เขาแล้ว ส่วนมากแล้ว ศาลจะปรานีจำเลย โดยตัดสินให้รออาญาแก่จำเลย เห็นหรือยังว่า การช่วยเหลือคนเจ็บ และการมีน้ำใจนั้นดีอย่างไร แหล่งที่มาของข้อมูล : กรมการประกันภัย ทำอย่างไรเมื่อรถหาย
ข้อแนะนำข้อควรปฏิบัติเหตุฉุกเฉินเมื่อรถหายดังนี้
1. หากเห็นคนร้ายกำลังลักรถเรา เราจะทำอย่างไร ถ้าบังเอิญเป็นโชคของเรา ที่เราเห็นในขณะที่คนร้าย กำลังลักรถเรา เราควรปฏิบัติดังนี้ ( ก) เรียกให้คนช่วยเหลือ การตะโกนให้คนช่วยเหลือ เช่น ร้องว่า "ขโมย ช่วยด้วย! ขโมย" ตามปกติคนร้ายเมื่อ ได้ยินเสียคนร้อง เช่นนั้น ส่วนมากมักจะวิ่งหนีไป ( ข) เรียกให้ตำรวจช่วยจับกุม หากบริเวณนั้นมีตำรวจ เราก็ควรตะโกน หรือรีบแจ้งให้ตำรวจจับกุมได้ทันที แต่ถ้าเรา เห็นคนร้าย โดยที่คนร้ายไม่เห็นเรา เราก็ควรรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ให้รีบมาจับกุมให้ทันท่วงที แต่ถ้าเห็นว่าไม่ทันการณ์ เพราะกว่าที่ตำรวจจะมาถึงคนร้ายก็เอารถไปได้แล้ว เราควรใช้สิทธิป้องกันทรัพย์สินของเราดังจะกล่าวต่อไป ( ค) ใช้สิทธิป้องกันทรัพย์ของเรา ความจริงกฎหมายให้อำนาจเรา มีสิทธิที่จะป้องกันชีวิตทรัพย์สินของเราได้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 บัญญัติว่า " ผู้ใดจำต้องกระทำการใด เพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้น ภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้น เป็นการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด" หมายความว่า เรามีสิทธิจะป้องกันสิทธิในชีวิต ร่างกาย และสิทธิในทรัพย์สินของเรา เราก็มีสิทธิที่จะป้องกันทรัพย์ของเราได้ เช่น คนร้ายเข้าปล้นบ้านเรา เข้าลักทรัพย์เรา เราก็มีสิทธิที่จะป้องกันทรัพย์สินของเราได้ มีข้อแม้ที่สำคัญอยู่ว่า เราต้องกระทำ ไปโดยพอสมควรแก่เหตุ แต่ถ้าเกินกว่าเหตุ เราก็ผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น เขาเพียงแต่จะต่อยเรา เรากลับใช้ปืนยิงเขา อย่างนี้ เรียกว่า เกินกว่าเหตุผิดกฎหมาย แต่ถ้าเขาต่อยเรา เราต่อยเขา อย่างนี้เรียกว่า พอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันตัว ไม่ผิดกฎหมาย การป้องกันทรัพย์สินก็เหมือนกัน จะต้องกระทำโดยพอสมควรแก่เหตุ เช่น คนร้ายมีแต่มือเปล่าๆ ไม่มีอาวุธอะไร เข้างัดรถเรา เรายิงเขาตายเลย อย่างนี้เรียกว่าได้ว่าเกินกว่าเหตุ ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ถ้าคนร้ายมีอาวุธปืน เราเตือนแล้วกลับจะหันมายิงเรา เรายิงคนร้ายตาย อย่างนี้เป็นการป้องกัน ต้องถือว่ากระทำไปพอสมควรแก่เหตุไม่ผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นคนร้ายกำลังลักรถเรา หรือปล้นรถเรา เราก็มีสิทธิที่จะใช้อาวุธ ป้องกันของของเราได้ แต่ต้องใช้วิธีที่ พอสมควรแก่เหตุ มิฉะนั้นจะเป็นการผิดกฎหมาย อะไรเกินกว่าเหตุหรือไม่ก็ต้องดูกันเป็นเรื่องๆ ไป อะไรที่ควรจะป้องกัน หรือไม่อยู่ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าเรา ( ง) เราเป็นราษฎรมีสิทธิจับคนร้ายลักรถได้หรือไม่ ความจริงยังมีชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ทราบว่าราษฎรนั้นมีสิทธิจับคนร้ายได้ (1) เมื่อพบผู้ที่กระทำผิดซึ่งหน้า และความผิดนั้นกฎหมายให้อำนาจจับได้ ความผิดซึ่งหน้า หมายความว่า ความผิดที่เห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่สงสัยเลยว่าได้กระทำ ผิดมาแล้วสดๆ ความผิดเห็นขณะกำลังกระทำนั้นง่าย เช่น เห็นคนร้าย กำลังงัดรถยนต์เรา กำลังปล้นรถเรา อย่างนี้เป็นความผิด ซึ่งหน้า เราเข้าจับกุมได้เลย ไม่ต้องรอตำรวจ เพราะถ้ามัวรอตำรวจ คนร้ายก็หนีไปหมดแล้ว ลักษณะที่ว่า พบในอาการที่ได้ กระทำผิดมาสดๆ เช่น คนร้ายวิ่งหนีมามีเลือดโชกติดตัว มือถือปืน วิ่งหนีตำรวจมาอย่างนี้ เราจับได้เลย อย่างเรื่อง คนร้าย กระโดดหนีจากรถเรา ถือกุญแจรถเราวิ่งหนี คนร้องว่า ขโมย.. ขโมย อย่างนี้ถือได้ว่ามีอาการกระทำผิดมาแล้วสดๆ เราก็จับได้ทันทีเหมือนกัน แต่ความผิดที่ว่าซึ่งหน้านั้น จะต้องไม่ใช่ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ต้องเป็นความผิดที่มีโทษสูง เข่น ลักทรัพย์ วิ่งราว ปล้นทรัพย์ ซึ่งความผิดเหล่านี้เขาจะระบุไว้ในกฎหมายว่าเราจับคนร้ายได้ ถ้าคนร้ายมากระทำผิดนั้นๆ ซึ่งหน้าเรา (2) เจ้าพนักงานผู้จัดการตามหมายจับ ขอความช่วยเหลือให้คนที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อช่วยจับกุมคนร้าย หมายความว่า ตำรวจเขาออกหมายจับคนร้าย เช่น คนร้ายลักรถไปแล้ว เขามาขอความช่วยเหลือจากเราที่อยู่ใกล้เคียง ให้ช่วยกันไปออกจับ คนร้าย อย่างนี้ เรามีสิทธิเข้าร่วมกับตำรวจจับกุมคนร้ายนั้นได้ เพราะขณะนั้น เราฐานะเป็นเสมือนหนึ่งผู้ช่วยเจ้าพนักงานแล้ว อย่างไรก็ดี การจับกุมก็อาจมีการใช้กำลังได้ เกิดคนร้ายขัดขวางการจับของเราและจะหลบหนี เช่น กอดปล้ำชกต่อยเรา เราก็มีสิทธิจะใช้วิธีหรือการป้องกันเท่าที่เหมาะสมกับพฤติการณ์เข้าจับกุมได้ เช่น คนร้ายต่อยเรา เราก็มีสิทธิที่จะอัดคนร้ายเพื่อจับคนร้ายได้ ไม่ผิดกฎหมาย 2. ต้องสอบถามบุคคลที่อยู่ใกล้รถเพื่อทราบเบาะแสของคนร้าย ตามปกติรถที่เราจอดอยู่ หากไม่เป็นที่ลับตาคนเกินไป ส่วนมากคนที่อยู่บริเวณใกล้ที่จอดรถอยู่มักจะมีคนรู้เห็น สิ่งแรก ต้องตั้งสติให้ดีเสียก่อนเดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปก่อนที่จะทันแจ้งความ จากนั้นเราก็รีบสอบถามคนที่อยู่บริเวณนั้นให้ได้ความว่า เห็นคนร้ายรูปร่าง ลักษณะ ตำหนิ รูปพรรณมาเอารถเราไปอย่างไรหรือไม่ และรถนั้นคนร้ายได้ขับไปในทางใด นานเท่าไรแล้ว เมื่อได้ข้อมูลแล้วให้รีบจดชื่อ ที่อยู่ของพยานคนที่บอกเราไว้ให้ดี เพราะเขาจะเป็นพยานสำคัญของเราเมื่อคดีไปถึงตำรวจ อัยการและศาล เมื่อได้ข้อมูลหรือไม่ได้ข้อมูลก็ต้องรีบดำเนินการในข้อต่อไป 3. แจ้งความต่อตำรวจที่ใกล้ที่สุดด้วยวาจาโดยเร็วที่สุด รถหายนั้นถ้าแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุดเพียงใด โอกาสที่จะได้รถคืนก็มีมากที่สุดเท่านั้น เพราะตำรวจมีโอกาส ที่จะสกัดจับ คนร้ายได้รวดเร็วและทันท่วงที การแจ้งตำรวจที่ใกล้ที่สุดนั้น หากเราเห็นตำรวจอยู่บริเวณนั้น หรือที่ใกล้ที่สุดมีตำรวจอยู่ เราก็จะต้องรีบวิ่ง ไปบอก ตำรวจทันที เพราะการที่เราบอกตำรวจด้วยวาจานั้น บางทีเร็วกว่าที่จะโทรศัพท์แจ้งตำรวจอีก และเมื่อตำรวจรับแจ้งแล้ว เขาก็สามารถติดต่อ ศูนย์ปราบปรามโจรกรรมรถได้โดยเร็วกว่าเรา 4. โทรศัพท์แจ้งตำรวจ ทางกรมตำรวจได้ตั้งศูนย์ป้องกัน และปราบปรามการโจรกรรมรถขึ้นในกรมตำรวจแล้ว การโทรศัพท์แจ้งความนั้น ถ้าเราจะโทรศัพท์ไปยังสถานีตำรวจ บางทีเราก็หาเบอร์โทรศัพท์สถานีตำรวจไม่พบ หรือโทรศัพท์ บางทีกว่าจะโทรศัพท์ ได้ผลก็กินเวลาถึงครึ่งชั่วโมงก็มี กว่าตำรวจตามสถานีตำรวจจะรู้ คนร้ายก็พารถเราหายไปเป็นชั่วโมงๆ แล้ว เพราะฉะนั้น เพื่อความรวดเร็วฉับพลัน ถ้าในกรุงเทพฯ ควรโทรโดยตรงดังต่อไปนี้ (1) ในกรุงเทพฯ โทรไปยังศูนย์ใหญ่เลย เรียกว่า "ศูนย์ผ่านฟ้า 191" จำไว้ให้ดีนะครับ "191 ผ่านฟ้า" จดไว้เลยก็ได้กันลืม หรือโทร. 0-2246-1312 ถึง 8 ( บางทีโทร 191 แล้วไม่ติด) (2) ถ้ารถหายในเขต บกน.เหนือ คือ กองบังคับการตำรวจนครบาลเหนือ ก็ให้โทรไปยัง "ศูนย์รามา" โทร. 0-2245-0713 (3) ถ้ารถหายในเขต บกน.ใต้ คือ กองบังคับการตำรวจนครบาลใต้ ให้โทร. "ศูนย์นารายณ์" โทร. 0-2234-5678 (4) ถ้ารถหายในเขตธนบุรี ให้โทรไปยัง "ศูนย์ บกน.ธน." คือ กองบังคับการตำรวจนครบาลธนบุรี โทร. 0-2413-1653 ถึง 6 (5) ศูนย์ป้องกันปราบปรามโจรกรรมรถยนต์ และจักรยานยนต์กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปร.น.) โทร. 0-2245-6951, 0-2245-9059 ส่วนรถที่อยู่ในต่างจังหวัด ท่านก็รีบติดต่อโทรศัพท์ไปยัง สถานีตำรวจและกองกำกับการต่างๆ และหากจะโทร ประสานงานมายังศูนย์ที่กรุงเทพฯ - ธนบุรี ดังกล่าวด้วยก็จะเป็นการดี ตำรวจเขาจะได้ประสานงานกับ ท้องที่ที่เกิดเหตุ ได้ทันการณ์ 5. ต้องบอกรายละเอียดเกี่ยวกับรถให้ถูกต้องและรวดเร็ว ดังที่ได้เคยบอกมาแล้วว่า รายละเอียดตำหนิ รูปพรรณเกี่ยวกับรถของเรานั้น เราจะต้องจดไว้ประจำตัวตลอดเวลา เพื่อนำออกมาใช้ในยามฉุกเฉิน สมมุติว่าเราบันทึกไว้ในสมุดส่วนตัวของเราว่า " รถโตโยต้า โคโรน่า สีขาว รุ่น อาร์ที ทะเบียน 9 จ-777 กทม. หมายเลขเครื่อง 6 ดี-326782 หมายเลขตัวถึง 3 เอ็ม-4215723-64 ตำหนิกันชนท้ายด้านขวาบุบ กระโปรง หน้าด้านซ้ายมีรอยขีดข่วน ยาว 2 เซนติเมตร ผ้าบุหลังคารถตรงหัวคนขับมีรอยถูกกรีด ที่ป้ายวงกลมมีรอยเปื้อน น้ำหมึก 2 จุด..." บันทึกฉบับนี้นักเลงรถทั้งหลายควรจะบันทึกติดตัวไว้ตลอดเวลา สามารถเอาออกมาใช้ในยามฉุกเฉินได้ทันท่วงที พอรถเราหาย แทนที่เราจะมามัวนึกกว่ารถเรามีตำหนิที่ไหน หมายเลขเครื่องเท่าไร หมายเลขตัวถังเท่าไร ก็พอดีคนร้ายเอารถหลบหนีไปแล้ว เพราะฉะนั้นพอเรารู้ว่ารถหายปั๊บ เราก็ควักเอาสมุดบันทึกรายละเอียดรถของเราออกมาทันที พร้อมกับอ่านข้อความที่เราจดไว้ให้ตำรวจทันที ตำรวจจะจดรายละเอียดของข้อมูลได้ทันควัน แล้วรีบแจ้งข้อมูล ให้ตำรวจในเครือข่ายดักจับคนร้ายอย่างรวดเร็ว วิธีนี้เป็นวิธีที่ช่วยตำรวจได้ดีที่สุด เพราะแม้ไอ้โจรมันจะเปลี่ยนป้ายทะเบียน ตำหนิรถ และเลขเครื่องรถ ก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ยากที่โจรจะหลุดมือไปได้ถ้าตำรวจค้นรถให้เรา 6. ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ การไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนั้น จะต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจที่รถหายในเขตอำนาจของสถานีตำรวจนั้นๆ และจะต้องนำหลักฐานดังต่อนี้ไปด้วย (1) บัตรประจำตัว (2) ใบสำมะโนครัว (ทะเบียนบ้าน) (3) บัตรประจำตัวข้าราชการ (4) หนังสือเดินทาง พาสปอร์ตสำหรับชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาภายในประเทศ (5) ถ้าไปแจ้งความแทนคนอื่นที่เป็นเจ้าของรถ ให้มีใบมอบอำนาจเจ้าของรถให้ไปแจ้งความด้วย (6) ถ้าเป็นผู้แทนผู้เยาว์หรือไร้ความสามารถ ก็ให้เตรียมใบสำคัญ แสดงการเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ หรือใบสำคัญแสงการเป็นผู้อนุบาล ของผู้ไร้ความสามารถ ตามคำสั่งศาลติดตัวไปด้วย (7) ใบคู่มือประจำรถ เอกสารประจำรถ ใบทะเบียนรถ (8) หากเป็นรถผ่อนส่ง ก็ให้นำสัญญาเช่าซื้อติดตัวไปด้วย (9) ให้ภาพถ่ายรถให้แก่ตำรวจไว้ ถ้ามีภาพถ่ายรถของเราหลายๆ ภาพเป็นภาพสีให้กับตำรวจไว้จะเป็นการดีมาก เพราะภาพถ่ายย่อมมีรายละเอียดมากกว่าคำอธิบายตั้งหลายเท่า การแจ้งความนั้นควรที่จะให้รายละเอียดอย่างดีที่สุดแก่ตำรวจ และอย่าลืมว่าหากท่านได้จดชื่อ- ที่อยู่ของพยาน ที่รู้เห็นเหตุการณ์ ก็ให้รายละเอียดนั้นแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย 7. เมื่อแจ้งความแล้ว ควรขอคัดสำเนาการแจ้งความจากตำรวจไว้เป็นหลักฐาน ตามธรรมดาผู้แจ้งความย่อมมีสิทธิที่จะขอคัดข้อความไว้เลย เพื่อที่จะได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ในกรณีที่มีการยึด รถคืนได้ หรือเราไปพบรถของเราที่ใด เราจะได้นำสำเนาแจ้งความนั้นให้ตำรวจในเขตที่ยึดรถได้ดูเป็นหลักฐาน จะได้สะดวกในการรับคืนในภายหลัง แหล่งที่มาของข้อมูล : กรมการประกันภัย กำแพงแห่งบาบิโลน
เฒ่าบันซาร์ นักรบผู้กล้า ยืนคุ้มกันหน้าทางเข้าออกที่ทอดสู่กำแพงโบราณแห่งบาบิโลน ด้านบนมีเหล่าทหารหาญคอยคุ้มกันกำแพงเมือง ความมั่นคงในอนาคตของนครอันยิ่งใหญ่ ที่มีพลเมืองหลายแสนคนแห่งนี้ขึ้นอยู่กับพวกเขา
เสียงอริราชศัตรูที่กำลังบุกโจมตีดังก้องข้ามกำแพง ปะปนกับเสียงโห่ร้องของผู้คน เสียงฝีเท้าม้าหลายพันตัว และเสียงท่อนซุงกระแทกประตูทองสัมฤทธิ์ดังสนั่นหวั่นไหว บนถนนหลังประตูเมือง มีพลหอกคอยคุ้มกันทางเข้าหากประตูเมืองทลายลง กำลังทหารมีน้อยมากสำหรับการนี้ เพราะกองทัพหลักของบาบิโลนติดตามองค์กษัตริย์ไปในดินแดนตะวันออก เพื่อทำสงครามครั้งใหญ่กับพวกอีลาไมต์ ไม่มีใครคาดคิดว่าศัตรูจะบุกเมืองในช่วงที่พวกเขาไม่อยู่ กองกำลังป้องกันจึงน้องมาก กองทัพอันยิ่งใหญ่ของอัสซีเรีย บุกมาจากทางเหนืออย่างไม่คาดฝัน เวลานี้กำแพงเมืองต้องต้านศัตรูให้ได้ หาไม่แล้วบาบิโลนต้องถึงกาลอวสานแน่ รอบตัวบันซาร์คือฝูงชนแออัด ที่หน้าซีดขาวด้วยความตื่นตระหนกและกระหายอยากรู้ข่าวสงคราม พวกเขาเงียบงันและสะพรึงกลัวเมื่อมองเห็นทหารที่บาดเจ็บและล้มตาย ถูกหามหรือพยุงออกไปจากประตูไม่ขาดสาย การต่อสู้กำลังดุเดือด หลังจากล้อมเมืองอยู่สามวัน จู่ ๆ กองทัพศัตรูก็ทุ่มกำลังเข้าใส่ประตูเมืองแห่งนี้กับบริเวณรอบ ๆ กองทหารคุ้มกันบนกำแพง พยายามต่อสู้ขับไล่ศัตรูที่ปีนขึ้นมาทางกำแพงและบันได โดยใช้ลูกธนู น้ำมันร้อนจัด และให้หอกสำหรับศัตรูที่ปีนขึ้นมาจนถึงยอด มือธนูหลายพันคนของกองทัพศัตรูระดมยิงธนูเข้าใส่ทหารคุ้มกันบนยอดกำแพง เฒ่าบันซาร์ยืนอยู่ในจุดที่เห็นเหตุการณ์ได้ชัด เขาอยู่ใกล้จุดสู้รบมากที่สุด และเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงการปะทะแต่ละครั้งของศัตรูผู้บ้าคลั่ง พ่อค้าอาวุโสคนหนึ่งเบียดเข้ามาใกล้บันซาร์ มืออ่อนแรงของเขาสั่นระริก "บอกข้าสิ ! บอกข้าสิ !" เขาอ้อนวอน "บอกข้าว่าพวกมันไม่มีทางบุกเข้ามาได้ ลูกชายหลายคนของข้าติดตามองค์กษัตริย์ไปหมด ไม่มีใครอยู่ปกป้องภรรยาผู้ชราของข้า พวกมันจะต้องปล้นสินค้าของข้าไปจนหมด และจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เราเป็นอาหาร เราแก่แล้ว แก่เกินจะป้องกันตัวเอง... แก่เกินกว่าจะเป็นทาส เราต้องอดตาย เราต้องตาย บอกข้าสิว่าพวกเขาไม่มีทางบุกเข้ามาได้" "สงบสติอารมณ์ไว้ท่านพ่อค้า" นายทหารคุ้มกันตอบ "กำแพงเมืองบาบิโลนแข็งแรงมาก จงกลับไปที่ตลาดและบอกภรรยาของท่านว่า กำแพงเมืองจะคุ้มครองท่าน และทรัพย์สมบัติของท่านให้ปลอดภัย เหมือนที่มันปกป้องทรัพย์สมบัติมหาศาลขององค์กษัตริย์ ยืนชิดกำแพงเข้าไว้ ถ้าไม่อยากถูกลูกธนูพุ่งเข้าใส่" สตรีคนหนึ่งอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน เข้ามายืนแทนที่ชายชราที่ถอยออกไป "ท่านนายกอง มีข่าวอะไรจากข้างบนบ้าง บอกข้ามาตรง ๆ สิว่าข้าสามารถไปยืนยันกับสามีผู้น่าสงสารของข้าได้ เขากำลังนอนซมด้วยพิษไข้จากบาดแผลสาหัส แต่ก็ยังยืนกรานต่อหน้าเสื้อเกราะกับหอกของเขาว่า จะปกป้องข้าและลูก เขาบอกว่าศัตรูจะล้างแค้นทารุณ หากพวกมันพังประตูเมืองเข้ามาได้" "จงทำใจดี ๆ ไว้ ในฐานะที่นางเป็นมารดาของลูกคนหนึ่ง และกำลังจะมีอีกคน กำแพงเมืองบาบิโลนจะปกป้องนางกับลูกทั้งสอง มันสูงและแข็งแรงมาก นางไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องของกองกำลังป้องกันผู้กล้าหาญของเราหรอกรึ เมื่อพวกเขาราดน้ำมันร้อน ๆ ลงบนศัตรูที่กำลังปีนบันไดขึ้นมา" "ได้ยิน ข้าได้ยิน ทั้งเสียงโห่ร้องและเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของท่อนซุงที่กระแทกประตูเมืองของเรา" "กลับไปหาสามีนางเถอะ บอกเขาว่าประตูเมืองของเราแข็งแรง สามารถทนแรงกระแทกได้ ศัตรูที่ปีนกำแพงด้วยบันไดเป็นต้องเจอหอกทิ่มแทง เจ้าเดินกลับระวังด้วย คอยบังอาคารไว้นะ" บันซาร์ก้าวหลบเพื่อเปิดทางให้กองกำลังทหารติดอาวุธ ขณะที่พวกเขาย่ำเท้าผ่านไป พร้อมเสียงกระทบกันของโล่สัมฤทธิ์ เด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนหนึ่งก็กระตุกเข็มขัดเขา "บอกหนูหน่อยท่านทหาร เราปลอดภัยหรือเปล่า" เด็กน้อยอ้อนวอน "หนูได้ยินเสียดังน่ากลัว มีคนเลือดไหลนองเต็มไปหมด หนูกลัวจังเลย ครอบครัวของหนู แม่ น้องชาย และน้องคนเล็กแบเบาะจะเป็นยังไงบ้าง" นักรบเฒ่าท่าทางขึงขังกะพริบตาปริบ ๆ พลางก้มหน้ามองหน้าเด็กน้อย "อย่ากลัวไปเลยหนูน้อย" เขาปลอบโยน "กำแพงเมืองบาบิโลนจะปกป้องเจ้ากับแม่และน้องชาย รวมทั้งน้องคนเล็ก พระราชินีเซมิรามิสทรงสร้างกำแพงนี้ขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เพื่อความปลอดภัยของคนอย่างพวกเจ้า ไม่เคยมีใครพังมันได้มาก่อน จงกลับไปบอกแม่กับน้องชายและน้องคนเล็กของเจ้าว่า กำแพงแห่งบาบิโลนจะปกป้องพวกเขา ไม่ต้องกลัวไปหรอก" วันแล้ววันเล่า เฒ่าบันซาร์ยืนประจำตำแหน่งและคอยจับตามองกองกำลังทหาร ที่เดินเรียงแถวผ่านทางเข้าออกขึ้นไปบนกำแพงเมือง เพื่อต่อสู้จนบาดเจ็บหรือล้มตายก่อนจะได้กลับลงมาอีกครั้ง รอบ ๆ ตัวบันซาร์ยังคงเต็มไปด้วยฝูงชนที่ตื่นตระหนก และกระหายอยากรู้ว่ากำแพงเมืองจะต้านศัตรูไหวหรือไม่ เขาให้คำตอบแก่ทุกคนด้วยศักดิ์ศรีของนักรบเก่าว่า "กำแพงเมืองแห่งบาบิโลนจะปกป้องพวกท่าน" เป็นเวลาสามสัปดาห์กับอีกห้าวัน ที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ลดความรุนแรงลง บันซาร์ขบกรามแน่น ท่าทางถมึงทึงมากขึ้นทุกที เมื่อทางเข้าออกประตูด้านหลังของเขา ซึ่งเคยโชกไปด้วยเลือดของผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เวลานี้เละเป็นโคลนจากรอยย่ำของผู้คนที่เดินขึ้นไปและโซเซลงมาไม่ขาดสาย ทุกวันจะมีศพมากมายก่ายกองของผู้บุกรุกสุมทับกันตรงหน้ากำแพง