Group Blog
 
All blogs
 

ครุฑานาคา ตอนที่ 3 : สุวรรณกาย

สองฝั่ง สองฝ่าย ปฏิปักษ์
สองเผ่าพันธุ์ สองกษัตริย์ เส้นขนาน
สองหัวใจ หนึ่งรัก กำเนิดพยาน
รักเกินห้าม ผิดบาป สองเผ่าพันธุ์
ครุฑ กับนาค สองเผ่าพันธุ์ ที่เป็นอริ ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ไม่มีทางที่สองเผ่าพันธุ์นั้นจะบรรจบกันได้
องค์ท้าววิรุณทรปักษาพญาครุฑ ผู้ปกครองครุฑทั้งปวงทั่วป่าหิมพานต์นั้น ที่อยู่ของครุฑคือ สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม ชาวครุฑภิภพทั้งหลายต่างอยู่กันด้วยความสงบสุข ทรงมีพระชายานามว่า “พระนางบุญนิสา” พระนางทรงเป็นผู้มีความกรุณา ปราณี ต่อครุฑทั้งปวงเทียบเท่ากัน พระนางใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาในธรรม เป็นผู้คอยฉุดรั้งยั้งเตือนพระสวามีหากเกิดเหตุที่ทำให้ ท้าววิรุณทรปักษา ทรงเดือนเนื้อร้อนใจ ทำให้ทั้งสองพระองค์ครองคู่กัน ปกครอง ดูแลชาวครุฑภิภพด้วยความสุขเสมอมา สิ่งที่ทำให้ทั้งสองพระองค์ทุกข์ร้อนอยู่เสมอคือ เรื่องทายาทสืบพงษ์พันธุ์กษัตริย์ครุฑอย่างพระองค์ เพราะจากการครองคู่กันนับพันปี ยังมิมีเจ้าชายหรือเจ้าหญิงน้อยได้เชยชมเลยสักองค์ องค์ท้าววิรุณทรปักษา นั้นทรงกลัดกลุ้มพระหฤทัยและมักจะปรารภให้พระพี่นางของพระองค์ฟังอยู่เสมอ ด้วยเหตุที่พระองค์นั้นปักใจรักพระนางบุญนิสาอย่างลึกซึ่ง จึงทรงไม่มีพระสนมนางใดเลย การก่อกำเนิดราชบุตร หรือราชธิดา จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่ง
พระพี่นางทรงรับสั่งปรึกษาเรื่องนี้กับพระนางบุญนิสา พระนางเห็นด้วยที่องค์ท้าววิรุณทรปักษาจะทรงมีพระสนมนางใน ด้วยว่าพระนางเองนั้นก็ทราบดีว่าราชบุตรแห่งพระนางนั้นจะกำเนิดในอีก 100 ปีข้างหน้า ดังนิมิตที่พระนางเห็น จึงมิเป็นการบังควรที่จะนางจะเหนี่ยวรั้งพระสวามีไว้ในนางเดียว ให้รอคอยราชบุตรอย่างที่พระนางรอคอย เพราะพระสวามีก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักที่มีต่อพระนางโดยการครองคู่กันมาจวบ 1000 ปีล่วงแล้ว
การครั้งนี้ให้ถือว่าพระนางสุวรรณวดี พระพี่นางเธอแห่งองค์ท้าววิรุณทรปักษา ทรงเป็นแม่งานจัดหานางใดที่เหมาะสมแล้วมาถวายแด่องค์ราชันแห่งครุฑาทั้งปวง ราชโองการณ์ป่าวประกาศไปทั่วทั้งป่าหิมพานต์ สืบเสาะค้นหานางที่มีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับให้กำเนิดพระหน่อเนื้อแห่งกษัตริย์ผู้ปกครองครุฑาทั้งปวงทั่วป่าหิมพานต์ นางที่งามทั้งภายนอกและภายในจิตใจ
ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ คือนางชนิกา นางมีลักษณะดี เหมาะสมสำหรับเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดทายาทแห่งพญาครุฑทั้งปวง
ผิวพรรณ หมดจด นวลลออ
สองปราง คิ้ว คอ ได้รูป
ทรวดทรง องค์เอว สมส่วน
คู่ควรพระมารดา ครุฑาทั้งปวง
นางนั้นเป็นบุตรีแห่งอำมาตย์ใหญ่ของครุฑภิภพแห่งนี้ นางได้รับการอบรมเลี้ยงดู ให้ได้รับความรู้ทั้งในด้านงานบ้านและงานเมืองมาเป็นอย่างดี เพราะบิดาของนางเองนั้นส่งนางเข้ามาอยู่ถวายงานพระชายาตั้งแต่อายุได้ 16 ปี เพราะท่านก็หวังว่าธิดาแห่งท่านจะสามารถมาถึงจุดนี้ได้ ด้วยความดีงามในตัวนางนั้นเอง นางนั้นมีคุณลักษณะที่ดี กายงามพร้อมจิตใจงาม เพราะพระนางนั้นเป็นนางอัปสร จุติลงมาที่ป่าหิมพานต์ เหตุเพราะทำผิดกฎของสรวงสรรค์ด้วยนางนั้นแอบเด็ดเอา “จตุมณีทิพย์” ผลไม้ต้องห้ามในสรวงสวรรค์เพียงเพื่อต้องการนำไปถวายแด่องค์พระวิษณุก่อนนางอัปสรนางอื่นๆ แม้จะทำไปด้วยประโยชน์ของตนเองเพื่อให้เป็นที่รักในพระวิษณุ แต่นางนั้นก็มิใคร่อยากได้ผลไม้ทิพย์นี้เป็นของตนเองยังคงนำไปถวายแด่พระวิษณุ ความผิดนี้เองทำให้นางนั้นต้องจุติ ณ ป่าหิมพานต์ เป็นนางครุฑ บุตรีอำมาตย์แห่ง สุบรรณพิภพ การเสวยสุขบนสรวงสวรรค์นั้นสิ้นสุดลง แต่บุญญาธิการของนางยังคงมี ทำให้เกิดในตระกูลดี ชะตาลิขิตให้ใฝ่ดี จึงทำให้นางนั้นเป็นผู้ได้รับเลือก
พระนางชนิกา ได้รับความปราณีจากองค์ท้าววิรุณทรปักษาพอสมควร ด้วยพระนางเองนั้น จิตใจโอบอ้อมอารี และเจียมตนเสมอว่าพระนางนั้น เป็นธิดาอำมาตย์ หาเทียบเท่า พระนางบุญนิสาผู้เป็นพระชายาได้ อีกทั้งพระนางนั้นเองก็เมตตาปรานีต่อนางนั้นเป็นอย่างมาก งานบ้านงานเมืองต่างๆ ก็ได้เรียนรู้จากการถวายงานพระนางบุญนิสานั้นเอง การอยู่ร่วมกันในตำแหน่งพระสนมนั้นจึงมิเป็นปัญหา จวบจนกระทั่งพระนางตั้งครรภ์ สร้างความปลื้มปิติแก่องค์ท้าววิรุณทรปักษา และพระนางบุญนิสาเป็นอย่างยิ่ง อาหารหวานคาว เครื่องบำรุงครรภ์ทั้งหลายทั้งแหล่ทั่วหิมพานต์ล้วนถูกสรรหามาบำรุงพระครรภ์ของนางอย่างไม่ขาด
จนพระครรภ์ของพระนางอายุล่วงได้ 12 เดือนเพ็ญ พระนางทรงเจ็บพระครรภ์นานนับได้ 7 ราตรี ความเจ็บปวดที่ได้รับเทียบเท่ากับถูกศาสตราวุธแล่เนื้อพระวรกาย ทรงได้รับความเจ็บปวด ทรมาณพระวรกายเป็นอย่างมาก องค์ท้าววิรุณทรปักษานั้น ถึงแม้จะทรงดีพระทัยที่พระสนมในพระองค์จะประสูติเจ้านายพระองค์น้อยที่ยังมิรู้ได้ว่าเป็น พระโอรส หรือพระธิดา แต่พระอาการเจ็บพระครรภ์ที่ผิดปกตินี้ ก็ทำให้องค์ท้าววิรุณทรปักษาทรงกริ่งเกรงพระทัยยิ่งนัก พระองค์ทรงบินไปยังอาศรมพระดาบสปิตุอักษะ เพื่อปรึกษาถึงเหตุในครั้งนี้ ซึ่งพระดาบสปิตุอักษะได้ถวายคำทำนายแด่พระองค์ คำทำนายที่ทำให้องค์ท้าววิรุณทรปักษาทรงหวาดกลัวกาลข้างหน้ายิ่งนัก “ดวงชะตานั้นไซร้...ฟ้าท่านได้ลิขิตไว้แล้ว..หากท่านนั้นตั้งตนอยู่ในความดีงามแล้วไซร้..ฟ้าจักต้องเมตตาเป็นแน่แท้...” พระดาบสปิตุอักษะทูลถวายแด่พระองค์ได้แค่นั้น
