เราคัดสรรบริษัทประกันคุณภาพเพื่อคุณ ด้วยทางเลือกที่เหมาะสมในราคาที่คุณพึงพอใจ
|
||||
ทำทุนประกันคุ้มครองเท่าไหร่ดีล่ะ การเงินของเราถึงจะไม่เดือดร้อน ในประเทศไทยยังไม่เคยมีการคำนวณอย่างเป็นทางการว่า ควรจะซื้อประกันชีวิตเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ โดยที่ไม่เดือนร้อน ดังนั้นจึงต้องยกตัวเลขจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นประเทศที่มีสวัสดิการสังคมมั่นคงและมีมายาวนานแล้ว มาพิจารณาประกอบกันด้วย สรุปเป็นตัวเลขคือ 10-15% ของรายได้ครับ ถ้าเบี้ยประกันรวมทุกกรมธรรม์ที่คุณมีอยู่ เกินกว่า 15% ของรายได้ อาจจะทำให้การเงินขลุกขลัก ยามฉุกละหุกได้ครับ แต่ถ้าตอนนี้ตัวเลขที่คุณคำนวณได้เกินกว่า 15% ก็ไม่ต้องตกใจครับ เวลาเงินเดือนคุณขึ้น ตัวเลขเปอร์เซ็นต์มันก็จะลดน้อยลงไปเองครับ ยกตัวอย่างหมีพูเองครับ เมื่อก่อนก็ชำระเบี้ยประกันตกประมาณ 17% ของรายได้ (ตอนนั้นงกครับ ซื้อทุนประกันเกษียณตั้ง 6 แสน + ประกันสุขภาพ + ประกันอุบัติเหตุ) แต่คล้อยหลังไป 4 ปี มีรายรับเข้ามาดีมาก ตัวเลขปัจจุบันนี้ก็ลดลงเหลือ 11% ของรายได้เองครับ หายใจคล่องขึ้นเยอะเลย พอมาปีที่แล้วนี้เลยถือโอกาสทำเพิ่ม เจียดส่วนนึง ไปซื้อประกันแบบคุ้มครองสูง ๆ ได้ทุนประกันเพิ่มมาอีก 5 แสน ส่วนต้นปีที่ผ่านมาก็ซื้อประกันมรดกเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร เป็นการสร้างความอุ่นใจให้กับคนข้างหลังได้ดีมากเชียวครับ ปัจจุบันมักจะมีคนนำประโยคเด็ดเกี่ยวกับประกันชีวิตว่าจะทำทุนประกันเท่าไหร่ถึงจะพอแล้ว โดยคำนวณว่าถ้าอยู่ 5 ปีแล้วหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้ คนข้างหลังก็สมควรตาย ฮึ...เขาก็พูดได้เพราะไปพูดตอนลูกเต้าโต ๆ กันหมดแล้วน่ะสิ พูดแบบให้ไปตายเอาดาบหน้า (อีก 5 ปีข้างหน้า) ถ้าใครมีลูกเล็ก ๆ ยังเรียนแค่ชั้นอนุบาลหรือประถม เขายังต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบปีในการเรียนหนังสือ ไหนจะค่าใช้จ่ายประจำวันของครอบครัวอีก ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของเด็กจะใช้ประกันชีวิต เพื่อเป็น Wealth Protection ให้กับครอบครัว ไม่ว่าคุณจะอยู่หรือไม่ก็ตาม จำนวนทุนประกันนั้นต้องเพียงพอรองรับ ลูกคุณไปจนกว่าเขาจะจบการศึกษาและมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ คุณพ่อคุณแม่ถึงจะวางใจใช่มั้ยครับ แม้จะตายก็ตายตาหลับ ส่วนการคำนวณหาทุนประกันและเบี้ยประกันที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จะเป็นความร่วมมือของตัวแทนและผู้ขอเอาประกันเอง - โดยตัวแทนต้องคำนวณทุนประกันที่เหมาะสม และคำนวณเบี้ยประกันให้สอดคล้องกัน (อย่ายึดติดกับแบบประกันฮอตฮิต) - ส่วนผู้ขอเอาประกันควรให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผน หากคำนวณออกมาแล้วเกินกว่ากำลังที่จะรับไหวในขณะนี้ ก็ต้องมาทำแผนย่อยต่าง ๆ ให้เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ ค่อย ๆ ทยอย ๆ ทำเพิ่มไปเรื่อย ๆ ตามอัตภาพครับ วิธีนี้จะทำให้ - กรมธรรม์ของลูกค้ามีผลบังคับด้วยดีไปตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็เท่ากับบรรลุเป้าหมาย - ตัวแทนก็สบายใจที่ได้ลูกค้ามีคุณภาพ - ลูกค้าประกันก็อุ่นใจว่ามีตัวแทนดี หากในภายหลังตัวแทนคนนั้นได้ลาออกไปหรือย้ายไปที่อื่น ลูกค้าก็ยังเข้าใจและสามารถควบคุมแผนประกันของตัวเองและครอบครัวได้อย่างดีต่อไปครับ ในต่างประเทศใกล้ ๆ บ้านเราอย่างประเทศญี่ปุ่น , สิงคโปร์ , มาเลเซีย , ฮ่องกง , ไต้หวัน , เกาหลีใต้ ผู้เอาประกันส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านี้ ต่างมีเงินทุนประกันชีวิตที่สูง เพื่อให้ครอบคลุมภาระต่าง ๆ ในอนาคตข้างหน้าเป็นสิบ ๆ ปี ไม่ใช่แค่ห้าปีอย่างที่บ้านเราชอบพูดกันสนุกปาก แม้กระทั่งค่าลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิต ก็ยังสูงกว่าประเทศไทยมาก (คิดดูสิขนาด LTF ยังให้ลดหย่อนได้ตั้ง 3 แสน + RMF อีก 3 แสน แต่ทำไมเบี้ยประกันชีวิตถึงให้ลดหย่อนได้แค่ 5 หมื่น) หมีพูขอบอกวิธีคิดง่าย ๆ แบบพื้นฐานว่า ตัวเราควรทำทุนประกันเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม สำหรับคนที่ไม่รู้จะวางแผนอย่างไร นั่นคือ 6 เท่าของรายได้รวมตลอดปีครับ เช่น ได้เงินเดือน ๆ ละ 2 หมื่นบาท ตกปีละ 240,000 บาท คูณ 6 เท่า = ทุนประกันชีวิต 1,440,000 บาท (คิดไปเลย ทุนล้านห้าแสน) อึ้งไปเลยล่ะสิ...... ถึงได้แนะนำว่าให้ทยอย ๆ ทำเพิ่ม อย่าลงไปพรวดเดียว แต่ถ้าซื้อแบบประกันตลอดชีพ เบี้ยประกันก็ไม่ถึงหมื่น (ถ้าอายุน้อย) แต่ถ้าเลือกแบบประกันชนิดสะสมทรัพย์มีเงินคืน หรือส่งสั้น ๆ รับรองว่าส่งเบี้ยหัวฟูแน่นอน .... นี่คือปัญหาอีกอย่างของตัวแทนในประเทศไทย ที่รู้อยู่แล้วว่าลูกค้าเหมาะสมที่ทุนประกันเท่าไหร่ แต่ขายตามทุนประกันนั้นไม่ได้ เพราะชอบไปยึดติดว่า ประกันชีวิต = สะสมทรัพย์ แต่จริง ๆ แล้ว ประกันชีวิต/สุขภาพ/อุบัติเหตุ/วินาศภัย = เครื่องมือเก็บรักษาความมั่งคั่งให้คนที่ทำประกันนั่นเองครับ ![]() |
หมีพูหมูพี
![]() ![]() ![]() ![]() บริการแผนประกันที่คุ้มค่า ติดต่อ : CHAIJIT@hotmail.com โทร. : 086-3914220 Web : http://CHAIJIT.blogspot.com Group Blog All Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |