Group Blog
 
All Blogs
 
My travel

วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๗
หลังจากโดนเอเอฟเอสเลื่อนมาเป็นเวลาเกือบเดือน ในที่สุดก็ถึงวันที่เราตั้งตาคอยซะที

ที่สนามบินดอนเมือง ตอนห้าทุ่มลาทุกคน (พ่อแม่ พี่ น้อง) เรียบร้อยแล้ว ก็ไปนั่งรอ ซักพักเค้าก็เรียกเราขึ้นเครื่อง ขอบอกว่าสจ๊วตของ Austrian Airlines หน้าตาดีืุทุกคนเลย แล้วมีสจ๊วตหลายคนด้วยนะ 3-4 คนมั้ง แต่ที่นั่งแคบมากๆ ประมาณว่าตัวขนาดเรานั่งเข่ายังแทบติดที่นั่งข้างหน้าเลยอ่ะ นอนก็ไม่สบายกลัวเอนเบาะไปโดนผู้หญิงข้างหลัง หลับๆ ตื่นๆ ตลอดเลยเมื่อยมากๆ ตั้ง 11 ชั่วโมงแน่ะอาหารบนเครื่องก็เค็มมากกกกกกกกกกกก ขอน้ำก็เอาโซดามาให้เฮ้อออออออ

แต่เพื่อนเราคนนึง นั่งแยกกัน อยู่ข้างหลังเราประมาณ 10ที่นั่งได้ เค้าได้นั่งกะฝรั่งคนนึง พูดเยอรมันคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่เค้าก็คงเห็นเพื่อนเราเป็นเด็กมั้งเพราะเพื่อนเราเค้าตัวเล็ก เล็กกว่าเราอีก ก็แบบ take care อ่ะ พอจะนอน เค้าก็ชี้ที่ตักแล้วก็ถามว่า จะนอนตักเค้ามั้ยเพื่อนเราก็ตกใจ บอกว่าไม่เป็นไร เค้าก็แบบไม่ต้องเกรงใจหรอกแล้วก็ล็อกคอเพื่อนเราให้นอนตักเค้าเลย เพื่อนเราก็ตกใจมาก รีบดันออก

พอถึง เีวียนนา ออสเตรีย ก็ลงจากเครื่อง วันที่ ๒๙ กันยายน แล้ว (เข้าวันใหม่) มันเป็นตอนเช้ามืดของที่นู่น ร้านอะไรก็ยังไม่เปิดเลยก็เดินๆ รอบๆ แล้วก็ไปหาที่นั่ง กระเป๋าก็หนักมากขนาดไม่ใช่ใบใหญ่นะเี่นี่ย แค่เป้อย่างเดียว

พอถึงสนามบิน ลงจากเครื่องมาคุณสจ๊วตสุดหล่อทั้งหลายก็มายืนส่งอยู่ที่ประตู คิดคำว่าบ๊ายบายภาษาเยอรมันไม่ออก เลยไม่ได้พูดอะไร

เข้าสนามบิน ก็เจอฝรั่งที่เพื่อนเรานั่งด้วยเดินผ่านแล้วก็บอกว่า บ๊ายบาย แล้วเจอกันใหม่เพื่อนเราเริ่มกลัวอีตานี่นิดๆ

แล้วพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปก็เลยวนเวียนอยู่แถวๆ นั้นซึ่งมีเจ้าหน้าที่คนนึงยืนอยู่ เป็นผู้ชาย หล่อดีเหมือนกัน เพื่อนเราก็รอจะถามเจ้าหน้าที่คนนี้(เพราะหล่อสุดแล้ว) แต่ก็มีคนต่อคิวจะถามเยอะมาก ทั้งๆที่มีเคาน์เตอร์ที่มีผู้หญิงหน้าดุๆ อยู่ข้างหลัง(คนถามทุกคนเป็นผู้หญิง) ในที่สุดเราก็ได้ถามเค้าก็บอกทางให้ แต่ภาษาอังกฤษโคดดดดด จะห่วยเลย ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพื่อนเราก็มัวแต่มองหน้าเค้าอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ฟังเล้ยยยยยยย ตอนพูดคำว่า มาดริด ก็พูดสำเนียงออกจะฝรั่งไป คุณสุดหล่อก็ดันฟังไม่รู้เรื่อง จนต้องพูดว่า มาดริ๊ด เป็นสำเนียงสุดเหน่อ พี่ท่านถึงจะร้อง อ๋อ

ตอนแรกก็ไปเช็กพาสปอร์ต แล้วก็หาที่นั่งกัน นั่งไปนั่งมาก็เบื่อ เพื่อนเราก็จะหาโทรศัพท์โทรหาแม่ มือถือใช้ไม่ได้เพราะไม่มีสัญญาณ ก็เลยเดินๆ ดูกันทุกร้านในสนามบินยังไม่มีร้านไหนเปิดเลย ร้างมาก ในที่สุดก็หารถเข็นได้ เพราะกระเป๋าของทุกคนหนักมาก(นี่แค่เป้อย่างเดียวนะกระเป๋าใหญ่ไปรับทีเดียวที่มาดริด) ก็เดินๆ ไปจนเจอเคาน์เตอร์ของสายการบินที่เราจะไป ไปเช็กอินเสร็จแล้วก็หาที่นั่งรอต่อเพราะเครื่องเราออกตั้งบ่ายโมงสิบห้าแน่ะ(ตอนไปเช็กอินเป็นเวลาประมาณ หกโมงเช้า) ก็นั่งๆ รอๆคุยๆ กันจนหมดเรื่องคุย ในที่สุดร้านในสนามบินก็เปิดก็ไปเดินๆ ดูกัน

มีขายช็อกโกแลตเยอะมากๆ อ่ะ ส่วนใหญ่กล่องเป็นรูปโมสาร์ทแล้วก็ซิสซี่ (พระราชินีอลิซาเบ็ธ ของออสเตรีย)ก็ไม่ได้ซื้อไรกัน เพราะขี้เกียจแบก

เออ ใช่ที่นี่มีไอติมวอลล์ด้วยแหละ (มีทำไมวะอากาศก็ใช่ว่าจะร้อน) แต่เค้าไม่ได้เรียกว่า วอลล์เค้าเรียก เอสกิโมอ่ะตอนหลังเราไม่มีไรทำกันก็ไปถ่ายรูปตู้ไอติมกันแล้วก็มีฝรั่งคนนึงเดินเข้ามาถามว่า ตู้ไอติมเนี่ยมีไรน่าสนใจเหรอ เราก็หัวเราะกันแล้วก็บอกเค้าว่า มันเป็นยี่ห้อเดียวกับที่มีในเมืองไทย อายเค้าว่ะ ดูบ้านนอกมากเลย (แต่ไอติมโคดดดดดด แพงอ่ะแท่งนึง เมืองไทย 20 บาท ของเค้าก็ 2 ยูโรอ่ะ ร้อยบาท)

ในที่สุด เราก็เริ่มหิวกันก็เลยเอาเสบียงที่เตรียมมาออกมากินกัน ของเรามีครัวซองต์10 ชิ้นอ่ะ เยอะมาก แม่ซื้อมาให้ จากยามาซากิ แล้วก็มีนมมีน้ำผลไม้ คือมีทุกอย่างครบอ่ะ เพื่อนเราคนนึงเอาขนมไหว้พระจันทร์มาด้วย - -

เราหาที่นั่งกินกันเป็นที่นั่งอยู่หน้าร้านขายของจำเป็นเวลาเดินทาง พวกสบู่แชมพู อะไรพวกเนี้ย ซึ่งเจ๊เจ้าของร้านก็เหมือนไม่มีไรทำนั่งทำความสะอาดร้านตลอด ตั้งแต่เรามานั่งจนเราไปตอนเครื่องจะออก เค้าก็ดูดฝุ่นแล้วก็มานั่งเช็ดชั้นทีละชั้น มีขายเครื่องสำอางด้วยเค้าก้เช็ดยาทาเล็บทีละขวด เวลามีลูกค้ามาดู มาจับพอลูกค้าไปเค้าก็มาเช็ดของที่ลูกค้าเพิ่งจับไปอ่ะ - -

เราก็นั่งกินกัน คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทุกคน (ขอย้ำว่าทุกคน) ก็มองพวกเราอ่ะ บางคนก็มองแล้วยิ้มด้วย คือแบบมันมีร้านอาหารอยู่ใกล้ๆ แถวนั้นด้วยไงแล้วไม่มีใครเตรียมมาเหมือนเรา ก็ต้องเข้าร้านนั้น

แต่ทุกคนมองกันจริงๆ นะถึงพวกเรากินทุกอย่างเสร็จแล้วก็ยังไม่เลิกมองสงสัยพวกเราจะดูแปลกมาก ตอนหลังเพื่อนเราเริ่มเบื่อก็เลยนอนกันบนเก้าอี้อะ ทีนี้คนก็เริ่มมองกันมากขึ้น(มองกันทุกคนยังไม่มากอีกเหรอวะ)

แต่เราไม่ได้นอนกับเค้าด้วยเราก็ไปเดินเล่นกะเพื่อนอีกคนนึง เดินดูนู่นดูนี่ รู้แล้วล่ะว่าทำไมฝรั่งเค้าใช้แบรนด์เนมกันเพราะว่าของธรรมดากะของแบรนด์เนม ราคาก็ไม่ต่างกันเลย(ซื้อแบรนด์เนมดีกว่า)

เรานั่งมองแอร์ของออสเตรียนแอร์ไลน์ด้วย คือของเครื่องที่เรานั่งมา แอร์เค้าใส่กางเกงแต่ชุดคือเป็นสีขาวแดง แต่ตอนนั่งรออยู่ที่สนามบินก็เห็นแอร์บางคนใส่กระโปรง แล้วก็ใส่ถุงน่องสีแดงด้วยอ่ะคือแดงทั้งตัว รองเท้าก็แดง ที่มัดผมก็ต้องเป็นสีแดงด้วยบางคนถือแฟ้มมา แฟ้มก็เป็นสีแดงอีกอ่ะคือถ้าย้อมผมแดงได้คงทำกันทุกคนแล้วมั้ง แต่มองนานๆก็น่ากลัวว่ะ แดงทั้งตัว ขาก็แดง

แล้วก็มีแอร์ของสายการบินเยอรมัน (ชื่อสายการบินไรจำไม่ได้ นิกิมั้ง) แอร์เค้าก็ชุดแบบ อวกาศมากเป็นสีเงินอ่ะ แล้วก็มีสีแดงด้วย ตลกดี แต่ชุดก็น่ารักดีถ่ายรูปไม่ทันเพราะมีแอร์เดินไปแค่ไม่กี่คนเอง

ในที่สุดก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง หลังจากนั่งๆ นอนๆ เดินๆกินๆ กันมานาน ก็ไปรอที่เกต คนที่ขึ้นเครื่องเดียวกะเรามีแต่คนสเปนทั้งนั้นเลยอ่ะมีคนเอเชียซึ่งคาดว่าเป็นคนจีน อยู่ไม่กี่คนสามสี่คนมั้ง เราก็แอบฟังที่คนสเปนเค้าพูดกันเริ่มกลัวเล็กน้อยเพราะพูดกันโคดดดดดดด เร็ว โคดดดดดดดด รัว ฟังประมาณสองสามประโยคก็จับได้แค่สองสามคำเองอ่ะ

พอขึ้นเครื่อง ก็ตกใจเล็กน้อยเนื่องจากทุกอย่างดูเก่ามาก ฝุ่นจับ แอร์ก็แก่สจ๊วตก็ไม่หล่อ นี่หรือสปันแอร์ (Spanair)

พอถึงเวลาที่สาธิตวิธีการใช้เครื่องช่วยชีวิตสายการบินนี้ก็มาแปลก คือไม่มีจอบนเครื่องไง สาธิตให้ดูสดๆ เลย นำแสดงโดยคุณสจ๊วตหน้าตาไม่หล่อส่วนคุณแอร์แก่มาก แต่งหน้าจัดด้วย ก็เป็นพิธีกร คอยพูดซึ่งฟังไม่รู้เรื่อง ถึงแม้ว่าเค้าจะพูดอังกฤษแล้วก็ตาม

นั่งไปซักพัก ก็เริ่มง่วง ก็หลับกัน พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนสเปนแล้วมองลงไปข้างแล้วดูแห้งแล้งยังไงก็ไม่รู้อ่ะมีแต่สีเหลืองๆ กะภูเขา ไม่มีอะไรเขียวๆ เลยแต่น้ำสีสวยมาก (น้ำอะไรก้ไม่รู้ ทะเลมั้ง)

ตอนเครื่องลงน่ากลัวมากอ่ะ กัปตันขับอย่างซิ่ง มาถึงก่อนเวลาประมาณยี่สิบนาที มองไปรอบๆ สนามบินเห็นแต่หญ้าสีเหลืองๆ ไม่มีอะไรที่แบบดูดีเลย ลงจากเครื่องแล้ว ก็ไปหาที่รับกระเป๋า เดินๆ ตามคนอื่นไป
ไม่รู้ทาง ไม่มีอะไรบอกเลยหรือเค้าอาจจะบอกแล้วก็ได้ตอนอยู่บนเครื่องแต่ฟังไม่รู้เรื่องนี่หว่า (พูดสเปน แล้วก็พูดอังกฤษ แอร์คงปรับสำเนียงไม่ทันมั้ง ก็เลยฟังดูเป็นสเปนหมดเลย)

ในที่สุดก็หาเจอ แล้วก็ยืนรอ โคดดดดดดดดด นานอ่ะก็วางกระเป๋ากันก่อน รออยู่ประมาณเกือบยี่สิบนาทีได้มั้ง กว่ากระเป๋าจะมา พอกระเป๋ามา ก็รีบๆ หยิบๆ มากองไว้ก่อนสังเกตจากริบบิ้นสีแดงกับ Tag สีเหลืองแต่กระเป๋าใบใหญ่เราแท็กขาดอ่ะ ตอนแรกเลยจำไม่ได้

พอหยิบๆ มากองๆ กันแล้ว คนก็เริ่มมอง เด็กพวกนี้แค่สี่คนแต่กระเป๋าเยอะเหมือนจะมาตั้งรกรากที่นี่ ใช้รถเข็นสามคัน แล้วก็ช่วยๆ กันเข็น เดินออกไปตอนอยู่บนทางออก ก็มีเด็กผู้ชายสองคนหน้าตาดีมาเคาะกระจกอ่ะก็นึกว่าเป็นโฮสต์บราเธอร์ของเพื่อนเราเพราะเค้ามีโฮสต์บราเธอร์สองคนแต่ปรากฎว่าเค้าเคาะเรียกคนข้างหลัง

พอออกมาก็เจอรุ่นพี่เอเอฟเอสใส่เสื้อที่ดูดีกว่าของเรามากเป็นเสื้อของเอเอฟเอสอเมริกา เค้าก็ถามก่อนเลยว่าจะให้พูดสเปนหรืออังกฤษพวกเราก็เลือกอังกฤษเนื่องจากมีประสบการณ์กับภาษาสเปนมาจากบนเครื่องเค้าก็บอกว่า ต้องนั่งแท็กซี่ไปนะแล้วก็พาเราไปที่รอแท็กซี่ ไม่มีช่วยอ่ะ พี่ท่านเดินดุ่มๆ ไปเลย หันกลับมามองเล็กน้อยประมาณว่าทำไมเข็นช้าจัง

ในที่สุดก็ได้แท็กซี่มาสองคันคนขับแท็กซี่พอเห็นกระเป๋าก็ทำหน้าเหนื่อยมากแต่ก็พยายามยัดทุกอย่างลงท้ายรถให้ได้เรานั่งกะพี่อีกคนนึง แล้วก็อีตานี่ที่มารับ(รู้ตอนหลังว่าชื่อ Javier) แท็กซี่ขับโคดดดด ซิ่งอ่ะ คาบีเอ้ก็คุยกะคนขับแบบ เสียงดังมากฟังไม่รู้เรื่องว่าคุยไรกัน แต่จับความได้ประมาณว่าคุยเกี่ยวกะเรื่องกระเป๋าของพวกเรา

แล้วแท็กซี่ที่นี่ (ความจริงก็รถเกือบทุกคันแหละ)
เค้าไม่เปิดแอร์นะ แต่เปิดหน้าต่างแทน ถ้าเปิดแอร์จะคิดตังค์เพิ่ม

ขับผ่านถนนที่ดูแล้วคล้ายๆ ถนนราชดำเนินเลย คุ้นตามาก แล้วในที่สุด ก็เลี้ยวรถเข้ามาในซอยเล็กๆประมาณว่าตึกส่วนใหญ่กะลังก่อสร้างกันอยู่ (บางตึกเก่ามาก เหมือนจะบูรณะใหม่มากกว่า) แล้วก็จอดรถ
เราก็ขนกระเป๋ากันลงมา เจอกะผู้หญิงอีกคน เป็นเจ้าหน้าที่เอเอฟเอส ยืนสูบบุหรี่รออยู่ เค้าก็ทักทายเล็กน้อย ชื่อมาเรีย แล้วก็นำทางเราไปที่พัก เป็นโฮสเต็ลเล็กๆ

ต้องเดินไปอีกอ่ะ แทนที่จะให้แท็กซี่จอดใกล้ๆ
จะได้ไม่ต้องเดินไกล เราก็เดินลากกระเป๋ากันไปบนฟุตบาธ คนก็มอง อีตาคาบีเอ้ก็ไม่คิดจะช่วยอะไรอ่ะ เดินตามหลัง

มาถึงตึกเก่าๆ ตึกนึงดูแล้วกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างหรือกำลังบูรณะใหม่ก็ไม่รู้เค้าก็พาเราขึ้นลิฟต์
ลิฟต์เค้าเป็นลิฟต์แบบเก่าอ่ะ ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงดี ที่ยังต้องใช้มือดึงประตูเปิดอยู่ ไม่ใช่แบบลิฟต์ในห้าง

ตอนแรกต้องขนกระเป๋าขึ้นไปก่อนประมาณสามเที่ยว แล้วเราถึงจะขึ้นไปได้ ลิฟต์น่ากลัวมาก หยุดทีก็กระตุกๆ เวลาลงมาชั้นล่างก็เหมือนกระแทกพื้น น่ากลัวมาก (แล้วลิฟต์ที่อพาร์ตเมนต์เราก็เป็นหยั่งงั้นด้วยอ่ะ)

พอเข้ามาในโฮสต์เต็ล ที่อยู่ชั้นสี่มั้งก็แบบดูแตกต่างจากข้างนอกมาก ดูหรูเลิศมาก แต่ก็เล็ก แค่ชั้นเดียว พอลงไปชั้นล่างก็เป็นอีกโฮสเต็ลนึงแล้ว เค้าก็พาเราไปที่ห้อง เป็นห้องที่โคดดดดดดด เล็ก แต่ยังดีที่มีเตียงให้สี่เตียง ห้องน้ำก็อย่างเล็กอ่ะ ประมาณว่าเราใช้ชักโครก พอจะลุกขึ้น หัวก็ชนกำแพงแล้ว อ่างอาบน้ำก็เล็กมาก แบบถ้าจะแช่น้ำคงลงไปได้แค่ครึ่งตัว



Create Date : 21 มกราคม 2548
Last Update : 21 มกราคม 2548 23:30:19 น. 1 comments
Counter : 303 Pageviews.

 
โบ๋เราอยากอ่านมากเลยนะ
มันยาวมากๆเลย
แต่เดี๋ยวเราก็จะอ่านให้หมด


โดย: มีนเองงงง IP: 203.118.105.249 วันที่: 31 มกราคม 2548 เวลา:20:18:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Arms of Venus
Location :
Picassent, Valencia Spain

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Arms of Venus's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.