พรรคพวกของพวกเขาจะหามศพกลับไปฝังทุกคืน ในคืนที่ห้าของสัปดาห์ที่สี่ เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอย่างไม่เลิกรา ลำแสงแรกของอรุณรุ่ง ส่องให้เห็นลานสู้รบและฝุ่นหนาฟุ้งตลบจากการล่าถอยของกองทัพศัตรู เสียงตะโกนดังลั่นจากเหล่าทหารคุ้มกันเมือง ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ เมื่อกองกำลังทหารหลังกำแพง ย้ำประสานกับเสียงโห่ร้องกึกก้องของประชาชนบนถนน มันดังกระหึ่มไปทั่วเมืองดุจพายุที่รุนแรง ผู้คนวิ่งกรูออกจากบ้าน ถนนหนทางคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่ยังระทึกใจกับเหตุการณ์ ความหวาดกลัวซึ่งอัดแน่นอยู่ในใจเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ระบายออกมาเป็นเสียงโห่ร้องอย่างยินดีโดยพร้อมเพรียงกัน บนยอดหอสูงของวิหารแห่งเบล มีเปลวเพลิงแห่งชัยชนะลุกโชติช่วง กลุ่มควันสีน้ำเงินลอยสูงสู่ฟ้ากว้างเพื่อส่งข่าวสารไปไกล กำแพงแห่งบาบิโลนสามารถขับไล่ศัตรูตัวฉกาจที่ตั้งใจจะบุกปล้นขุมทรัพย์ ฉุดคร่าทำร้าย และจับพลเมืองของที่นี่ไปเป็นทาสไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง นครบาบิโลนคงอยู่ยั่งยืนศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า เพราะมันได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ กำแพงแห่งบาบิโลนคือตัวอย่างที่โดดเด่น ของการป้องกันรักษาที่มนุษย์ต้องการและจำเป็นต้องมี ความปรารถนานี้ฝังลึกอยู่ในกมลสันดานของมนุษยชาติ มันรุนแรงในวันนี้เท่ากับที่เคยรุนแรงในอดีต แต่เราได้พัฒนาแผนการให้กว้างและดีขึ้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายเดียวกันนี้ ในปัจจุบัน เบื้องหลังกำแพงที่ไม่อาจตีแตกของการประกันภัย การออมทรัพย์ และการลงทุนที่น่าเชื่อถือ ทำให้เราปกป้องตัวเองจากโศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจย่างกรายเข้ามาในบ้านหลังไหนก็ได้แล้วนั่งลงเป็นแขกผู้ชิดเชื้อ ----------------------------------------------------------- เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ The Richest Man in Babylon เป็นนิยายเปรียบเทียบสอนการเงินที่มีผู้อ่านทั่วโลกกว่า 1,500,000 คน ด้วยความหลักแหลมของ George S. Clason ที่นำเอาเรื่องยากน่าเบื่อ มาเสนอในรูปแบบนิยายให้อ่านได้เพลิดเพลิน และช่วยจุดประกายการบริหารจัดการเรื่องเงินทองของทุกคน เพื่อนำไปสู่ความร่ำรวยมั่นคงในที่สุด ----------------------------------------------------------- คุณสามารถติดตามบทความดี ๆ ที่น่าสนใจเหล่านี้ได้ โดยคลิก MyBlog ของหมีพู ซึ่งอยู่หลังอมยิ้มครับ ![]() เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ จากการลงทุนปีละ 14,000 บาท (ภาคแรก)
ความ ร่ำรวย แทบเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ในขณะที่คนทั่วไปเข้าใจว่า แต่ละเดือนมีรายได้ไม่มาก เหลือเงินเก็บไม่เท่าไหร่ ภายใต้การเก็บสะสมเหล่านี้ไม่มีวันร่ำรวยได้ แต่ในความเป็นจริง ถ้าหากมีเวลาเพียงพอ และรู้หลักการลงทุน ก็จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการลงทุนประสบความร่ำรวย ประกอบไปด้วยเงื่อนไขพื้นฐาน 3 ประการคือ เงินออมที่แน่นอน การค้นหาผลตอบแทนสูง และการรอคอยระยะยาว ถ้าหากคนหนุ่มสาวสามารถเก็บเงินปีละ 14,000 บาท เก็บทุกปีติดต่อกัน 40 ปี หากนำเงินที่เก็บไว้ในแต่ละปีไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์หรืออื่น ๆ ที่ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% คล้อยหลังไป 40 ปี จะมีทรัพย์สินเท่าไร ? คำตอบที่ได้รับคือ 102,810,000 บาท (หนึ่งร้อยสองล้านแปดแสนหนึ่งหมื่นบาท) เป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก ถ้าหากเป็นหนุ่มสาวเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปี ขอเพียงเก็บเงินปีละ 14,000 บาท หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1,167 บาท ลงทุนทั้งสิ้น 40 ปี เท่ากับ 560,000 บาท ถ้านำเงินเหล่านี้ไปลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% เมื่อเกษียณที่อายุ 65 ปี จะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้าน ตัวเลขร้อยล้านนี้มาจากวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังไปนี้ 14,000 x (1x20%)^40 / 20% = 102,810,000 สูตรตัวเลขนี้เพียงบ่งชี้ว่า เงินจำนวนเล็กน้อย พอผ่านการลงทุนจะทำกำไรเป็นเงินมหาศาลอย่างไร คุณอาจจะยังไม่เข้าใจสูตรตัวเลขนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าผู้ที่ลงทุนจนกลายเป็นเศรษฐีส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจสูตรนี้เช่นกัน และคนที่เข้าใจสูตรตัวเลขนี้ก็ใช่ว่าจะลงทุนแล้วร่ำรวยกันทุกคน ขอเพียงคุณยังหนุ่มยังสาว มีความตั้งใจอยากร่ำรวย รู้จักลงทุนให้ถูกทาง ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ต้องได้เป็นเศรษฐี ทั้งนี้ต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 3 ข้อที่ว่า 1. ปีนึงต้องเก็บเงิน 14,000 บาท หรือเท่ากับเดือนละ 1,167 บาท เชื่อว่าสำหรับคนทั่วไปอยู่ในวิสัยที่ทำได้ 2. นำเงินออมไปลงทุนในตลาดหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ ให้ได้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยปีละ 20% และถือครองระยะยาว ซึ่งรูปแบบการลงทุนเช่นนี้ ไม่ว่าชายหรือหญิง ยากดีมีจนอย่างไร ล้วนลงทุนได้ 3. ระยะเวลาในการสร้างฐานะ 40 ปี ดูเหมือนว่ายาวนาน แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง แทบทุกคนสามารถทำได้ หนุ่มสาวในยุคปัจจุบัน เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 20 25 ปี เวลานี้เริ่มเก็บออมเงินได้แล้ว เมื่อมีอายุถึง 60 65 ปี เท่ากับว่าทำงาน 40 ปีพอดี ถ้าหากยังไม่เข้าใจ โปรดดูข้อมูลตัวเลขข้างล่างนี้ ซึ่งอธิบายวิธีการลงทุนสร้างฐานะว่า ลงทุนทุกปี ปีละ 14,000 บาท ถ้าได้ผลตอบแทนปีละ 20% ทุก 10 ปีจะมียอดเงินสะสมดังนี้ - ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท - ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท - ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท - ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท นั่นหมายความว่าหากคุณมีเงินเก็บสะสมอยู่แล้ว 360,000 บาท ก็ขอแสดงความยินดีที่คุณสามารถ ลดระยะเวลาของการลงทุนไป 10 ปี ขอเพียงคุณลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนอย่างงาม (20%ขึ้นไป) อีก 30 ปีคุณจะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้าน หากคุณมีเงินทองอยู่แล้ว 2,610,000 บาท ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะว่าคุณลดระยะเวลาการลงทุนไป 20 ปี หรือหากคุณมียอดเงินอยู่แล้ว 16,550,000 บาท ก็ยิ่งวิเศษใหญ่ เพราะว่าคุณลดระยะเวลาการลงทุนถึง 30 ปี อีก 10 ปีคุณก็จะเป็นเศรษฐีร้อยล้าน มีคนทั่วไปเห็นว่า เมื่อฝากเงินกับธนาคารจะได้รับดอกเบี้ย เมื่อทบดอกเบี้ยเข้าไป จะได้ดอกทวีคูณ เมื่อนานเข้าน่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่ คนที่มีความคิดเช่นนี้ เป็นเพราะไม่เข้าใจวิธีการคำนวณดอกเบี้ยทบต้น ถ้าพบว่าภายใต้เงินก้อนเดียวกัน ผ่านระยะเวลาดอกเบี้ยทบต้นเท่ากัน แต่ดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นแตกต่างอย่างมหาศาลน่าแปลกใจมาก ตัวอย่างคน ๆ นึงฝากเงินกับธนาคารทุกปี ปีละ 14,000 บาท เป็นเวลา 40 ปี รับดอกเบี้ยเฉลี่ยปีละ 5% แล้วนำดอกเบี้ยทบต้นเข้าไป คุณคิดว่า 40 ปีให้หลัง คน ๆ นี้จะมีเงินสะสมเท่าไร ? คำตอบคือ 1,690,000 บาทเท่านั้น คำตอบที่ได้มาจากวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังนี้ 14,000 x (1x5%)^40 / 5% = 1,690,000 ในขณะที่ตัวอย่างร้อยล้านจากวิธีคำนวณข้างต้น แต่ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี 14,000 x (1x20%)^40 / 20% = 102,810,000 ทั้งสองรายการนี้ใช้เงินลงทุนเท่ากัน ระยะเวลานานเท่ากัน ต่างกันที่ผลตอบแทน 5% กับ 20% ทั้งสองรายการได้ผลตอบแทนต่างกันถึง 70 กว่าเท่า นี่คือลักษณะเฉพาะของ ดอกเบี้ยทบต้น จากตัวอย่างที่ยกมานี้แสดงว่า เคล็ดลับข้อหนึ่งของการลงทุนสร้างฐานะ อยู่ที่ให้ผลตอบแทนสูงต่ำแค่ไหน ฉะนั้นจุดสำคัญของการลงทุนไม่ใช่อยู่ที่นำเงินไปลงทุนหรือยัง หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณลงทุนอย่างไร และให้ผลตอบแทนสูงต่ำแค่ไหน สมมติว่าคน ๆ นึงเก็บเงินปีละ 500,000 บาท แล้วนำไปฝากประจำดอกเบี้ย 5% กับธนาคาร ขอถามว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ค่อยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน คำตอบคืออีก 200 ปี คิดดูสิว่าคน ๆ นึงเก็บเงินปีละ 500,000 บาท ก็ว่ายากอยู่แล้ว คิดมีอายุถึง 200 ปีนี่เป็นไปไม่ได้เลย โดยทั่วไปคนเรามีอายุเฉลี่ยประมาณ 75 ปี สองชาติเท่ากับ 150 ปี ถ้าอย่างนั้นคนที่ฝากเงินกับธนาคาร ต้องรอถึงชาติที่สามจึงได้เป็นเศรษฐี ในทางกลับกัน ถ้าหากคุณรู้จักลงทุนอย่างถูกทาง ใช้เวลา 40 ปี หรือประมาณครึ่งชีวิต ก็มีสิทธิเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ ----------------------------------------------------------- เป็นบทความดี ๆ อีกบทความนึงจากหนังสือขายดีมาก ๆ (พิมพ์ซ้ำกว่า 250 ครั้ง) ที่ไต้หวัน ซึ่งหมีพูได้อ่านมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 ที่ช่วยจุดประกายการลงทุนให้หมีพูในเวลาต่อมา ครั้งต่อไปเราจะมาดูภาคจบของบทความ เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ จากการลงทุนปีละ 14,000 บาท รับรองว่าอ่านสนุกจนไม่อยากละสายตาเลยครับ ----------------------------------------------------------- คุณสามารถติดตามบทความดี ๆ ที่น่าสนใจเหล่านี้ได้ โดยคลิก MyBlog ของหมีพู ซึ่งอยู่หลังอมยิ้มครับ ![]() |
หมีพูหมูพี
![]() ![]() ![]() ![]() บริการแผนประกันที่คุ้มค่า ติดต่อ : CHAIJIT@hotmail.com โทร. : 086-3914220 Web : http://CHAIJIT.blogspot.com Group Blog All Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |