Group Blog
 
All Blogs
 

My 1st orientation camp with AFS

ไปเข้าแคมป์ของเอเอฟเอสมาตอนแรกคิดว่าคงจะสนุกมาก แต่พอได้ไปจริงๆ ก็พบว่ามันไม่สนุกเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะคนน้อยด้วยล่ะมั้ง เพราะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนแค่แถบแคว้นบาเลนเซีย กับ มูร์เซีย ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออก มีนักเรียนมาเข้าแคมป์ทั้งหมด 14 คนเอง จากประเทศไทย 3 เป็นผู้หญิงหมดเลย (รวมเราแล้วนะ) แล้วก็จากไอซ์แลนด์ 2 คน จากอเมริกา 2 คน จากญี่ปุ่น บราซิล ออสเตรีย ออสเตรเลีย อย่างละ 1 คน ส่วนผู้ชายมี 3 คน จากนิวซีแลนด์ ตุรกี แล้วก็นอร์เวย์ อยากจะบอกว่าไม่มีใครหล่อซักคน แย่จริงๆ (หรือมาตรฐานเราจะสูงขึ้น หลังจากเจอผู้ชายสเปนหล่อๆ เยอะแยะ)

ตอนแรกก็ขึ้นรถไฟ สถานีรถไฟเค้าก็ไม่ใหญ่เท่าหัวลำโพง แต่ดูสะอาดกว่า รถไฟก็ดูดีกว่า (แหงล่ะ) เราก็แบกกระเป๋าอันหนักอึ้ง (ทำไมเราไปไหนกระเป๋าเราต้องหนักกว่าคนอื่นเค้าทุกทีเลยวะ แถมคราวนี้ไม่ได้เอากระเป๋าลากมาด้วย เพราะโฮสต์บอกให้ใช้กระเป๋าแบบที่เค้าสะพายหลังไปเดินป่ากันอ่ะ เค้าเก็บกระเป๋าเราเข้าโกดังแล้ว เลยขี้เกียจเอาออกมาให้เรา ซวยชั้นอีก) ไปที่สถานีรถไฟกับเพื่อนจากไอซ์แลนด์ เพราะเราต้องอาศัยโฮสต์แฟมิลี่เค้ามาส่ง โฮสต์เรายังไม่เลิกงาน

ไปถึงก็เจอ Volunteer ของเพื่อนเรา ซึ่งเค้าจะไปกับเราด้วย ซักพัก เพื่อนเราจากเมืองไทยก็มาถึง ดีใจมาก ยืนคุยกันเป็นภาษาไทยอยู่นานมาก จนเค้าคุยกันเสร็จเราก็เดินไปด้วยกัน เพื่อนคนไทยเราเค้าบอกว่า โฮสต์แฟมเค้าครอบครัวนี้น่ารักมากๆ แต่มันเป็นครอบครัวชั่วคราว เดี๋ยวพอกลับมาจากแคมป์ก็ต้องไปอยู่กับโฮสต์แฟมจริงๆ แล้วโฮสต์แดดเค้าน่ารักมาก ประมาณว่าเห็นเราถือกระเป๋าหนัก เค้าก็ช่วยถืออ่ะ น่ารักจริงๆ

พอขึ้นไปบนรถไฟ ก็เจอ Volunteer อีกคนนึง ซึ่งมากับนักเรียนอีก 4 คน มีผู้ชายอยู่คนเดียว เพื่อนจากไอซ์แลนด์เราก็เจอเพื่อนไอซ์แลนด์ด้วยกัน ก็แยกไปนั่งคุยกันเป็นภาษาไอซ์แลนดิก ซึ่งฟังๆ ดูแล้วมันน่ารักดีอ่ะ เราก็นั่งกะเพื่อนคนไทย แล้วก็มีจากเมกา จากบราซิล ผู้ชายมาจากนิวซีแลนด์ คุยกันก็สนุกดี ตอนนั้นรู้สึกว่าทุกคนน่ารักมาก

พอลงจากรถไฟ ก็ไปต่อรถบัส ซึ่งนั่งไปแค่ประมาณ 15 นาที ก็เหมือนเข้ามาในเมืองเล็กๆ เมืองนึง แล้วเค้าก็พาเดิน เดินอีกแล้ว อยู่กะเอเอฟเอสทีไรต้องเดินทุกที แถมมีเรื่องปวดหัวให้บ่อยๆ ด้วย

ต่อๆ ตอนแรกก็เดินซักพัก ก็นึกว่าโฮสเต็ลที่จะไปพักคงอยู่แถวๆ นี้แหละ แต่พอเดินๆ ไป เริ่มออกนอกเมือง เฮ้ย ทำไมทางมันน่ากลัวหยั่งงี้วะ แบบว่าถนนก็ไม่มีไฟถนน ไม่มีคนเดิน มีแต่พวกเราเดินกันอยู่ 9 คน ข้างทางก็เหมือนเป็นที่รกๆ ไม่มีบ้านคน นานๆ จะผ่านบ้านคนซักที เริ่มเหนื่อย เหงื่อเต็มตัว พี่โวลุนเทียร์สองคนก็พูดอยู่นั่นแหละว่า 'A bit more, a bit more' กระเป๋าก็หนักจะตายอยู่แล้ว แบกทุกท่าที่สามารถทำได้แล้วก็ยังไม่ถึงซักที เรากับเพื่อนก็แอบด่าเป็นภาษาไทยว่า ไอ้บ้า สะใจนิดหน่อยที่เค้าฟังไม่รู้เรื่อง

เดินมากว่าครึ่งชั่วโมง ไกลมาก คิดว่าประมาณ 5-6 กิโลเมตรได้ ในที่สุดก็เข้ามาในเมืองเล็กๆ อีกเมืองนึง แล้วก็เข้าโฮสเต็ลกัน เอาของขึ้นไปเก็บ แล้วก็มากินข้าว เสร็จแล้วก็นั่งรอนักเรียนแลกเปลี่ยนอีก 2 กลุ่มที่จะตามมาทีหลัง

อีกสองกลุ่มที่ตามมา ตอนแรกเป็นผู้ชายอีกสองคน คนนึงมาจากตุรกี ชื่อเมเม็ต (ผู้ชายตุรกีมันควรจะหล่อสิ แต่คนนี้ไม่ว่ะ) อีกคนมาจากนอร์เวย์ ชื่อกาย (เวลาออกเสียงจะออกคล้ายๆ เกย์) คนนี้หน้าตาใช้ได้เลย แต่นิสัยเป็นอีกเรื่องนึง
พอสองคนนี้มาถึงได้แป๊บนึง อีกกลุ่มนึงก็มา เราก็มองหาเพื่อนคนไทยเราอีกคนนึง แต่ก็ไม่เห็น พอดีโวลุนเทียร์บอกว่า ยังเหลือที่ยังมาไม่ถึงอีก จะมาประมาณตีสอง

กลุ่มที่มาใหม่นี่ เป็นผู้หญิงหมดเลย มีเด็กญี่ปุ่น ชื่อ เมกุมิ น่ารักมาก นิสัยก็น่ารักด้วย มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา จากออสเตรีย ชื่อดอริส จากออสเตรเลีย ชื่อเจด คนนี้มีแฟนแล้ว แล้วก็บ่นอยากกลับประเทศตัวเองตลอด แต่แม่ไม่ยอมให้กลับ โวลุนเทียร์เค้าก็จัดการแบ่งห้องให้เรียบร้อยแล้ว ห้องละสามคน เราได้นอนห้องเดียวกับเด็กจากบราซิล (เฟร์นันด้า) แล้วก็เจด

หลังจากนั้นก็ไปทำกิจกรรมกันนิดหน่อยที่ชายหาด เด็กอเมริกา(มาเรีย) ตื่นเต้นมากกับแมงกะพรุน คาดว่าเธอคงไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ก็มีเล่นจำชื่อกัน ต่อๆ กันเป็นวงกลม (ยากเหมือนกันนะ แต่เผอิญเราเป็นคนจำเร็ว ก็เลยไม่มีปัญหา ลืมเร็วด้วยแหละ) ก็เล่นๆ กันไปจนตีสอง ที่เหลือคนที่ยังไม่ได้มาอีก ก็มีโวลุนเทียร์มาเรียก บอกว่าเค้ามากันแล้ว เราก็รีบวิ่งไปที่โฮสเต็ลกันเลย

ที่มาใหม่ก็มีเพื่อนคนไทยเราอีกคนนึง (สรุปแคมป์นี้มีเด็กไทยซะสามคน) แล้วก็ผู้หญิงจากอเมริกา ชื่อเคียวมิ คนนี้หน้าตาเค้าสวยมาก (นิสัยเป็นอีกเรื่องนึง) เธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นเหมือนมาเรีย แต่ว่าพูดญี่ปุ่นไม่ได้เลย (มาเรียพูดได้)

ระหว่างอยู่แคมป์ ส่วนใหญ่ก็ทำกิจกรรมกัน ก็สนุกดี แต่ก็ทำให้เรารู้ซึ้งถึงนิสัยคนได้ด้วยเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ จะดูเหยียดๆ คนเอเชียยังไงก็ไม่รู้ เราคนไทยสามคนก็นั่งจับกลุ่มนินทากันเล็กน้อย แบ่งให้เพื่อนญี่ปุ่นรู้บ้าง แต่ไม่ทั้งหมด เพราะเค้ามองโลกในแง่ดี ไม่อยากไปทำลายจิตใจอันดีงามของเค้า

มีกิจกรรมนึง ที่ทำให้เรารู้สึกแย่มากๆ เค้าัจัดการแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละ 4-5 คน ให้วาดรูปโล่ แบ่งเป็นสี่ช่อง ช่องแรกวาดอะไรเกี่ยวกับตัวเอง ช่องที่สอง ให้วาดชีวิต จุดมุ่งหมายของตัวเอง ช่องที่สาม ให้วาดแบ็คกราวด์ หรืออะไรที่สื่อถึงประเทศของตัวเอง ช่องสุดท้าย ให้วาดความรู้สึกในตอนนี้ พอวาดเสร็จก็จะมาอภิปรายกันในกลุ่ม

เพื่อนเราได้อยู่กลุ่มเดียวกับเด็กญี่ปุ่น ทีนี้พอถึงตาเด็กญี่ปุ่นอธิบายเกี่ยวกับรูปที่ตัวเองวาด เค้าก็พูดภาษาอังกฤษไม่่ค่อยคล่อง โวลุนเทียร์กลุ่มนั้นก็ทำท่าประมาณว่า โลกนี้มีคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ ทำหน้าแบบ ดูถูกมากๆ สุดท้ายก็ต้องเรียกมาเรีย ที่พูดได้ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่น (เพราะมีแม่เป็นคนญี่ปุ่น แต่สงสัยจัง ทำไมเคียวมิไม่ยักกะพูดได้มั่ง) มาช่วยทำหน้าที่เป็นล่ามให้ เรานะ รู้สึกสงสารเด็กญี่ปุ่นมากๆ แต่เจ้าตัวเค้าก็ไม่ได้คิดอะไร ก็บอกแล้วว่าเค้าเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่เราก็รู้สึกแย่ๆ กับสิ่งที่คนพวกนี้แสดงออกมากๆ

กลุ่มเรา ประกอบไปด้วยเด็กนอร์เวย์ เด็กอเมริกา (เคียวมิ) เด็กไอซ์แลนด์ (ฮูลด้า เค้าอยู่ห้องเดียวกับเราที่โรงเรียน) แล้วก็มีเรา ตอนแรกโวลุนเทียร์กลุ่มเราก็เริ่มอธิบายรูปของเค้าก่อน ต่อมาก็เป็นเด็กนอร์เวย์ ซึ่งพูดจาได้น่าหมั่นไส้มาก ตอนอธิบายถึงช่องที่สาม เกี่ยวกะประเทศตัวเอง เค้าก็วาดรูปเงิน แล้วก็บอกว่า ประเทศเค้าอ่ะ รวยมาก คนอยู่กันแบบสบายๆ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ต้องไขว่คว้าอะไรมากมาย ต่อมาก็เป็นเคียวมิ เธอก็โชว์ฝีมือการวาดรูป อธิบายคล่องอยู่แล้ว เพราะเป็นภาษาที่ตัวเองพูดมาตั้งแต่เกิด ก็พูดยาวมากๆ แต่ก็จบได้

ต่อมาก็ถึงคราวฮูลด้า เค้าก็อธิบายเรียบๆ ของเค้า เค้านิสัยดีนะ เราอยู่ห้องเดียวกับเค้าที่โรงเรียน ก็เป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีปัญหาอะไร ช่องที่สองเค้าวาดรูปคนเล่นแฮนด์บอล (เค้าวาดไม่ค่อยเก่งน่ะนะ) ก็อธิบายๆ ปรากฎว่าคุณหนูอเมริกาเธอไม่รู้จักแฮนด์บอล เค้าก็ถามใหญ่ ว่ามันคืออะไร แล้วก็คุยกันไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ ลืมอะไรไปรึเปล่า ว่าเรายังไม่ได้พูดโว้ยยยยยย โวลุนเทียร์เค้าก็หันมาทางเรา พยายามจะหาโอกาสให้เราได้พูดอ่ะนะ แต่คุณอเมริกาเธอก็พูดจ้อยๆ ของเธอไปไม่หยุด มีอีตานอร์เวย์เสริมบ้างเป็นครั้งคราว ชั้นจะพูดอะไรก็เลยลืมหมดเลย

ในที่สุด คุณเธอก็หยุดปากให้เราได้พูดมั่งซะที เราก็อธิบายๆ ไป รูปแรกเราวาดต้นไม้ บอกว่าตัวเราก็เหมือนต้นไม้ แต่ละปี แต่ละปีก็โตขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเรื่อยตามฤดูกาล เราก็ปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม แต่เราก็ยังคงเป็นต้นไม้อยู่เหมือนเดิม คือภาษาอังกฤษก็พูดได้อ่ะนะ แต่มันก็ไม่ได้คล่องอะไรมากมาย (ชั้นมาอยู่สเปนเฟ้ย ไม่ได้มาอยู่อเมริกา) อธิบายๆ ไป คุณนอร์เวย์ก็ไม่เข้าใจ จนโวลุนเทียร์ต้องช่วยเราอธิบาย เพราะเค้าดูเข้าใจเรา

ช่องที่สอง เราวาดรูปคนวิ่ง บอกว่า ชีวิตเราก็เหมือนนักวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆ หยุดเมื่อไหร่ ก็มีคนอื่นแซงเราไป พูดยังไม่ทันจะจบดี กำลังจะอธิบายต่อ คุณอเมริกาก็แทรกขึ้นมาว่า สำหรับเค้าเค้าเกลียดชีวิตแบบนี้มากๆ มันเหมือนกับต้องแข่งกับคนอื่นตลอดเวลา เค้าก็พูดประมาณว่า มันแย่มากๆ เราก็พยายามจะอธิบายต่อว่า มันไม่สำคัญว่าจะต้องชนะคนอื่น ที่สำคัญก็คือ เราทำเวลาของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เค้าก็ไม่ฟัง ยังคงพูดฉอดๆ ต่อไป เราก็เลยปลง หันไปอธิบายช่องที่สามต่อแทน

ช่องที่สามเราวาดรูปวัดพระแก้ว กับพระบรมหาราชวัง (ใช่ว่าชั้นจะวาดสวย แต่วาดแล้วออกมาพอดูออกว่าเป็นวัดละกัน) เราก็อธิบายว่า นี่น่ะ เป็นสถานที่ที่ๆ สำคัญมากในประเทศไทย คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ เราก็ด้วย เวลาเห็นวัดก็จะทำให้จิตใจสงบ ลดความวุ่นวาย เป็นเหมือนที่พักพิงทางใจ อันนี้คุณอเมริกาไม่มีไรจะพูด เพราะคุณเธอรู้เฉพาะเรื่องในประเทศตัวเองเท่านั้น โลกนี้เป็นยังไงเธอไม่สน ประเทศเธอยิ่งใหญ่ทีุ่สุดแล้ว ใครๆ ก็ต้องพูดภาษาเธอ

ช่องสุดท้าย เราก็วาดรูปพระอาทิตย์โผล่พ้นเมฆ แต่ยังโผล่ออกมาไม่หมด ก็บอกว่า ตอนที่เรามาอยู่ตอนแรกๆ ก็รู้สึกแย่ๆ คิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว คิดถึงเมืองไทย แต่ตอนนี้อยู่ๆ ไป ก็เริ่มปรับตัวได้ ก็มีความสุขมากขึ้น แล้วก็หวังว่า ต่อๆ ไปก็คงจะกลายเป็นพระอาทิตย์ที่ส่องแสงเต็มที่

พอเราอธิบายจบ คุณอเมริกาเธอก็เริ่มคุยเรื่องของเธอต่อทันที คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ก็ไม่พ้นเรื่องประเทศเธอน่ะแหละ เผอิญคุณนอร์เวย์ก็เคยไปซัมเมอร์ที่อเมริกา เค้าก็เลยมีเรื่องคุยกันใหญ่ เราก็นั่งเงียบๆ กับฮุลด้า เพราะไม่มีจังหวะจะพูดเลย เผอิญมารยาทดีเกินเหตุนุ่ะ ไม่ชอบพูดแทรกคนอื่น

หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ก็ทำกิจกรรมนู้นนี้กันทุกวัน สรุปเพื่อนที่พอจะคบๆ ได้ ก็มีญี่ปุ่น ไอซ์แลนด์ บราซิล แล้วก็ออสเตรเลีย (ไอซ์แลนด์มีสองคน ก็โอเคทั้งสองคน) ห้าคนนี้นิสัยดี อยู่ด้วยได้ คุณอเมริกาสองคนนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันล่ะก็ เราไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้ซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามาเรียอยู่คนเดียว ก็นิสัยดีใช้ได้ แต่พออยู่กับเคียวมิ ไหงกลายไปอื่นไปได้ก็ไม่รู้




 

Create Date : 26 มกราคม 2548    
Last Update : 26 มกราคม 2548 0:17:58 น.
Counter : 949 Pageviews.  

My School

โรงเรียนที่เราเรียนอยู่ตอนนี้ คงแปลกประหลาดกว่าชาวบ้านเค้าที่ได้เรียนโรงเรียนธรรมดาๆ กัน แต่โรงเรียนเรามันกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ตึกใหญ่ งามเชียว พอๆ กะตึกวิทยวิโรฒโรงเรียนเราเลย ตอนนี้ก็เลยต้องเรียนในโรงเรียนชั่วคราว ที่สร้างขึ้นให้ทนทานและสามารถรื้อถอนได้อย่างรวดเร็ว (ฟังดูงงๆ ขัดๆ กันมั้ย แต่ก็เป็นอย่างงี้จริงๆ ถึงแม้ตอนนี้ประตูห้องเราจะพังไปแล้วก็เหอะ) สภาพวันแรกที่เราไป ไม่ได้ไปเรียน แค่ไปกรอกเอกสารอะไรเล็กน้อย มันเป็นช่วงพักพอดี เค้าก็กินแซนด์วิชกัน เดินผ่านรั้ว ก็เจอผู้หญิงผู้ชายคู่นึงกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม อย่าถามว่าใช้ลิ้นรึเปล่า เพราะมองไม่เห็น อยู่ไกล เดินๆ ไป ก็เจอนักเรียนเกาะอยู่ตามรั้ว เกือบทุกคนสูบบุหรี่ ก็ตกใจเล็กน้อย เพราะถึงจะรู้มาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ดูๆ เหมือนสถานกักกันอะไรซักอย่าง เริ่มหวาดๆ เราเดินผ่าน ก็มีคนเกาะรั้วมอง ทำให้นึกถึงเวลาคนมองออกมาจากคุกอ่ะ เอาเหอะ ช่างมัน

พอไปเรียนวันแรก ก็เข้าห้องสายไปสามนาที วิชาแรกวันนั้นเป็นปรัชญา เข้าไปก็เด่นมาก เพราะโปรเฟสเซอร์ก็เข้าห้องแล้ว ทุกคนก็อยู่ในห้องกันหมด ก็รีบๆ เดินไปนั่งกับเพื่อนเอเอฟเอสจากไอซ์แลนด์ ที่อยู่ห้องเดียวกัน

พูดถึงเวลาเรียนที่นี่ ตารางเวลาเค้าอาจจะดูแปลกๆ เพราะนาทีมันมีเศษ เช่นเริ่มตั้งแต่ 8.00 - 8.51 อะไรประมาณเนี้ย คือเค้าจะมีช่วงพักระหว่างคาบให้สองสามนาที ประมาณว่าเป็นเวลาสำหรับเดินเปลี่ยนห้อง แต่ห้องเราไม่ค่อยได้เปลี่ยนห้องอะไรเท่าไหร่ ผู้หญิงก็เลยออกไปพักสูบบุหรี่กันทุกคาบ

เรื่องเรียน ที่นี่ก็ไม่ได้เรียนยากอะไรมากมายนะ ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะมีวิชาน้อยกว่าที่เมืองไทยมั้ง ก็เลยเรียนได้อาทิตย์นึงหลายครั้ง รู้สึกเรียนต่อเนื่องมากกว่าอยู่เมืองไทยเพราะมันได้เรียนบ่อยกว่า เนื้อหาก็ไม่ค่อยยากมาก ก็โอเคนะ คือถ้าเราอ่านภาษาเค้ารู้เรื่อง ก็คงเรียนได้สบายๆ อ่ะ แต่ใช่ว่าภาษามันจะง่ายซะเมื่อไหร่ล่ะ ยากจะตาย คิดว่าตลอดทั้งปีก็คงยังไม่สามารถอ่านหนังสือเรียนได้รู้เรื่องทั้งเล่ม เพราะศัพท์มันวิชาการอย่างแรง

เวลาเรียน ถ้าโปรเฟสเซอร์เรียกให้ตอบคำถาม เค้าก็ตอบกันแบบว่าแย่งกันตอบเลยแหละ ต่างจากเมืองไทยมากๆ ที่ถามไปสิบรอบแล้วก็ยังไม่มีคนตอบ เวลาให้แสดงความคิดเห็นอะไร ไม่เกินสามวินาที ก็จะมีคนพูดขึ้นมา บางทียังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ ว่าให้แสดงความคิดเห็นเรื่องอะไร ก็พูดกันขึ้นมาครึ่งห้องแล้วอ่ะ

พูดถึงเรื่องแสดงความคิดเห็นเนี่ย ที่นี่เค้าก็ให้อิสระเด็กมากๆ เลยนะ คือถ้าผิด ก็จะไม่บอกว่า แบบนี้ผิดนะ ไม่มีทางถูกเลย แต่จะทำให้เห็นว่า เนี่ยผิดยังไง ผิดตรงไหน บางทีอันนี้อาจจะถูกก็ได้นะ ถ้ามองแบบนี้ คือความคิดมันเปิดกว้างกว่าเมืองไทย (ที่เน้นไชลด์เซนเตอร์ แต่ไม่เห็นจะได้อะไรเลย) อยู่ที่ก็สบายใจดีนะ เพราะอยากทำอะไรก็ทำ อยู่ในห้องยังนั่งเคี้ยวหมากฝรั่งกันเลย บางวิชาโปรเฟสเซอร์ก็สอนไปเคี้ยวไป คือมันดูสบายๆ ดีอ่ะ ไม่เครียด ไม่ซีเรียสอะไรมากมาย

กฎโรงเรียน ไม่รู้มีรึเปล่า เพราะก็เห็นทำอะไรกันได้ทุกอย่าง เรื่องแต่งตัวเนี่ย ไม่ต้องพูดถึง คงไม่มีกฎข้อนี้อยู่แล้ว แต่งกัน ถ้าอากาศไม่หนาวก็เหมือนจะไปเดินเที่ยวห้าง เรื่องแต่งตัว เรื่องผม ตัดไป

สูบบุหรี่ คาดว่าคงมีกฎอยู่เหมือนกัน ว่าจำกัดพื้นที่สูบได้แค่ตรงไหน ห้ามสูบในห้องเรียน ฯลฯ จำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึง อ.โฮมรูมห้องเรา เค้าเข้ามาพูดถึงตอนประชุมอาจารย์ เค้าจะมีกฎห้ามสูบบุหรี่ในโรงเรียน คือไม่รู้มีใครเสนอมา ปรากฎว่าทั้งห้องแสดงความไม่เห็นด้วยกันแบบว่า รุนแรงมาก คือพูดๆ ๆๆๆ กันทั้งห้องอ่ะ เหมือนทะเลาะกันเลย แต่ก็รู้ว่าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก สรุป ประเด็นนี้ก็โดนยกเลิกไป เพราะนักเรียนบอกว่าไม่แฟร์ ที่อาจารย์สูบได้แต่นักเรียนห้ามสูบ ก็ดีนะ

เวลานักเรียนพูดแบบแสดงความคิดเห็นเสียงดังๆ ก็ไม่มีใครว่านะ คือถึงแม้จะพูดเสียงดังขนาดไหน ก็ไม่ปิดกั้นโอกาสให้แสดงความคิดเห็นอ่ะ ซึ่งเราคิดว่ามันดีมากๆ เลย อิสระดี เค้าก็ดูมีความคิดสร้างสรรค์กันดี ชอบ

ส่วนเรา เรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เรียนได้อยู่แค่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส เลข แล้วก็พละ ที่พอจะทำอะไรได้ นอกนั้นก็ทำอะไรไม่ค่อยได้เลย เพราะว่าเรียนไม่รู้เรื่อง งานเงินก็ไม่ทำ เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง ต้องทำเป็นภาษาสเปนนี้ ความจริงก็เป็นข้ออ้างหน่อยๆ แหละนะ แต่โปรเฟสเซอร์ก็เห็นใจ ไม่มีใครมาขู่เข็ญบังคับให้เราทำงาน

ส่วนเพื่อนที่นี่ ก็โอเคดี มันก็ธรรมดาอ่ะนะ ที่มีทั้งคนดีคนไม่ดี แต่เราคิดว่าในห้องเราก็ดูเป็นคนดีกันหมดทุกคนอ่ะนะ ถ้ามีอะไรเค้าก็พยายามบอกเรา แปลมาให้เราทุกภาษา ทั้งสเปนแบบง่าย อังกฤษ ฝรั่งเศส บางทีพูดๆ ไปก็หลุดมันมาหมดทุกภาษา เราก็เข้าใจ พยายามไม่คิดว่ามันภาษาอะไรวะ แค่เข้าใจก็คือเข้าใจ แต่ถ้าจะให้บอกว่าเข้าใจว่าอะไร คงเลือกภาษาไม่ถูก ว่าจะตอบยังไงดี




 

Create Date : 25 มกราคม 2548    
Last Update : 25 มกราคม 2548 23:41:12 น.
Counter : 321 Pageviews.  

My host family

หลังจากนั่งรถบัสจากมาดริดมาประมาณสี่ชม. ในที่สุดก็ถึงเมืองบาเลนเซียซะที (อธิบายนิดนึง บาเลนเซียเนี่ย เป็นชื่อแคว้น แล้วก็เป็นชื่อเมืองหลวงของแคว้นด้วย ในที่นี้ก็หมายถึงเมืองหลวงนะ) ตื่นเต้นมากๆ เพราะจะได้เจอหน้าโฮสต์แล้ว (ตอนคุยกันทาง MSN เค้าก็ดูใจดี๊ใจดี)

พอรถจอด เราก็รีบรวบรวมสัมภาระทั้งหลาย (นี่แค่เป้อย่างเดียวนะ แต่หนักมากกกกกกกก) แล้วก็เดินๆ ตามเค้าลงไป แอบได้ยินนักท่องเที่ยวพูดฝรั่งเศสกันด้วย ตื่นเต้นๆ (ที่ยังพอฟังรู้เรื่องอยู่) พอลงไป ยังไม่ทันจะมองหา ก็ได้ยินเสียงเรียก "โบ?" (ขึ้นเสียงสูงน่ะ) หันไปตามเสียงเรียก ก็เจอหน้าโฮสต์มัมกับโฮสต์แดด (จริงๆ เราก็เรียกชื่อเค้าอ่ะนะ หลุยส์ กับ การ์เมน) เค้าก็เข้ามาหอมแก้มทักทายทันที ตามแบบคนสเปน จุ๊บซ้าย จุ๊บขวา แล้วเราก็หันไปมองหากระเป๋าใบใหญ่สองใบ เค้าก็แบบ รีบเข้ามาช่วยถือใหญ่เลย (หมายถึงโฮสต์แดดนะ)

ขนกระเป๋าออกไปที่จอดรถข้างนอก อากาศก็ร้อนๆ เพราะแดดออก (มันเป็นช่วงใบไม้ร่วงน่ะ) คุณพ่อก็กะคุณแม่ก็จัดการช่วยกันยัดกระเป๋าใบใหญ่เราสองใบเข้าไปท้ายรถ แล้วก็ขับรถออกจากบาเลนเซีย ไปเมืองปิกัสเซ่น

ระหว่างทาง เค้าก็หันมาคุยๆ กะเราด้วย เค้าก็พูดธรรมดา แต่เราฟังแล้วก็แบบ พรืดเดียว จับไม่ได้ซักกะคำ ก็นั่งเอ๋อไป จนเค้าต้องพูดช้าๆ ซ้ำอีกทีนึง ถึงพอเข้าใจ (รู้้สึกเรียนภาษาสเปนที่เมืองไทย เปลืองตังค์ยังไงก็ไม่รู้ เพราะจำอะไรมาใช้ไม่ค่อยได้เลย เค้าก็สอนเยอะนะ แต่เราไม่จำเองล่ะ)

มาถึงเมืองปิกัสเซ่นที่เราจะต้องอยู่ไปอีกปีนึง ก็ไม่ใหญ่อะไรมากมาย ประมาณเขตนึงของกทม.ได้ (เขตเล็กๆ นะ) ลงจากรถ เราก็หันไปมองบ้าน แต่ปรากฎว่า บ้านเราอยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นอพาร์ทเมนท์อ่ะนะ อยู่ชั้นสี่ แต่มีลิฟต์ ลิฟต์ก็เหมือนที่โฮสเต็ลที่เคยอยู่น่ะแหละ แต่ดูใหม่กว่าเล็กน้อย พอเข้าห้องไป เค้าก็จัดการวางกระเป๋าเราไว้ในห้องนอนที่เตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว แล้วก็พาเราเดินชมบ้าน เหมือนเป็นนิสัยของคนสเปนนะ ที่เวลามีใครมาบ้าน ต้องพาเดินชมทั่วบ้านอ่ะ เวลาเราไปบ้านคนอื่นก็จะเป็นแบบนี้หมดเลย ก็แปลกดีเหมือนกัน

พอเราจะเข้าไปจัดของ โฮสต์มัมก็ถาม จะให้ช่วยอะไรมั้ย เราก็พยักหน้าตอบไป เค้าก็จัดการทุกอย่างอย่างรวดเร็ว อยู่ๆ ของๆ เราทั้งสองสามกระเป๋าก็หายเข้าไปในตู้ ในลิ้นชักหมดแล้ว (ถ้าเราจัดเองคงเป็นวัน) แล้วเค้าก็เห็นเสื้อยืดพิมพ์ลายประเทศไทย เค้าก็ถามว่า นี่ของเราเหรอ เราก็ตั้งใจจะเอามาฝากเค้ากันอยู่แล้ว ก็บอกว่า ให้เค้าน่ะแหละ (มีเสื้ออยู่สามตัว) เค้าก็แบบ ดีใจมาก รีบเอาเสื้อไปอวดโฮสต์แดดใหญ่เลย (ตอนหลังเริ่มรู้นิสัย ว่าคนสเปนเวลาได้ของขวัญก็จะดีใจเกินเหตุแบบนี้ตลอด ไม่รู้ว่ารุ้สึกจริงๆ หรือเป็นแค่มารยาทที่ดี)

พอจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อย เราก็อาบน้ำแต่งตัว เค้าก็พาเราไปเดินเล่นในเมือง (ความจริงคือพาหมาไปเดินเล่นน่ะแหละ) เราก็เจอญาติ เจอเพื่อนเค้านิดหน่อย ก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ พอตอนกลางคืน ก็เจอกับโฮสต์พี่สาวคนโต ชื่อมาร์ต้า (ที่ทุกคนเห็นรูปก็บอกว่าหน้าแก่น่ะล่ะ) เค้าก็สวยนะ หุ่นดีด้วย (สูง ไม่อ้วนมาก มีพุงนิดหน่อย) แต่เวลานอนดึกๆ ตาจะคล้ำๆ ก็เลยดูแก่

ส่วนพี่สาวคนเล็ก (การ์เมน) ก็ได้เจอกันวันศุกร์ เพราะเค้าเรียนมหาลัยที่อีกแคว้นนึง กลับบ้านทุกวันศุกร์ เจอกันก็ไม่มีอะไร เค้าก็คุยๆ กับพ่อแม่เค้าใหญ่เลย เราก็นั่งเงียบ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง (มาฉลาดตอนหลัง เพิ่งรู้ว่าเค้าพูดบาเลนเซียโนกัน ตอนแรกแยกไม่ออกอ่ะ)




 

Create Date : 25 มกราคม 2548    
Last Update : 25 มกราคม 2548 23:39:59 น.
Counter : 574 Pageviews.  

First Meal In Madrid

พอเอากระเป๋าเข้าห้อง เค้าก็นัดว่า อีกชม.นึงจะมารับ เราก็พักล้างหน้าล้างตากันเล็กน้อย ดูทีวี ซึ่งตั้งไว้ไม่ให้เสียงดังเกินกำหนด เพราะผนังบางมาก คุยอะไรกันก็ได้ยินไปอีกห้อง พอชม.กว่าๆ ผ่านไป ก็ออกไปนั่งรอข้างนอกห้อง รอกันอยู่นานมาก

ในที่สุด ผ่านไปอีกครึ่งชม. เค้าก็มารับ (ความจริงฝรั่งต้องตรงเวลาไม่ใช่เหรอ) สรุปต้องนั่งรอเกือบๆ สองชม.อ่ะ แล้วเค้าก็มาแบบ สบายๆ เหมือนไม่รู้ตัวว่ามาสาย มาปุ๊บก็จัดการลากเรากลับไปหน้าตึกที่แท็กซี่จอดตอนแรก ซึ่งถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่เห็นป้ายเอเอฟเอสที่เล็กมากกกกกกกกกก อยู่บนกริ่งตรงหน้าตึก

พอเข้าไป ก็รับรู้ได้ว่า ทำไมเอเอฟเอสเมืองไทยกะเอเอฟเอสสเปนถึงคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะคนทำงานที่นี่ มีแต่คนอายุไม่มาก ทุกคนอายุไม่เกิน 35 อะ (ในขณะที่เมืองไทย ไม่มีใครอายุต่ำกว่า 40) แล้วเค้าก็ให้ไปนั่งรอในครัว ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ทัก Hola บางคนก็เข้ามาหอมแก้มด้วย (ทักแบบสเปน)

พอได้คุยกะเจ้าหน้าที่เอเอฟเอสเรียบร้อยแล้ว อีตาคาบีเอ้ก็จัดการพาไปเลี้ยงอาหารค่ำ (ตอนนั้นประมาณสองทุ่มเกือบสามทุ่มแล้ว) เราก็หิวกันมาก ก็เดินตามไป มีเจ้าหน้าที่เอเอฟเอสอีกคนไปด้วย

เข้ามาในร้านอาหาร ซึ่งคงเป็นกึ่งๆ บาร์เล็กน้อย เค้าก็พาเราเข้าไปนั่งข้างใน ซึ่งเปิดแอร์ไว้หนาวมากกกกก (สงสัยจะประชด เพราะตอนเจอเค้าเราก็บอกว่า ที่นี่อากาศร้อนมาก (Too hot) เค้าก็ถามว่า แล้วเมืองไทยไม่ร้อนเหรอ เราก็บอกไปว่า เมืองไทยน่ะ hotter เค้าก็ทำหน้างงๆ )

เค้าก็ถามว่า อยากกินอะไร เราก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยกินอาหารสเปนมาก่อน ก็เลยบอกให้เค้าสั่งให้ แล้วก็สั่งน้ำส้มกัน น้ำส้มที่นี่พอเปิดขวดแล้วมันจะดัง ป๊อป อ่ะ เสียงน่ารักมาก แต่รสชาติไม่ได้เรื่อง

อาหารจานแรกมา ก็เป็นขนมปังแผ่นๆ มีแฮมโปะ ก็อร่อยดี (ที่นี่มีแฮมหลายแบบ)

พอจานที่สอง เป็นขนมปังยาวๆ อบกะชีสอะไรไม่รู้ของสเปน หน้าตาหน้ากินมากกกกกก แต่เราก็ไม่ใช่คนชอบชีส ก็เลยแค่โอเค พอกินได้ ชีสเหม็น + เค็มไปหน่อย

ต่อมาก็เป็นแฮมหลายๆ แบบ มีอยู่แบบนึงอร่อยมากกกกกกก แต่เต็มไปด้วยไขมัน แล้วก็มีชีสหลายๆ แบบ ซึ่งเราก็ไม่ค่อยกล้ากินเท่าไหร่ เพราะกลัวไม่อร่อย (มันชิ้นใหญ่อ่ะ ถ้าหยิบมาแล้วกินไม่หมดก็เสียมารยาทอีก) อ้อ ลืมบอก เค้ากินกันไม่มีช้อนส้อมมีด นะ ใช้มือเลย มีขนมปังด้วย อร่อยดี

พอมาอีกจาน ก็เป็นขนมปังแผ่นๆ คล้ายๆ จานแรก แต่โปะด้วยปลาอะไรก็ไม่รู้ (เพื่อนเราบอกว่าเป็นแอนโชวี่) สองสี มีสีน้ำตาลกะสีขาว

เค้าก็ให้เราสี่คนกินจานนึง (มีขนมปังสองแผ่น) เราก็แบ่งกัน พอเข้าปากเท่านั้นแหละ แทบอยากจะคายออกมาเลย รสชาติมันแบบว่า สุดจะบรรยายเลยอ่ะ คือไอ้ตัวขาวๆ อ่ะ เหมือนแช่น้ำส้มสายชูมาซักขวดนึง โคดดดดดดดดดเปรี้ยว ส่วนตัวสีน้ำตาลไม่รู้เอาไปทำอะไรมา แต่รสชาติเหมือนกะปิเลย เค็มมากกกกกกกกกกก

แล้วก็เค้าก็เอาไอ้ปลากะขนมปังแบบนี้มาเสิร์ฟอีกสองจาน อีตาคาบิเอ้ก็อุตส่าห์มีน้ำใจ ถามว่าจะเอาอีกมั้ย จะได้สั่งเพิ่มให้ ไม่ดูหน้าตาพวกเรากันมั่งเลย

พอเรากินกันอิ่มแล้ว ก็ต้องนั่งรอเจ้าหน้าที่เอเอฟเอสสองคนนี้กินกันอีก คือเค้ากินกันเหมือนมากินเบียร์กับกับแกล้มอ่ะ ไร้ซึ่งความอิ่ม (แต่ก็กินขนมปังไปเยอะ ก็พอทนล่ะ) ในที่สุด พอเค้ากินเสร็จ ก็ออกมาจากร้าน จะบอกว่าตรงเคาน์เตอร์ของร้านที่อยู่ข้างนอกหน่อย (ไม่ใช่นอกร้านนะ) อากาศแบบว่าอุ่นมากกกกกก เราก็นั่งหนาวกันอยู่ข้างใน (มีโต๊ะเราโต๊ะเดียวด้วย)




 

Create Date : 21 มกราคม 2548    
Last Update : 21 มกราคม 2548 23:55:14 น.
Counter : 327 Pageviews.  

My travel

วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๗
หลังจากโดนเอเอฟเอสเลื่อนมาเป็นเวลาเกือบเดือน ในที่สุดก็ถึงวันที่เราตั้งตาคอยซะที

ที่สนามบินดอนเมือง ตอนห้าทุ่มลาทุกคน (พ่อแม่ พี่ น้อง) เรียบร้อยแล้ว ก็ไปนั่งรอ ซักพักเค้าก็เรียกเราขึ้นเครื่อง ขอบอกว่าสจ๊วตของ Austrian Airlines หน้าตาดีืุทุกคนเลย แล้วมีสจ๊วตหลายคนด้วยนะ 3-4 คนมั้ง แต่ที่นั่งแคบมากๆ ประมาณว่าตัวขนาดเรานั่งเข่ายังแทบติดที่นั่งข้างหน้าเลยอ่ะ นอนก็ไม่สบายกลัวเอนเบาะไปโดนผู้หญิงข้างหลัง หลับๆ ตื่นๆ ตลอดเลยเมื่อยมากๆ ตั้ง 11 ชั่วโมงแน่ะอาหารบนเครื่องก็เค็มมากกกกกกกกกกกก ขอน้ำก็เอาโซดามาให้เฮ้อออออออ

แต่เพื่อนเราคนนึง นั่งแยกกัน อยู่ข้างหลังเราประมาณ 10ที่นั่งได้ เค้าได้นั่งกะฝรั่งคนนึง พูดเยอรมันคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เค้าก็คงเห็นเพื่อนเราเป็นเด็กมั้งเพราะเพื่อนเราเค้าตัวเล็ก เล็กกว่าเราอีก ก็แบบ take care อ่ะ พอจะนอน เค้าก็ชี้ที่ตักแล้วก็ถามว่า จะนอนตักเค้ามั้ยเพื่อนเราก็ตกใจ บอกว่าไม่เป็นไร เค้าก็แบบไม่ต้องเกรงใจหรอกแล้วก็ล็อกคอเพื่อนเราให้นอนตักเค้าเลย เพื่อนเราก็ตกใจมาก รีบดันออก

พอถึง เีวียนนา ออสเตรีย ก็ลงจากเครื่อง วันที่ ๒๙ กันยายน แล้ว (เข้าวันใหม่) มันเป็นตอนเช้ามืดของที่นู่น ร้านอะไรก็ยังไม่เปิดเลยก็เดินๆ รอบๆ แล้วก็ไปหาที่นั่ง กระเป๋าก็หนักมากขนาดไม่ใช่ใบใหญ่นะเี่นี่ย แค่เป้อย่างเดียว

พอถึงสนามบิน ลงจากเครื่องมาคุณสจ๊วตสุดหล่อทั้งหลายก็มายืนส่งอยู่ที่ประตู คิดคำว่าบ๊ายบายภาษาเยอรมันไม่ออก เลยไม่ได้พูดอะไร

เข้าสนามบิน ก็เจอฝรั่งที่เพื่อนเรานั่งด้วยเดินผ่านแล้วก็บอกว่า บ๊ายบาย แล้วเจอกันใหม่เพื่อนเราเริ่มกลัวอีตานี่นิดๆ

แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปก็เลยวนเวียนอยู่แถวๆ นั้นซึ่งมีเจ้าหน้าที่คนนึงยืนอยู่ เป็นผู้ชาย หล่อดีเหมือนกัน เพื่อนเราก็รอจะถามเจ้าหน้าที่คนนี้(เพราะหล่อสุดแล้ว) แต่ก็มีคนต่อคิวจะถามเยอะมาก ทั้งๆที่มีเคาน์เตอร์ที่มีผู้หญิงหน้าดุๆ อยู่ข้างหลัง(คนถามทุกคนเป็นผู้หญิง) ในที่สุดเราก็ได้ถามเค้าก็บอกทางให้ แต่ภาษาอังกฤษโคดดดดด จะห่วยเลย ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพื่อนเราก็มัวแต่มองหน้าเค้าอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ฟังเล้ยยยยยยย ตอนพูดคำว่า มาดริด ก็พูดสำเนียงออกจะฝรั่งไป คุณสุดหล่อก็ดันฟังไม่รู้เรื่อง จนต้องพูดว่า มาดริ๊ด เป็นสำเนียงสุดเหน่อ พี่ท่านถึงจะร้อง อ๋อ

ตอนแรกก็ไปเช็กพาสปอร์ต แล้วก็หาที่นั่งกัน นั่งไปนั่งมาก็เบื่อ เพื่อนเราก็จะหาโทรศัพท์โทรหาแม่ มือถือใช้ไม่ได้เพราะไม่มีสัญญาณ ก็เลยเดินๆ ดูกันทุกร้านในสนามบินยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย ร้างมาก ในที่สุดก็หารถเข็นได้ เพราะกระเป๋าของทุกคนหนักมาก(นี่แค่เป้อย่างเดียวนะกระเป๋าใหญ่ไปรับทีเดียวที่มาดริด) ก็เดินๆ ไปจนเจอเคาน์เตอร์ของสายการบินที่เราจะไป ไปเช็กอินเสร็จแล้วก็หาที่นั่งรอต่อเพราะเครื่องเราออกตั้งบ่ายโมงสิบห้าแน่ะ(ตอนไปเช็กอินเป็นเวลาประมาณ หกโมงเช้า) ก็นั่งๆ รอๆคุยๆ กันจนหมดเรื่องคุย ในที่สุดร้านในสนามบินก็เปิดก็ไปเดินๆ ดูกัน

มีขายช็อกโกแลตเยอะมากๆ อ่ะ ส่วนใหญ่กล่องเป็นรูปโมสาร์ทแล้วก็ซิสซี่ (พระราชินีอลิซาเบ็ธ ของออสเตรีย)ก็ไม่ได้ซื้อไรกัน เพราะขี้เกียจแบก

เออ ใช่ที่นี่มีไอติมวอลล์ด้วยแหละ (มีทำไมวะอากาศก็ใช่ว่าจะร้อน) แต่เค้าไม่ได้เรียกว่า วอลล์เค้าเรียก เอสกิโมอ่ะตอนหลังเราไม่มีไรทำกันก็ไปถ่ายรูปตู้ไอติมกันแล้วก็มีฝรั่งคนนึงเดินเข้ามาถามว่า ตู้ไอติมเนี่ยมีไรน่าสนใจเหรอ เราก็หัวเราะกันแล้วก็บอกเค้าว่า มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่มีในเมืองไทย อายเค้าว่ะ ดูบ้านนอกมากเลย (แต่ไอติมโคดดดดดด แพงอ่ะแท่งนึง เมืองไทย 20 บาท ของเค้าก็ 2 ยูโรอ่ะ ร้อยบาท)

ในที่สุด เราก็เริ่มหิวกันก็เลยเอาเสบียงที่เตรียมมาออกมากินกัน ของเรามีครัวซองต์10 ชิ้นอ่ะ เยอะมาก แม่ซื้อมาให้ จากยามาซากิ แล้วก็มีนมมีน้ำผลไม้ คือมีทุกอย่างครบอ่ะ เพื่อนเราคนนึงเอาขนมไหว้พระจันทร์มาด้วย - -

เราหาที่นั่งกินกันเป็นที่นั่งอยู่หน้าร้านขายของจำเป็นเวลาเดินทาง พวกสบู่แชมพู อะไรพวกเนี้ย ซึ่งเจ๊เจ้าของร้านก็เหมือนไม่มีไรทำนั่งทำความสะอาดร้านตลอด ตั้งแต่เรามานั่งจนเราไปตอนเครื่องจะออก เค้าก็ดูดฝุ่นแล้วก็มานั่งเช็ดชั้นทีละชั้น มีขายเครื่องสำอางด้วยเค้าก้เช็ดยาทาเล็บทีละขวด เวลามีลูกค้ามาดู มาจับพอลูกค้าไปเค้าก็มาเช็ดของที่ลูกค้าเพิ่งจับไปอ่ะ - -

เราก็นั่งกินกัน คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทุกคน (ขอย้ำว่าทุกคน) ก็มองพวกเราอ่ะ บางคนก็มองแล้วยิ้มด้วย คือแบบมันมีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นด้วยไงแล้วไม่มีใครเตรียมมาเหมือนเรา ก็ต้องเข้าร้านนั้น

แต่ทุกคนมองกันจริงๆ นะถึงพวกเรากินทุกอย่างเสร็จแล้วก็ยังไม่เลิกมองสงสัยพวกเราจะดูแปลกมาก ตอนหลังเพื่อนเราเริ่มเบื่อก็เลยนอนกันบนเก้าอี้อะ ทีนี้คนก็เริ่มมองกันมากขึ้น(มองกันทุกคนยังไม่มากอีกเหรอวะ)

แต่เราไม่ได้นอนกับเค้าด้วยเราก็ไปเดินเล่นกะเพื่อนอีกคนนึง เดินดูนู่นดูนี่ รู้แล้วล่ะว่าทำไมฝรั่งเค้าใช้แบรนด์เนมกันเพราะว่าของธรรมดากะของแบรนด์เนม ราคาก็ไม่ต่างกันเลย(ซื้อแบรนด์เนมดีกว่า)

เรานั่งมองแอร์ของออสเตรียนแอร์ไลน์ด้วย คือของเครื่องที่เรานั่งมา แอร์เค้าใส่กางเกงแต่ชุดคือเป็นสีขาวแดง แต่ตอนนั่งรออยู่ที่สนามบินก็เห็นแอร์บางคนใส่กระโปรง แล้วก็ใส่ถุงน่องสีแดงด้วยอ่ะคือแดงทั้งตัว รองเท้าก็แดง ที่มัดผมก็ต้องเป็นสีแดงด้วยบางคนถือแฟ้มมา แฟ้มก็เป็นสีแดงอีกอ่ะคือถ้าย้อมผมแดงได้คงทำกันทุกคนแล้วมั้ง แต่มองนานๆก็น่ากลัวว่ะ แดงทั้งตัว ขาก็แดง

แล้วก็มีแอร์ของสายการบินเยอรมัน (ชื่อสายการบินไรจำไม่ได้ นิกิมั้ง) แอร์เค้าก็ชุดแบบ อวกาศมากเป็นสีเงินอ่ะ แล้วก็มีสีแดงด้วย ตลกดี แต่ชุดก็น่ารักดีถ่ายรูปไม่ทันเพราะมีแอร์เดินไปแค่ไม่กี่คนเอง

ในที่สุดก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง หลังจากนั่งๆ นอนๆ เดินๆกินๆ กันมานาน ก็ไปรอที่เกต คนที่ขึ้นเครื่องเดียวกะเรามีแต่คนสเปนทั้งนั้นเลยอ่ะมีคนเอเชียซึ่งคาดว่าเป็นคนจีน อยู่ไม่กี่คนสามสี่คนมั้ง เราก็แอบฟังที่คนสเปนเค้าพูดกันเริ่มกลัวเล็กน้อยเพราะพูดกันโคดดดดดดด เร็ว โคดดดดดดดด รัว ฟังประมาณสองสามประโยคก็จับได้แค่สองสามคำเองอ่ะ

พอขึ้นเครื่อง ก็ตกใจเล็กน้อยเนื่องจากทุกอย่างดูเก่ามาก ฝุ่นจับ แอร์ก็แก่สจ๊วตก็ไม่หล่อ นี่หรือสปันแอร์ (Spanair)

พอถึงเวลาที่สาธิตวิธีการใช้เครื่องช่วยชีวิตสายการบินนี้ก็มาแปลก คือไม่มีจอบนเครื่องไง สาธิตให้ดูสดๆ เลย นำแสดงโดยคุณสจ๊วตหน้าตาไม่หล่อส่วนคุณแอร์แก่มาก แต่งหน้าจัดด้วย ก็เป็นพิธีกร คอยพูดซึ่งฟังไม่รู้เรื่อง ถึงแม้ว่าเค้าจะพูดอังกฤษแล้วก็ตาม

นั่งไปซักพัก ก็เริ่มง่วง ก็หลับกัน พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนสเปนแล้วมองลงไปข้างแล้วดูแห้งแล้งยังไงก็ไม่รู้อ่ะมีแต่สีเหลืองๆ กะภูเขา ไม่มีอะไรเขียวๆ เลยแต่น้ำสีสวยมาก (น้ำอะไรก้ไม่รู้ ทะเลมั้ง)

ตอนเครื่องลงน่ากลัวมากอ่ะ กัปตันขับอย่างซิ่ง มาถึงก่อนเวลาประมาณยี่สิบนาที มองไปรอบๆ สนามบินเห็นแต่หญ้าสีเหลืองๆ ไม่มีอะไรที่แบบดูดีเลย ลงจากเครื่องแล้ว ก็ไปหาที่รับกระเป๋า เดินๆ ตามคนอื่นไป
ไม่รู้ทาง ไม่มีอะไรบอกเลยหรือเค้าอาจจะบอกแล้วก็ได้ตอนอยู่บนเครื่องแต่ฟังไม่รู้เรื่องนี่หว่า (พูดสเปน แล้วก็พูดอังกฤษ แอร์คงปรับสำเนียงไม่ทันมั้ง ก็เลยฟังดูเป็นสเปนหมดเลย)

ในที่สุดก็หาเจอ แล้วก็ยืนรอ โคดดดดดดดดด นานอ่ะก็วางกระเป๋ากันก่อน รออยู่ประมาณเกือบยี่สิบนาทีได้มั้ง กว่ากระเป๋าจะมา พอกระเป๋ามา ก็รีบๆ หยิบๆ มากองไว้ก่อนสังเกตจากริบบิ้นสีแดงกับ Tag สีเหลืองแต่กระเป๋าใบใหญ่เราแท็กขาดอ่ะ ตอนแรกเลยจำไม่ได้

พอหยิบๆ มากองๆ กันแล้ว คนก็เริ่มมอง เด็กพวกนี้แค่สี่คนแต่กระเป๋าเยอะเหมือนจะมาตั้งรกรากที่นี่ ใช้รถเข็นสามคัน แล้วก็ช่วยๆ กันเข็น เดินออกไปตอนอยู่บนทางออก ก็มีเด็กผู้ชายสองคนหน้าตาดีมาเคาะกระจกอ่ะก็นึกว่าเป็นโฮสต์บราเธอร์ของเพื่อนเราเพราะเค้ามีโฮสต์บราเธอร์สองคนแต่ปรากฎว่าเค้าเคาะเรียกคนข้างหลัง

พอออกมาก็เจอรุ่นพี่เอเอฟเอสใส่เสื้อที่ดูดีกว่าของเรามากเป็นเสื้อของเอเอฟเอสอเมริกา เค้าก็ถามก่อนเลยว่าจะให้พูดสเปนหรืออังกฤษพวกเราก็เลือกอังกฤษเนื่องจากมีประสบการณ์กับภาษาสเปนมาจากบนเครื่องเค้าก็บอกว่า ต้องนั่งแท็กซี่ไปนะแล้วก็พาเราไปที่รอแท็กซี่ ไม่มีช่วยอ่ะ พี่ท่านเดินดุ่มๆ ไปเลย หันกลับมามองเล็กน้อยประมาณว่าทำไมเข็นช้าจัง

ในที่สุดก็ได้แท็กซี่มาสองคันคนขับแท็กซี่พอเห็นกระเป๋าก็ทำหน้าเหนื่อยมากแต่ก็พยายามยัดทุกอย่างลงท้ายรถให้ได้เรานั่งกะพี่อีกคนนึง แล้วก็อีตานี่ที่มารับ(รู้ตอนหลังว่าชื่อ Javier) แท็กซี่ขับโคดดดด ซิ่งอ่ะ คาบีเอ้ก็คุยกะคนขับแบบ เสียงดังมากฟังไม่รู้เรื่องว่าคุยไรกัน แต่จับความได้ประมาณว่าคุยเกี่ยวกะเรื่องกระเป๋าของพวกเรา

แล้วแท็กซี่ที่นี่ (ความจริงก็รถเกือบทุกคันแหละ)
เค้าไม่เปิดแอร์นะ แต่เปิดหน้าต่างแทน ถ้าเปิดแอร์จะคิดตังค์เพิ่ม

ขับผ่านถนนที่ดูแล้วคล้ายๆ ถนนราชดำเนินเลย คุ้นตามาก แล้วในที่สุด ก็เลี้ยวรถเข้ามาในซอยเล็กๆประมาณว่าตึกส่วนใหญ่กะลังก่อสร้างกันอยู่ (บางตึกเก่ามาก เหมือนจะบูรณะใหม่มากกว่า) แล้วก็จอดรถ
เราก็ขนกระเป๋ากันลงมา เจอกะผู้หญิงอีกคน เป็นเจ้าหน้าที่เอเอฟเอส ยืนสูบบุหรี่รออยู่ เค้าก็ทักทายเล็กน้อย ชื่อมาเรีย แล้วก็นำทางเราไปที่พัก เป็นโฮสเต็ลเล็กๆ

ต้องเดินไปอีกอ่ะ แทนที่จะให้แท็กซี่จอดใกล้ๆ
จะได้ไม่ต้องเดินไกล เราก็เดินลากกระเป๋ากันไปบนฟุตบาธ คนก็มอง อีตาคาบีเอ้ก็ไม่คิดจะช่วยอะไรอ่ะ เดินตามหลัง

มาถึงตึกเก่าๆ ตึกนึงดูแล้วกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือกำลังบูรณะใหม่ก็ไม่รู้เค้าก็พาเราขึ้นลิฟต์
ลิฟต์เค้าเป็นลิฟต์แบบเก่าอ่ะ ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงดี ที่ยังต้องใช้มือดึงประตูเปิดอยู่ ไม่ใช่แบบลิฟต์ในห้าง

ตอนแรกต้องขนกระเป๋าขึ้นไปก่อนประมาณสามเที่ยว แล้วเราถึงจะขึ้นไปได้ ลิฟต์น่ากลัวมาก หยุดทีก็กระตุกๆ เวลาลงมาชั้นล่างก็เหมือนกระแทกพื้น น่ากลัวมาก (แล้วลิฟต์ที่อพาร์ตเมนต์เราก็เป็นหยั่งงั้นด้วยอ่ะ)

พอเข้ามาในโฮสต์เต็ล ที่อยู่ชั้นสี่มั้งก็แบบดูแตกต่างจากข้างนอกมาก ดูหรูเลิศมาก แต่ก็เล็ก แค่ชั้นเดียว พอลงไปชั้นล่างก็เป็นอีกโฮสเต็ลนึงแล้ว เค้าก็พาเราไปที่ห้อง เป็นห้องที่โคดดดดดดด เล็ก แต่ยังดีที่มีเตียงให้สี่เตียง ห้องน้ำก็อย่างเล็กอ่ะ ประมาณว่าเราใช้ชักโครก พอจะลุกขึ้น หัวก็ชนกำแพงแล้ว อ่างอาบน้ำก็เล็กมาก แบบถ้าจะแช่น้ำคงลงไปได้แค่ครึ่งตัว




 

Create Date : 21 มกราคม 2548    
Last Update : 21 มกราคม 2548 23:30:19 น.
Counter : 304 Pageviews.  

1  2  3  4  

Arms of Venus
Location :
Picassent, Valencia Spain

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Arms of Venus's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.