ล่วงถึง 7 ราตรี พระนางชนิกา จึงได้ให้กำเนิดพระหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แห่งครุฑาพระองค์แรก เจ้าชายองค์น้อยถือกำเนิดขึ้นมาแบบโอปปาติกะเกิดแล้วโตทันทีมา พระนามว่า “สิตามัน” เนื่องจากทรงมีพระพักตร์เป็นสีขาว เมื่อเกิดมีรูปร่างเป็นครุฑขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ ซึ่งเป็นพญาครุฑที่อาจอง สมเป็นเชื้อสายของกษัตริย์แห่งนกโดยแน่แท้ พระองค์เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา ด้วยบุญญาบารมี อำนาจบุญบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอเจ้าชายองค์น้อยให้จำเริญพระชันษาได้อย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนเพ็ญพระองค์ทรงเจริญพระชันษา เท่า 1 ปีของเด็กมนุษย์ และเมื่อพระชันษาได้ 25 ปีเต็ม พระวรกายหยุดการเจริญเติบโต ทำให้ทรงเป็นพญาครุฑหนุ่มที่สง่างาม ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสุบรรณพิภพที่เหล่านางทิพย์ทั่วทั้งป่าหิมพานต์หมายปอง การเจริญเติบโตของครุฑนั้น นับอายุตามหลักจันทรคติ ทำให้ทั่วทั้งป่าหิมพานต์มีแต่ครุฑหนุ่ม-สาว ไม่มีครุฑที่มีร่างกายชราภาพให้เห็น ทั้งองค์ท้าววิรุณทรปักษา พระพี่นาง และพระชายาทั้งสองก็มีอายุล่วงกว่า 2000 ปี ก็ยังมีรูปกายเป็นหนุ่มสาวตลอด
เจ้าชายสิตามันเป็นที่รักยิ่งของพระราชบิดา พระมารดาบุญธรรม และพระนางชนิกาผู้เป็นพระมารดา ทุกพระองค์ทรงรักและเอ็นดูในตัวเจ้าชายหนุ่มมาก ตลอดจนชาวสุบรรณพิภพเอง ก็ต่างยินดี และชื่นชมในตัวเจ้าชายเป็นอันมาก เนื่องด้วยทรงเป็นเจ้าชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ในด้านศาสตร์วิทยาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ เพราะน่าอัศจรรย์ใจนักที่พระองค์สามารถกำหนดสรรพคุณได้อย่างใจนึก ทำให้ชื่อของพระองค์ล่วงไปถึงสามภพ ทั้งสวรรค์ หิมพานต์ และโลกมนุษย์ เหล่าเทวดาน้อยใหญ่ สัตว์ป่าหิมพานต์ ตลอดจนมนุษย์ ต่างเดินทางเสาะแสวงหา เพื่อให้พระองค์ประทานยาวิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกโรค ให้กับพวกตน ซึ่งนับว่าคุณวิเศษที่พระองค์มีในองค์เองนั้น ทำให้พระองค์เป็นที่รักใคร่เทิดทูนของทุกคน
100 ปีของป่าหิมพานต์ลุล่วง พระนางบุญนิสา ทรงพระครรภ์ พระนางนั้นดำรงตนอยู่ในศีลในธรรม ทรงเสวยแต่ผัก ผลไม้ อีกทั้งธัญพืชต่างๆ ไม่เคยลิ้มลองรสเนื้อสัตว์ใดๆ เลย เนื่องจากพระมารดาของพระนางนั้นเมื่อตั้งครรภ์พระนาง ได้มีฤาษีผู้มากด้วยบารมี อาศัยอยู่ภายในป่าหิมพานต์นั้น ทำนายทายทักว่า หากพระนางปรารถนาที่จะมีบุตรีที่เปี่ยมไปด้วยบารมีของคุณงามความดีแล้วไซร้ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ให้ละเนื้อสัตว์ทุกชนิด แล้วพระนางจะสมความปรารถนา อันเป็นที่มาของพระนาม “บุญนิสา - ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยบุญ” พระนางจึงถือกำเนิดมาด้วยความบริสุทธิ์โดยแท้ พระนางนั้นได้รับเพียงพระกษิรธาราจากอกพระมารดา และผลไม้ประทังชีวิต จวบจนเจริญวัย พระมารดาก็ยังทรงถวายแต่เพียงผัก ผลไม้ และธัญพืช และเมื่อพระนางเองนั้นทรงพระครรภ์ พระนางนั้นก็มิได้ต้องการอาหารที่พิเศษไปกว่า ผัก ผลไม้ และธัญพืชที่พระนางทรงรับมาตั้งแต่กำเนิดนั้นเอง
ความที่พระนางทรงพระครรภ์ล่วงรู้ถึงพระวิษณุกร ผู้ที่เป็นที่เคารพยิ่งของเหล่าครุฑาทั้งหลาย เนื่องด้วยในอดีตกาลนั้นพระวิษณุเคยสู้รบกับพญาครุฑผู้เป็นโอรส ของพระกัศยปมุนี และนางวินตา ด้วยว่าพญาครุฑ ต้องการนำน้ำอมฤต ไปช่วยพระมารดาของตนที่โดนพวกนาคคุมขังไว้ จึงเกิดการต่อสู้ระหว่างเทวดาและครุฑขึ้น ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครแพ้หรือชนะ จึงทำความตกลงหย่าศึก โดยพระวิษณุหรือพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าขอเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า จึงเป็นที่มาว่าเหตุใดพญาครุฑจึงเป็นพาหนะของพระวิษณุ
พระวิษณุทรงประทานผลไม้ทิพย์จากสรวงสวรรค์แก่พระนาง ผลไม้นั้นมีชื่อว่า “จตุมณีทิพย์” เป็นผลไม้วิเศษยิ่ง ต้นไม้ทิพย์นี้จะต้องรดด้วยน้ำอมฤต ทุกๆ 100 ปี และเมื่ออายุได้ 40000 ปีถึงจะออกผล จะออกครั้งละ 4 ผลเท่านั้น ซึ่งทำให้เหล่าเทวดาน้อยใหญ่ต่างจองเป็นเจ้าของผลไม้ทิพย์นี้ให้วุ่นวาย เพราะผลไม้นี้มีคุณวิเศษนัก ด้วยรวมเอาคุณวิเศษทั้ง 4 ทิศไว้ในผลเดียว ผู้ที่ได้ลิ้มรองรส จะมีฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้น 4 อย่างด้วยกันคือ
1.เป็นอมตะเนื่องด้วยเป็นผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่รดด้วยน้ำอมฤตทุกๆ 100 ปี
2.สามารถเพิ่มกำลังวังชา ฤทธานุภาพได้ถึง 100 เท่า ยิ่งผู้ที่มีฤทธาอยู่แล้วได้ลิ้มลองก็จะหาใครเทียมทานได้ยากยิ่ง
3.สามารถท่องดินแดนได้ 3 โลก อันได้แก่ สวรรค์ภูมิ นรกภูมิ แลโลกมนุษย์
4.ผู้นั้นจะขอพรวิเศษจากพระวิษณุ 1 ข้อ
แต่สวรรค์ก็ย่อมมีกฎของสวรรค์ ผลไม้นี้วิเศษนัก เหมือนมีชีวิต เพราะผลไม้ทิพย์นี้จะเลือกเจ้าของเอง มีอยู่ 2 ผลที่ไม่มีเจ้าของ ซึ่งพระวิษณุทรงเก็บไว้ แต่พระองค์ท่านล่วงรู้ได้ว่าท่านนั้นไม่ใช่เจ้าของ หากแต่เป็นผู้เก็บรักษารอให้เจ้าของปรากฏเท่านั้น ผลหนึ่งนั้น พระองค์ท่านได้นำเก็บไว้ที่ยอดเขาพระสุเมร รอให้เจ้าของที่คู่ควรมานำไป อีกผลนั้น พระองค์ท่านนิมิตเห็นว่าผู้ที่เป็นเจ้าของคือ เจ้าชายองค์น้อยที่กำเนิดในพระครรภ์ของพระนางบุญนิสานั่นเอง พระวิษณุจึงทรงประทานให้แก่พระนางเพื่อเสวย
เมื่อพระนางเสวยผลไม้ทิพย์นั้นแล้ว บังเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง พระนางรู้สึกพระวรกายเบาหวิว ล่องลอยสู่ยอดเขาพระสุเมร โดยฉับพลัน พระประสูติกาลบังเกิดอย่างทันทีโดยที่พระนางนั้นมิได้ทรงเจ็บปวดพระครรภ์แต่อย่างใด รัศมีสีทองส่องประกายไปทั่วทั้งสิบทิศ พริบตาเดียวปรากฏพญาครุฑขนาดใหญ่ยืนอยู่เด่นอยู่บนยอดเขาพระสุเมร ร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบ สยายปีกกางออก ไกลกว่า 200 โยชน์ ร่างนั้นงดงามอาจองสมชาย พระวรกายสีทอง พระเนตรคมเข้ม แต่อ่อนโยน ไรขนสีทองเหลือบรุ้งงาม จงอยปากได้รูป พริบตาเดียวร่างนั้นอันตธานหายไป กลับกลายเป็น ทารกน้อย เนื้อพระวรกายดั่งทองทา พระเกศา พระขนงสีทอง พระปรางอวบอิ่ม พระโอษฐ์จิ้มลิ้ม สีชมพูระเรื่อ น่ารักน่าเอ็นดูนัก และมิทรงร่ำร้องเหมือนทารกทั่วไป ทรงพลับตาพริ้ม พระโอษฐ์บางอมยิ้มละไม พระมารดาทรงโอบอุ้มพระโอรสน้อยไว้แนบพระอุระ ทรงรับรู้ได้ว่าพระโอรสของพระองค์นั้นเป็นผู้มีบุญญาบารมีอย่างเปี่ยมล้น แรกสัมผัสลูกน้อย ให้เหมือนสัมผัสกับความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระโอรสของพระองค์จะมอบแด่ชาวครุฑาภิภพทั้งปวง
องค์ท้าววิรุณทรปักษา เมื่อทราบว่าพระนางบุญนิสา เหาะขึ้นไปยังยอดเขาพระสุเมร พระองค์ก็ทรงติดตามหา เมื่อพบพระชายามีพระประสูติกาลแล้ว และทันได้ทอดพระเนตรเจ้าชายน้อยนั้นก็กลายร่างเป็นพญาครุฑงดงามยิ่ง พระองค์เองทรงปลาบปลื้มในพระทัยนัก ด้วยว่าครุฑที่มีลักษณะดี องอาจ นั้นดูกันที่การสยายปีก และราชบุตรแห่งพระองค์นั้น องค์โตเจ้าชายสิตามันนั้นสยายปีกได้กว้างถึง 150 โยชน์ ส่วนองค์น้องนี้สามารถสยายปีกได้ถึง 200 โยชน์ นับว่าพระองค์โชคดีนักที่มีโอรสผู้มีบุญญาถึง 2 องค์ด้วยกัน องค์ท้าววิรุณทรปักษา ทรงพาพระนางบุญนิสา เสด็จกลับวิมานพร้อมเจ้าชายพระองค์น้อย
การเฉลิมฉลองพระประสูติกาลของเจ้าชายพระองค์น้อย เป็นที่น่ายินดีของเหล่าชาวสุบรรณพิภพอีกครั้ง เพราะหลังจากการมีพระประสูติกาลของเจ้าชายสิตามันนั้นแล้ว ว่างเว้นจากความปิติยินดีนั้นมาล่วงอีก 100 ปีในป่าหิมพานต์ด้วยกัน การเฉลิมฉลองมีอยู่ 7 วัน 7 คืนด้วยกัน เจ้าชายสิตามันทรงเอ็นดูพระน้องน้อยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรูปลักษณ์ที่งดงาม น่ารักน่าเอ็นดูทำให้ ทุกพระองค์ทรงหลงรักเจ้าชายพระองค์น้อยกันทุกพระองค์
องค์ท้าววิรุณทรปักษา ทรงตั้งพระนามเจ้าชายองค์น้อยว่า “สุวรรณกาย” ตามพระวรกายที่เป็นสีดั้งทองทา เจ้าชายพระองค์น้อยทรงเจริญพระชันษาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอำนาจบุญบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอเจ้าชายองค์น้อยให้จำเริญพระชันษาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งพระกษิรธาราที่ได้จากพระราชมารดาที่เปี่ยมไปด้วยบุญบารมี ทำให้เจ้าชายสุวรรณกายทรงฤทธาวิเศษยิ่งกว่าพญาครุฑใดในหิมพานต์
เจ้าชายสุวรรณกาย เมื่อพระชันษาได้ 25 ปี เป็นหนุ่มฉกรรจ์เต็มตัวนั้น ทรงเป็นที่หมายปองของนางครุฑน้อยใหญ่ทั่วทั้งสุบรรณพิภพ เนื่องด้วยพระสิริโฉมที่งดงาม อาจอง เข้มแข็ง แลดูมีอำนาจในตัวนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นนั้นรักใคร่ในพระองค์เป็นนักหนา คือ พระเนตรที่อ่อนโยน ไม่ว่าจะทรงทอดพระเนตรมองผู้ใด ผู้นั้นจะรู้สึกถึงความปราณีที่พระองค์ทรงมอบให้ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกยำเกรงทั้งที่มิรู้ด้วยว่าพระองค์นั้นทรงเป็นราชบุตรแห่งสุบรรณพิภพ




 

Create Date : 18 มกราคม 2551    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2553 10:05:51 น.
Counter : 1646 Pageviews.  

ครุฑานาคา ตอนที่ 2 : แม่บุญธรรม

ล่วงไปได้สักอึดใจเดียว ร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นจากบริเวณปากทางลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น ภิกษุชราท่านแน่ใจอย่างยิ่งว่า ไม่ได้เห็นนางนั้นเดินมาจากที่ใดเลย เพียงแต่นางปรากฏกายขึ้นมาตรงนั้นอย่างพอดี กลิ่นหอมของดอกไม้อันใดไม่สามารถบอกได้ เพียงแต่กลิ่นนี้มาพร้อมกันกับนาง มิต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา ท่านล่วงรู้ด้วยญานว่า นางนี้เป็นนางนาคนคราที่เปี่ยมไปด้วยบุญบารมีซึ่งจะเห็นได้จากกายของนางนั้นผ่องประกายรัศมีสีทอง ดังนางนั้นเป็นผู้ที่ใครพบเห็นแล้วจะมีความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจที่ได้พบ อีกทั้งนางนั้นมีกลิ่นหอมประหลาดซึ่งผิดวิสัยของสัตว์หิมพานต์กึ่งเทพกึ่งสัตว์จะสามารถมีได้ในตัว
บุษราได้กลิ่นหอมประหลาดโชยมา นางมองหาที่มาของกลิ่นนั้น พลันสายตาแลเห็นผู้คนที่ต่างพากันมากราบไหว้หลวงตาของหล่อนหมอบกราบลงกับพื้น ดังจะแสดงความเคารพต่อผู้สูงศักดิ์ที่มาใหม่ นางนั้นยืนเด่นสง่าอยู่บริเวณปากทางลงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นางงามจริงๆ งดงามหาที่ติมิได้ อีกทั้งรัศมีที่เปล่งประกายออกจากตัวนางนั้น ยิ่งทำให้บุษราคิดไปว่า นี่นะหรือผู้มีบุญญา ผู้มีบุญอำไพห่อหุ้มร่างกายจากภัยทั้งผองทั่งปวง เป็นบุญแล้วที่นางเองได้มีโอกาสพบเห็นท่านผู้นี้ มิต้องมีผู้ใดเอื้อนเอ่ย บุษราก้มกราบแต่แทบเท้านางผู้นั้นได้อย่างไม่ติงท้วงใจเลยว่านางเป็นผู้ใด
นางนั้นเดินเยื้องกายตรงมาทางที่ภิกษุชราปักกรดอยู่ พรางทรุดตัวก้มกราบ กิริยาชดช้อย งดงาม น่าพิสมัยยิ่งนัก เหล่าชาวบ้านที่อยู่รายรอบต่างนั่งลงหมอบกับพื้นเช่นเดียวกัน เมื่อนางกราบพระเสร็จแล้ว นางนั้นนั่งตัวตรงสองมือประสานกันไว้ที่หน้าตัก ในกิริยาสำรวมยิ่ง เหล่าชาวบ้านก็ยืดตัวลุกนั่งตรงเหมือนกัน
“ลูกขอนมัสการพระเดชพระคุณเจ้า นานมากแล้วมิมีภิกษุใดล่วงล้ำเข้ามาในเขตนี้เลย นานมากจนลูกไม่แน่ใจแล้วว่า จะมีวันนี้มีถึงอีกหรือไม่ เป็นบุญหนักหนาของลูกและชาวบ้านที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระคุณเจ้าในวันนี้ หากต้องละสังขารไปเสียแล้ว ก็ไม่เสียดายเลยเจ้าค่ะ” พระนางนารินทร์นรี เอ่ยความต่อภิกษุชรา น้ำตานางเอ่อล้นด้วยความปิติยินดียิ่ง ระคนแปลกใจที่เห็นภิกษุชราเดินทางมาพร้อมกับนางงูและนาคตัวน้อยที่มีบุญบารมีมากนัก พระนางนั้นล่วงรู้ได้เพียงแวบแรกที่เห็นว่าบุษราและเด็กชายตัวน้อยที่มีลำแสงเปล่งประกายรุ้งทองนั้นไม่ใช่มนุษย์
ภิกษุชรายิ้มในหน้า มีสิ่งที่สงสัยมากมายแต่ด้วยเป็นสงฆ์จึงมิอาจเอื้อนเอ่ยวาจาอยากรู้ออกไปได้ ภิกษุชราครุ่นคิด “นางนั้นมิใช่มนุษย์แน่แท้ แต่ทำไมถึงสามารถปกครองมนุษย์เหล่านี้ได้ น่าแปลกในนัก และพงพญาบอกว่า ไม่มีพระภิกษุผ่านหมู่บ้านนี้มานานกว่า 200 ปีแล้ว ทำไมคนในหมู่บ้านจึงมีอายุยืนยาว น่าแปลกใจนัก”
“พระคุณเจ้าเจ้าขา ลูกมิใช่มนุษย์ เหล่าชาวบ้านนี้ก็มิใช่มนุษย์ พวกเรานั้นต่างเป็นนาคา เพียงแต่ว่าศักดิ์ วรรณะต่างกันออกไป ลูกและพระสวามีนั้นมีที่พำนักอยู่เมืองบาดาล ซึ่งต้องลงไปตามทางบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่เหล่าชาวบ้านก็ต้องการที่จะใช้ชีวิตธรรมดาเฉกเช่นมนุษย์ พระสวามีจึงอนุญาตให้มีการตั้งบ้านสร้างเมืองบนโลกมนุษย์ได้เจ้าคะ ซึ่งหมู่บ้านนี้จะมีขอบเขตที่ร่ายไว้ด้วยมนต์ตรา ยากที่ชาวบ้านของเราจะเดินทางออกไป และยากที่ใครจะเข้ามาพบได้ ลูกคิดว่าพวกเราเหล่านาคาทั้งผอง อีกทั้งพระคุณเจ้าและหลานทั้ง 2 คงจะมีบุญวาสนาต่อกัน ทำให้วันนี้มาถึงเจ้าค่ะ”
ภิกษุชราพยักหน้ายอมรับ เป็นอย่างที่ใจสงสัยไว้ นางนั้นได้ยินแม้แต่ความคิดของท่าน นางเป็นนาคาที่เปี่ยมไปด้วยบุญบารมีจริงๆ
“อาตมาก็ยินดียิ่ง ที่ได้มีโอกาสผ่านเข้ามาในเมืองของพระนาง อาตมาคาดว่าจะขอพักค้างแรมสักคืน รุ่งเช้าอาตมาคงต้องรีบออกเดินทาง ขอพระนางโปรดอนุญาตด้วย”
“พระคุณเจ้าเจ้าขา ลูกและเหล่าชาวบ้าน อยากจะขอกราบนิมนต์พระคุณเจ้าอยู่พักปักกรดที่นี้สัก 3 ราตรีเถิดเจ้าค่ะ เพราะราตรีที่ 2 ต่อจากนี้ ก็จะเป็นวันออกพรรษาแล้ว ขอให้ลูกและเหล่าชาวบ้านนาคานาคีทุกตน ได้มีโอกาสกราบมนัสการพระคุณเจ้าในวันออกพรรษาด้วยเถิด เพราะไม่รู้ได้ว่าอีกนานเท่าไรจะมีโอกาสเยี่ยงนี้อีก หรือตลอดอายุไขของทุกตน จะไม่มีเหตุนี้เกิดอีกเลย” พระนางก้มกราบพระภิกษุชราอ้อนวอน
“อาตมาเป็นสงฆ์ เมื่อมีผู้นิมนต์อันผลที่ตามคือ การทำนุบำรุงศาสนาสืบต่อไป เพื่อบุญอันบังเกิดแก่พระนาง พระสวามี และเหล่าชาวเมืองของพระนาง อาตมาก็ต้องทำตามกิจนิมนต์นั้น มิต้องเป็นกังวลอันใดหรอก”
“บุษรา เจ้าจะอยู่ที่นี่สัก 3 ราตรีได้หรือไม่”
ภิกษุชรา สอบถามความสมัครใจของนางงูสาว เนื่องด้วยรู้ว่านางนั้นต้องการเร่งเดินทางหาที่ปลอดภัยเพื่อเลี้ยงดูเด็กชายตัวน้อยนั้น และด้วยท่านนั้นเกรงที่ต้องทำให้นางนั้นเดินทางได้ล่าช้าลงอีก 2 วัน แม้ท่านจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าสิ่งที่นางงูหวาดกลัวว่าจะตามมาทันนั้นคืออะไร แต่ท่านก็หวังว่าบุษราคงจะรับรู้ถึงอำนาจบารมี ของสถานที่แห่งนี้จะสามารถคุ้มครองนางและเด็กชายตัวน้อยได้เช่นกัน
“มิเป็นไรหรอกขอรับหลวงตา คงมีเวลาพอก่อนที่.....เอ่อ ก่อนที่เจ้านายเหนือหัวของกระผมจะแข็งแรงขึ้นอีกสักนิด เพื่อจะได้พร้อมเดินทางไกล และอีกอย่างกระผมก็ต้องการที่จะหาน้ำนมให้เจ้านายเหนือหัวได้ดื่มกินด้วย”
บุษราตอบรับกิจนิมนต์ของภิกษุชรา อีก 3 ราตรี แม้จะกริ่งเกรงภัยที่จะกล้ำกรายเข้ามาทุกทีก็ตาม แต่ใจยังหวังว่าสถานที่คุมด้วยมนตราแห่งนี้จะสามารถพรางตาผู้ติดตามได้ ดังคำของพระนางนารินทร์นรีกล่าวไว้ ว่าสถานที่แห่งนี้ลงอาคมไว้ยากต่อผู้ใดจะรุกล้ำเข้ามาได้ นอกจากมีบุญวาสนาต่อกันจริงๆ หรือผู้ที่รู้มนต์นี้เช่นกัน
ส่วนภิกษุชรา แม้จะรู้ว่านางงูเองต้องยอมให้ท่านรับกิจนิมนต์เพราะก็กริ่งเกรงใจในตัวท่านที่ต้องเป็นผู้นำนางเดินทางให้พ้นภัย แต่ลึกๆ ก็ไม่สบายใจในสิ่งที่นางเกรงกลัวเช่นกัน
พระนางนารินทร์นรี ล่วงรู้ถึงความคิดของภิกษุชราและบุษรา พลางครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางงูกลัวเกรง แต่พระนางก็มิได้เอ่ยสิ่งใดที่เป็นที่ขุ่นเคืองใจ หรือทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจไปมากกว่านี้
“ไหนเด็กน้อยที่เจ้าจะขอให้ดื่มน้ำนมจากเรา ขอเราได้ดูเด็กหน่อยซิ และทำไมเจ้าถึงให้ท่านนอนกับใบไม้เหล่านั้น ทำไมจะเสกอู่นอนสมตัวให้ท่านได้หลับนอน”
บุษราหันไปที่ที่เด็กชายตัวน้อยนอนอยู่ นางนั้นเอาใบไม้ประหลาดที่หาได้จากบริเวณนั้น วางซ้อนกันหลายชั้นเพื่อให้ได้พื้นที่ที่นุ่มพอ เอาผ้าแพรพรรณที่เตรียมมาปูทับ และวางเจ้านายเหนือหัวของนางให้นอน ณ ตรงนั้น เนื่องจากนางเองไม่กล้าที่จะเอาอู่นอนออกมาคลายมนต์ และให้เจ้านายเหนือหัวได้นอน เพราะไม่รู้ว่าการแสดงตนว่ามีฤทธิ์ มีเดช จะเป็นภัยอันตรายจากผู้อื่นที่พบเห็นหรือไม่ แต่เหตุใดพระนางจึงล่วงรู้ถึงสิ่งที่นางซ่อนไว้ อีกทั้งคำเรียกขานยังเอ่ยว่า “ท่าน” ยังกับล่วงรู้ว่านางงูนั้นพาผู้ใดมา บุษราช้อนฝ่ามือที่ใต้ผ้าห่อหุ้มตัว และยกอุ้มเจ้านายเหนือหัวแนบอกแน่น กิริยานุ่มนวล เทิดทูน ระมัดระวัง บุษราอุ้มทารกน้อยแนบอบ คลานเข่าเข้ามาหาพระนาง พรางยื่นส่งทารกน้อยนั้นให้แก่พระนาง
“โอ..เด็กน้อยนี่ น่ารักจริงๆ” พระนางทอดพระเนตร พินิจดูเด็กน้อย ผิวพรรณผุดผ่องละอองตา มีรัศมีเปล่งประกายปกคลุมทั่วทุกอณูผิว พวงแก้มขาวนวลอมชมพู จมูกนิด ปากหน่อยสีชมพูระเรื่อ น่าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เส้นผมละเอียดหยักศกคลอเคลียใบหน้า ผมคิ้ว สีดำเหลือบเขียวเข้ม สิ่งที่ประหลาดใจนักคือ ดวงตาที่สบมองมา ประกายวับวาบ สีเขียวเข้มจนเกือบเป็นนิล สดใส งดงาม “ช่างเป็นเด็กที่งดงามจริงๆ ถ้าเจ้าโตขึ้น คงจะมีแต่สาวๆ หลงใหลเจ้าเป็นแน่แท้ เราเองเห็นเจ้าเป็นเด็กแค่นี้ยังอดหลงรักเจ้าไม่ได้จริงๆ เจ้านาคหนุ่มของแม่”
พระนางนารินทร์นรี ทรงหลงรักเด็กชายตัวน้อยถึงกับขนานนามแทนองค์เองว่า “แม่”
บุษราสะดุ้งตกใจกับคำ ของพระนาง “เจ้านาคหนุ่มของแม่” พระนางล่วงรู้ว่า เจ้านายเหนือหัวนั้นเป็นใคร คงเพราะเป็นเหล่าเผ่าพันธุ์เดียวกันกระมัง ที่ทำให้พระนางล่วงรู้ ถึง ตัวตนอันแท้จริงของเจ้านายเหนือหัว บุษรารู้สึกน้ำตารื้นขึ้นมากระทันหัน น้ำตาพาลจะไหลออกมาให้ได้ “นี่เรามาถูกทางแล้วกระมัง เรามาถึงแล้ว เมืองนาคาบาดาล เมืองนาคในตำนาน ที่น้อยนักที่จะมีผู้มาถึงได้ เมืองที่ถูกปกคลุมด้วยเวทมนต์ของเจ้าผู้ครองนคร ชาวเมืองจะออกไปนอกบริเวณได้ก็ต่อเมื่อบำเพ็ญญาณบารมีจนแก่กล้าเท่านั้น และผู้คนภายนอกจะเข้าหรือศัตรูหมู่มารใดก็ไม่สามารถกล้ำกรายมาได้ นอกเสียจากมีบุญญาวาสนาต่อกัน เรามาถูกทางแล้ว” บุษราร้องไห้ไม่หยุดจนพระนางอดรำคาญไม่ได้
“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจหรือที่เจ้านายของเจ้าจะมีน้ำนมดื่มกิน นี่คงจะหิวมากแล้วซินะ ลูกชายของแม่ พระคุณเจ้าเจ้าขา ลูกขออนุญาตให้ลูกน้อยได้ดื่มกินพระสุธารสจากอกลูกก่อนเจ้าค่ะ” ภิกษุชรา ปลดกลดลงเพื่อเป็นฉากกั้นระหว่างพระนางและตัวท่าน ชาวเมือง ณ ที่แห่งนั้นต่างพากันก้มมองพื้นธรณี มิมีผู้ใดเงยหน้าขึ้นมองพระนาง เว้นแต่บุษราแต่เพียงผู้เดียว
พระนางนารินทร์นรีเองนั้น ทรงผินร่างหันหลังให้แก่ภิกษุชรา พลางปลดสไบเผยให้เห็น ทรวงอกที่อุดมไปด้วยน้ำนม เนื่องจากพระนางนั้นเป็นนางนาคแม่ลูกอ่อน เจ้าชายน้อยทั้ง 2 ของพระองค์ชันนษาได้ประมาณ 3 เดือนเศษ ซึ่งจะแก่กว่าเด็กน้อยนี่สัก เดือนเศษได้ พระนางให้น้ำนมแก่เด็กน้อย เด็กชายตัวน้อยนั้นยอมดื่มกินน้ำนมนั้นอย่างโดยดี มิมีเกี่ยงงอน
เวลาผ่านไปสักครู่ใหญ่ พงพญารู้สึกอึดอัดใจ เพราะคาดหวังว่าจะได้ยินเสียงเจ้าเด็กน้อยนั้นร้องไห้จ้า ด้วยมิรู้ว่ากำลังดื่มกินน้ำนมจากนางนาคนครา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เด็กชายชาวมนุษย์ จะสามารถดื่มกินน้ำนมจากนางนาคได้ เพราะขึ้นชื่อว่านาคนั้นย่อมมีพิษหล่อเลี้ยงทั่วทุกอณูผิว ไม่แม้แต่น้ำนมที่กลั่นออกมาจากพระโลหิต ก็ย่อมจะมีพิษของนาคนั้นเจือปน ถึงจะรู้สึกสงสัย แกมอยากดู แต่ก็มิกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง เพราะแม้พระนางจะเป็นพระพี่นาง แต่ก็ด้วยพระนางเป็นราชินีของเจ้าผู้ครองนคร แม้เป็นน้องชายร่วมสายโลหิตก็มิสมควร แลเห็นสิ่งภายใต้ร่มผ้านั้นได้
“ทำไมเด็กนั่นมันไม่ร้องนะ มันได้กินน้ำนมของพระพี่นางเราหรือเปล่า หรือว่าเด็กนั้นมีบุญญาธิการจนทำให้สามารถดื่มกินน้ำนมจากนางนาคได้ หรือว่าเด็กนั่นเป็นนาคเหมือนเรา แต่คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก นางนาคตนใดจะปล่อยให้ลูกอ่อนของตนเอง ออกมาเร่ร่อนอยู่กับนางงูสาวและภิกษุชราได้ นางนั้นน่าจะเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูบุตรของตนเสียยิ่งกว่าชีวิต” พงพญาครุ่นคิด อยู่ในผวังของตนเอง จนไม่ได้ยินเสียงที่คำพิน เอ่ยเรียก
“ท่านหัวหน้าขอรับ ท่านหัวหน้าขอรับ พระพี่นางทรงให้พระสุธารส แก่เด็กน้อยนั่นเรียบร้อยแล้วขอรับ”
พงพญาหยุดความคิดของตนเองไว้เท่านั้น พลางมองดูพระพี่นางและเด็กน้อยนั้น เจ้าเด็กน้อยหลับตาพริ้ม คงอิ่มกับน้ำนมที่ได้รับจนเต็มที่ “เออ..เจ้าเด็กน้อยนี่ น่าตาหมดจดน่าเอ็นดูนัก ไม่แปลกใจเลยที่พระพี่นาง ทรงหลงรักตั้งแต่แรกเห็น เจ้านี่..มันน่าเอ็นดูอย่างนี้นี่เอง” พงพญาเองก็อดที่จะรู้สึกเอ็นดูเจ้าหนูน้อยไม่ได้ สายตาพงพญาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อย แต่ก็อดชำเลืองสายตามองพี่เลี้ยงของเจ้าหนูนี่ไม่ได้
สายตาสบกัน บุษราวางสีหน้าไม่ถูก เมื่อถูกชายหนุ่มจ้องมอง เหมือนความรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาถึงใบหน้า สองแก้มร้อนผ่าวอย่างประหลาด สายตาของคนจ้องมองนั้นเปิดเผยความในใจจนหมดสิ้น ล้ำลึก
ฉับพลันก็บังเกิดลำแสงประหลาด ทอเป็นรัศมีสีรุ้ง เลื่อม เหลือบพราว ออกมาจากตัวของเด็กน้อย ลำแสงนั้นส่องประกายสว่างไปทั่ว ทำให้บริเวณนั้นเหมือนประดึ่งอยู่ ณ เวลากลางวัน ทั้งที่เป็นเวลาย่ำค่ำแล้วก็ตาม ทุกสายตาจับจ้องมองไปที่เด็กชายตัวน้อยนั้น น่าอัศจรรย์นัก ดูเหมือนเจ้าหนูน้อยจะโตขึ้น โตขึ้นเพียงชั่วพริบตา ประเหมือนเด็กอายุสัก 1 ขวบเศษได้
ผิวพรรณผุดผ่องละอองตาดั่งมีละอองทองจับทั่วทุกอณูผิว เส้นผมยาวระต้นคอ หยักศก คิ้วเข้ม ผมคิ้วสีดำเหลือบเขียวเข้มเป็นประกายทอง พวงแก้มยุ้ยขาวนวลอมชมพู จมูกนิด ปากหน่อยสีชมพูระเรื่อ น่าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เด็กน้อยนอนหลับตาพริ้ม อิ่มเอมจากความเมตตาและน้ำนมมารดาบุญธรรมนั้นทำให้เด็กน้อยหลับใหลนิทราอย่างสนิท
ทุกสายตาประหลาดใจกับรูปร่างที่ดูแปลกไปของเด็กน้อย ร่างกายขยายใหญ่โตขึ้น หลังจากได้รับน้ำนมเพียงชั่วอึดใจ รับรู้ได้ในทันทีว่านี่ไม่ใช่ลูกมนุษย์ แต่เป็นนาคาอย่างแน่แท้ เสียงพูดคุยอึงอื้อขึ้นในหมู่ชาวบ้านอย่างทันที พระนางนารินทร์นรี ทรงตรัสห้ามชาวบ้านวิจารณ์ถึงที่มาที่ไปของเด็กชายตัวน้อย ทำให้พงพญาเองแม้ใคร่รู้เช่นกันก็ต้องห้ามใจไว้
“บุษรา เราว่าเจ้าคงอธิบายเรื่องนี้ให้เรารู้ได้” พระนางเอ่ยถามบุษรา




 

Create Date : 16 มกราคม 2551    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2553 11:32:12 น.
Counter : 350 Pageviews.  

ครุฑานาคา ตอนที่ 1 : กำเนิด

แสงอาทิตย์เลื่อมรุ่งพราว ประดับบนท้องฟ้า ลำแสงของดวงอาทิตย์ที่รอดผ่านก้อนเมฆแต่ละก้อน เปล่งประกายสีรุ้งเหลือบ ชมพู เหลือง ทอง และฟ้า งดงามแปลกตานัก คล้ายมีสิ่งมหัศจรรย์บังเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์
ภิกษุชรารูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม แม้วัยจะล่วงเลยชราภาพ แต่ความองอาจดุจทหารราชองครักษ์ มิได้เลือนลดลงตามวัย เนื่องจากท่านนั้นฉันแต่พอประทังอิ่มเท่านั้น มิได้เผื่อแผ่ถึงมื้ออื่นมื้อใด ภิกษุชราชะงักฝีเท้า ทอดสายตาจับจ้องมองลำแสงนั้น ด้วยแววตาฉงนสงสัย แกมครุ่นคิด
“เออ..น่าแปลกนัก ทำไมวันนี้ท้องฟ้าถึงมีแสงประกายเหมือนสีรุ้ง จะเป็นนิมิตอันใดหรือเปล่าหนอ” ภิกษุชราครุ่นคิด พลางรีบสาวเท้า เพื่อให้ถึงยังสถานที่ที่เหมาะสมในการปักกรดก่อนพลบค่ำ
“ฟ่อ...ฟ่อ....” ท่านแง่หูฟังที่มาของเสียง เพลาโพล้เพล้อย่างนี้ สิ่งรอบตัวก็ดูจะกลืนเกรงไปกับความมืดสลัวเสียหมด
“เสียงอะไรหนอ โอ๊ะ .. เออ..เจ้างูนั่นเอง” ภิกษุชราผงะกับสิ่งที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า เพราะท่านยืนห่างจากเจ้างูระยะเพียง 4 ศอกเห็นจะได้ สิ่งที่ภิกษุชราแลเห็นคือ งูจงอางตัวใหญ่ ขนาดประมาณ ท่อนขาผู้ใหญ่ได้ กะความยาวได้เกือบ 5 วา ลำตัวมันมีสีเหลืองอมน้ำตาลมันมะเลื่อม ซึ่งจะแปลกไปจากงูจงอางเท่าไป ที่ควรจะเป็นสีน้ำตาลอมดำ เจ้างูใหญ่ กำลังขดตัวอยู่ระหว่างทางที่ท่านจะเดินผ่าน ลักษณะท่าทางกำลังกกไข่ เจ้างูใหญ่แพร่พังพานเตรียมพร้อมจะทำร้ายหากมีผู้บุกรุก กล้ำกลายเข้าไปในเขตของมัน ภิกษุชราท่านตั้งจิตมั่น และแพร่เมตตาไปยังเจ้างูใหญ่ตัวนั้น
“เจ้างูเอ่ย เรานั้นมิเคยมีเรื่องบาดหมาง หรือขุ่นใจในกันและกัน วันนี้ตัวเรานั้นเพียงต้องการขอผ่านทางเพื่อให้ถึงจุดหมายก่อนพลบค่ำ ไม่ได้มีจิตจะหลบหลู่ดูหมิ่น หรือต้องการจะทำอันตรายท่านแต่อย่างใด ขอจงเปิดทางให้เราผ่านด้วยเถิด”
พลันใดนั้นเจ้างูใหญ่ดูสงบลง กิริยาชมดชม้อย มันลดหัวแพร่พังพานลง แววตาเปล่งประกายขอบคุณ อ่อนโยน พลันภิกษุชราท่านแลเห็นน้ำตาของเจ้างูใหญ่ไหลริน เจ้างูเคลื่อนคลายตัวออกจากรัง เคลื่อนตัวเหมือนจะเชิญชวนให้ภิกษุชราเดินไปดูสิ่งที่อยู่ในรัง ลำแสงประหลาดพวยพุ่งออกมา แสงที่ทอง เหลือบรุ่งพรายดังที่ปรากฏบนท้องฟ้า ปรากฎแก่สายตา ภิกษุชราก้าวเท้าพาตัวเองเดินเข้าสู่รังของนางงู มิได้แสดงความหวาดกลัวพรั่นพรึงแต่อย่างใด เนื่องจากกว่า 10 ปีที่เดินธุดงม์อยู่นี้ ผ่านพบเหตุการณ์ประหลาดและอัศจรรย์มากมาย ทั้งยังเคยเดินหลงเข้าไปในดินแดนหิมพานต์ ซึ่งได้พบพานสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ดังปรากฏในพุทธชาดก ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งคนธรรม์ กินนร กินนรี ครุฑ นาค มัคคาลีผล ซึ่งน่าแปลกซะยิ่งกว่าที่ได้พบเจอนางงูจงอางใหญ่นี้ ท่านจึงปลงสังเวชแล้วว่า อันตัวท่านนั้นพบสิ่งแปลกประหลาดทั้งน้อยใหญ่ มากมาย ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้พบเจอ หากมีสิ่งใดที่ทำให้ต้องสิ้นลง ก็คงแล้วแต่เวรกรรม ยังภูมิใจที่ได้ละสังขารไปในเพศบรรพชิต ท่านจึงก้าวเข้าสู่รังของนางงูอย่างไม่หวั่นต่อภัยอันตรายใด
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาภิกษุชรานั้น ภายในรังมีลำแสง สีเหลืองเรืองรอง สีทอง เหลือบกับสีชมพู และฟ้า สว่างจ้าอยู่ภายในรังของนางงู คล้ายกับแสงที่ทอประกายบนท้องฟ้าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เมื่อตาชินแสง ที่สิ่งภิกษุได้เห็น กลับกลายเป็น เด็กตัวน้อย นอนหลับปุ๋ยอยู่ในรังของนางงู ผิวพรรณผุดผ่องละอองตา รัศมีเปล่งประกายปกคลุมทั่วทุกอณูผิว พวงแก้มขาวนวลอมชมพู จมูกนิด ปากหน่อยสีชมพูระเรื่อ น่าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เส้นผมละเอียดหยักศกคลอเคลียใบหน้า ผมคิ้ว สีดำเหลือบเขียวเข้ม ภิกษุชราแปลกใจอย่างที่สุด ที่มาพบกับเจ้าเด็กน้อยในป่าใหญ่และมีนางงูคอยคุ้มครองอย่างนี้
“อัศจรรย์จริงๆ เด็กที่ใดหนอมานอนหลับในรังงู เด็กน้อยนี่ไม่น่าจะเป็นลูกมนุษย์ จะเป็นลูกเทพยดา หรือนางไม้ตนใดหรือเปล่าหนอ หรือจะเป็นลูกของนางงู ก็ไม่น่าจะใช่ หรือนางจะไปขโมยลูกใครมา ก็ไม่น่าจะใช่อีก นางจะขโมยมาทำไม หรือนางจะเอามากิน แต่ถ้านางจะกินก็คงกินไปแล้ว ไม่น่าจะนำมาเลี้ยงดูปกป้องอย่างนี้ หญิงหรือชายก็ไม่รู้” ภิกษุชราครุ่นคิด พลางมองพินิจเด็กน้อย
“พระคุณเจ้าเจ้าขา เด็กคนนี้เป็นชายเจ้าค่ะ เชิญทัศนาได้โดยสะดวกเถิด” ภิกษุชรา ตกใจกับเสียงที่ได้รับตอบกลับมา ท่านเหลียวมองหาที่มาของเสียงนั้น รอบกายมีแต่ความสลัว ของป่า เนื่องจากใกล้พลบค่ำ มิมีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ภายในบริเวณ จะมีก็แต่เจ้างูใหญ่นี้ ดังนั้นที่มาของเสียงคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ...
“เออ..เจ้าพูดได้นี่นา แล้วทำไมไม่พูดกับเราตั้งแต่แรก ให้เราพูดคนเดียวอยู่ได้ ”
“อิฉันก็อยากพูดเจ้าข้า แต่กลัวท่านจะไม่ได้ยิน นี่ท่านได้ยินที่อิฉันพูดแสดงว่าท่านเป็นพระภิกษุที่ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ อิฉันดีใจจริงๆ ที่พบท่าน เป็นบุญวาสนากันแล้ว ดีใจเหลือเกิน” นางงูหมอบหัวลงกับพื้นแสดงความเคารพ น้ำตาสีทองไหลสู่พื้นดิน ปรากฏเป็นหยดทองระยิบระยับ
เด็กชายตัวน้อย ผิวพรรณเปล่งรัศมีเหลืองทอง ผมหยักศกสีดำประกายเขียว น่าจะเรียกว่าสีเขียวอมดำมากกว่า เนื้อตัวเกลี้ยงเกลาขาวอมชมพู ขนตาดกเป็นแพ กระพริบถี่ๆ ซึ่งรู้ตัวลืมตาตื่นขึ้น ด้วยคงได้ยินเสียงสนทนา หรืออย่างใดก็สุดที่จะเดาได้ เนื่องจากเจ้าหนูนี่ยังเด็กนัก คะเนอายุน่าจะไม่เกิน 2 เดือนเศษ ดวงตากลมโตนั้นเปล่งประกายสีเขียวอัมพันธ์ ลืมตาสบตาภิกษุชรา มิได้แสดงความหวาดกลัว แต่หากสงบนิ่ง ผิดวิสัยเด็กเล็กๆ ที่เมื่อเห็นคนแปลกหน้า หรือแปลกถิ่นจะต้องร้องโยเย เด็กชายตัวน้อย นอนอยู่ในอู่ ที่ทำจากเปลือกหอยมุก ตัวใหญ่เกือบ 2 ศอก มณีนพเก้าประดับเป็นลวดลายพญานาค ล้อมรัดอู่นอนไว้ ดังกับว่า หากมีใครเข้ามากล้ำกลาย มณีนพเก้านั้นจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพญานาคใหญ่ พร้อมป้องกันอันตรายแก่เจ้าเด็กน้อยในทันที
“เออ..หนอ เจ้าคงเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มาจุติเป็นแน่แท้ เจ้าหนูเอ๋ย มองแล้วเจ้าคงจะเกิดมามีทั้งบุญกุศลหนุนนำและกรรมลิขิตเป็นแน่แท้ ไม่งั้นเจ้าคงไม่ระหกระเหินมากับนางงูอย่างนี้ดอก คงยังไม่มีใครให้พรเจ้าเมื่อแรกเกิดซินะ หลวงตาจะให้พรเจ้าเอง” ภิกษุชรารู้สึกรักและเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเมตตา รักใคร่นัก พลันท่านเองนั้นก็งุนงงกับกิริยาของเจ้าเด็กน้อย เด็กชายตัวน้อย ยกมือประนบ นิ้วอวบกลม ป้อมสั้น ประสานกัน ระหว่างอก หลับตาพริ้ม
“ผู้มีบุญญาเป็นแน่แท้ เจ้าหนูเอ๋ย หลวงตาขอให้พรเจ้า พระให้คุณพระศรีรัตนตรัย องค์พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ทวยเทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นพรม เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ เจ้าทาง เทวาอารักษ์ รุกขเทวดา นางไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นี้ จงร่วมอวยพร อวยชัยให้กับเจ้า ขอให้เจ้าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย ใครเห็น ใครรัก ใครเอ็นดู เติบโตขึ้นเป็นอภิชาตบุตรที่สมบูรณ์ ด้วย ความดีรายล้อมรอบกาย ความร้ายอย่าได้แพร้วพราน ศัตรูหมู่มารแม้คิดพลาญ ก็ขอให้ฝ่าย แม้เดินทางไปที่ใด หนใด ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย ทั้งแลที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ไซร้ เกื้อกูลหนุนนำให้แคล้วคลาดปลอดภัย ตลอดกาล ตลอดนาน... อายุ วรรณโณ สุขัง พะลัง” เมื่อภิกษุชรากล่าวคำจบ ปรากฏลม พายุพัดกระหน่ำ โดยมิได้มีเค้าฝน ฟ้าคะนองกึกก้อง ท้องฟ้า ปรากฏเสียงสีแวววาวเหลือบรุ้ง อากาศแปรปรวนโดยทั่ว ชั่วอึดใจก็สงบลง ดังจะเป็นการรับรู้ของสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายทั้งแลที่ท่านฝากฝังให้ดูแล เจ้าหนูน้อย
เด็กชายตัวน้อย อมยิ้ม ส่งเสียง อู...ออ... ในลำคอ ดังแสดงความเคารพแก่ท่าน แววตาเปล่งประกายสุกใส เชื่อใจ และขอบคุณ
“นางงูเอ๋ย.. เด็กน้อยคนนี้เป็นลูกใครหรือเจ้า เหตุใดจึงมาอยู่ ณ ที่นี้กับเจ้าได้ เจ้าไม่ได้ไปคาบเอาลูกใครมานะ หรือ..อย่า..บอกนะว่านี่ลูกของเจ้าหน่ะ” ภิกษุชราเอ่ยถามนางงู แต่สายตา ยังมิอาจละได้จากวงหน้า อ้วนกลม น่ารักน่าเอ็นดูนั้น
“หลวงตาเจ้าขา ถามเป็นชุดเลย อิฉันจะมีลูกเป็นร่างมนุษย์ได้อย่างไร อันสัญชาติของอิฉัน เป็นเพียงงูจงอาง มิได้มีบุญญาเป็นถึงนางนาค ที่จะสามารถให้กำเนิดบุตรเป็นร่างมนุษย์ได้ เด็กน้อยคนนี้ เป็นเจ้าเหนือหัวของอิฉันเอง เอาเป็นว่าอิฉันจะเล่าให้ท่านฟังในภายหลังก็แล้วกัน แต่ตอนนี้อิฉันต้องการความช่วยเหลือจากท่านมาก นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว อิฉันอยากจะขอความเมตตาจากพระเดชพระคุณท่าน ช่วยรับเจ้าเหนือหัวของอิฉันไปดูแลด้วยเถิดเจ้าค่ะ อิฉันไม่สามารถดูแลเจ้าเหนือหัวเพียงลำพังได้ เพราะท่านมีร่างกายเป็นมนุษย์ และปกติวิสัยของมนุษย์ในวัยเพียง 1 เดือนนี้ ท่านต้องได้รับน้ำนมเป็นอาหาร อิฉันก็ไม่มีน้ำนมให้ท่านได้ทาน จะให้อิฉันไปหาน้ำนมจากสัตว์นั้น ก็เป็นสิ่งที่ต่ำศักดิ์ยิ่งที่เจ้าเหนือหัวจะได้ดื่มกิน หากมิใช่น้ำนมของมนุษย์ผู้ใจบุญ หรือนางพญานาคผู้เปี่ยมด้วยเมตตาแล้วไซร้ นายเหนือหัวของอิฉันมิสมควรจะได้ดื่มกินน้ำนมจากผู้ใดเลยเจ้าค่ะ ขอหลวงตาช่วยอิฉันด้วยเถิด อิฉันจะขอเดินทางรับใช้ท่านไปด้วยทุกที่” นางงูกล่าว น้ำเสียงร้องขอ เคลือคลอ เสียงสะอื้น น่าเวทนาใจยิ่งนัก สายตานางจับจ้องเด็กชายตัวน้อยด้วยความรัก เทิดทูน
“นางงูน้อยเอ๋ย อันตัวเรานั้นเป็นเพศบรรพชิต อันตัวนางนั้นก็เป็นอิสตรี ถึงจะกำเนิดเป็นสัตว์ก็เถอะ จะเดินทางรอนแรมกันไปได้อย่างไร อีกอย่างนางนั้นก็เป็นงูรูปกายใหญ่โต จะเดินทางไปไหนดูจะทำให้ผู้คนตื่นกลัวเสียหมด” ภิกษุชราพูดพราง มองสำรวจสถานที่ ทั่วบริเวณ ความมืดใกล้คลุกคลามเข้ามาทุกที แสงอาทิตย์ใกล้ดับลง จะเหลือเพียงแสงสว่างจากตัวเจ้าเด็กน้อยนี่แหล่ะ ที่ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ สว่างสดใสไปทั่ว
“พระคุณเจ้ามิต้องเป็นกังวล อันอิฉันนั้นก็บำเพ็ญเพียรมานานเกือบ 200 ปีจบแล้ว อิฉันแม้มีฤทธาเพียงน้อยนิด ก็สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้ในเพลาแสงอาทิตย์แรก และจะคลายมนต์ในเพลาหลับนอนหรือไม่รู้สึกตัวนั่นเอง การเดินทางนั้น คงมิลำบากเท่าไหร่” พูดจบก็ปรากฏกลุ่มควันสีขาวปกคลุมร่างนางงูไปทั่ว ร่างนั้นค่อยๆ มลายหายไป กลับกลายเป็น ร่างของมานพน้อย หน้าตาหมดจดผ่องใส ผมหยิกหยักศก ออกสีน้ำตาลอ่อน บริเวณศรีษะประดับด้วยมณีบุษราคัมภ์ เปล่งประกาย มานพหนุ่ม แต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดกุม เป็นสีเหลืองอ่อน อมน้ำตาล ท่าทางกิริยาชะมดชม้ายคล้ายอิสตรี มานพนั้นก้มลงกราบแทบเท้าภิกษุชรา ภิกษุชราหดเท้ากระเถิบถอยเร็วพลัน
“เอ๊ะ นางนี่ ถึงแม้เจ้าจะแต่งกายเป็นชาย หากแต่แท้จริงเจ้าก็เป็นหญิง อย่ามาใกล้ชิดข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงจะอาบัติ ทุกชั่ววันเป็นแน่แท้”
“โธ่ ... พระคุณเจ้าเจ้าขา มิต้องเป็นกังวล อิฉันจะระวังกิริยาให้มากกว่านี้ อิฉันชื่อว่า บุษรามณี เจ้าค่ะ เอ้ย.. กระผมชื่อว่าบุษรา ขอรับ กระผมจะคอยดูแลเจ้าเหนือหัวเอง ออกเดินทางให้ไกลจากบริเวณป่าแห่งนี้เถอะขอรับ เพราะใกล้มืดลงทุกทีแล้ว” มานพหนุ่ม เร่งเร้าให้ภิกษุชราออกเดินทาง แต่น้ำเสียงนั้น เจือปนด้วยความหวาดกลัว ดังกลัวใครจะได้ยิน หรือมีใครตนใดติดตามมา และต้องหนีให้พ้น สายตาจับจ้องระวังภัย จากสิ่งรอบตัว
“เอ้า ออกเดินทางกันได้ แต่เจ้าจะเอาเจ้าหนูน้อยนี้ไปอย่างไรเล่า อู่นอนนั้นก็ใหญ่โต และวิจิตรบรรจงขนาดนี้ จะยก จะอุ้มกันไปอย่างไรหล่ะเนี่ย” สายตาทอดจับ พินิจดูอู่นอน แลเจ้าเด็กน้อย
“มิต้องเป็นกังวลขอรับ อิฉัน..เอ้ย! …กระผมจัดการเอง” พลางมานพหนุ่ม ก้มร่างช้อนอุ้มเจ้าเด็กชายตัวน้อย กอดไว้แนบอก มือซ้ายโอบกอด นุ่มนวล คุ้มภัย พลางยกมือขวาร่ายมนต์ อู่นอนนั้นกลับกลายย่อขนาดเล็กลง จนเหลือเพียงเท่า องค์ธุลีนิ้ว เจ้ามานพหนุ่มก้มลงหยิบใส่ชายพกคาดเอว
ภิกษุชราสาวเท้าเดินนำ มานพหนุ่มโอบอุ้มเจ้าเด็กน้อยเดินตาม จุดมุ่งหมายคือ สถานที่ที่เหมาะสมในการปักกรด และต้องสามารถเป็นที่พักของเจ้าหนูน้อยได้ด้วย ภิกษุชราเร่งฝีเท้า พลางมองเสาะหาสถานที่ที่สมควร ให้พบก่อนพลบค่ำ
“บ้านวารีวนา” ป้ายทางเข้าหมู่บ้าน บ่งบอกว่าการเดินทางในวันนี้สิ้นสุดแล้ว คงได้พักเสียที ภิกษุชรา มานพหนุ่ม เร่งฝีเท้าเข้าไปตามทางที่ป้ายบ่งชี้ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่จะมีหมู่บ้านกลางป่า กลางเขา ได้อย่างไร บุษราก็เลือกที่จะสาวเท้าก้าวต่อไป นางงูสาวในร่างมานพหนุ่ม มองสำรวจไปทั่วระหว่างทางเข้าหมู่บ้าน ไม่มีสัตว์เลยสักตัว นก หนู ไม่มีให้เห็น ไม่ได้ยินเสียงจิ้งหรีด จักจั่นเลยสักตัว ทั้งที่เป็นเวลาพลบค่ำ สัมผัสบางอย่างจากสัญชาตญาณบ่งบอกว่า ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่มีพลังฤทธามหาศาล เป็นสิ่งใดไม่รู้แน่ แต่ที่แน่ๆ คือฤทธามากกว่านางมากนัก และมีจำนวนมากมาย หลายร้อยตน แม้จะกลัวเกรงเจ้าเหนือหัวจะได้รับอันตราย แต่ถ้ารอนแรมต่อไปไม่หยุดพัก สิ่งที่กำลังตามมานั้น หากตามทัน อันตรายใดๆ คงไม่น่ากลัวอีก เพราะสิ่งที่เผชิญและหลบหนีอยู่นี้มีที่สิ้นสุดเดียวคือ ความตาย.... หากลองเสี่ยงเข้าหมู่บ้านไป ทางรอดมีมากนัก เพราะถึงจะสัมผัสได้ถึงพลังฤทธามหาศาลนั้น แต่ยังสัมผัสได้ถึงความเมตตา บุญบารมี ความดีงามที่แพร่เอื้อปกคลุม ราวกับว่าต้องการปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านนี้ให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง
ภาพที่ท่านภิกษุชราและบุษรา แลเห็นนั้น เป็ฯชาวบ้านหลายคน กำลังปิดบ้าน ร้านค้า หลายคนจูงลูกจูงหลาน ให้เข้าบ้าน เนื่องจากใกล้ค่ำแล้ว ทุกคนแต่งกายแปลกตา เหมือนกับมนุษย์ที่เธอเห็นจากนิมิตยามเขาเหล่านั้นเรียกร้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือยามพลัดหลงกับพวกพ้องในป่า เสื้อผ้าตัดเย็บประณีตงดงาม แต่ใช้โทนสีเขียว ฟ้า คราม เหมือนกันหมด ไม่มีสีแดง ส้ม หรือสีฉูดฉาดอื่นใด นางงูในร่างมานพหนุ่มพลางคิด “คนที่นี่แต่งตัวเข้ากับชื่อหมู่บ้านดีเนอะ สีฟ้า สีเขียว เหมือนน้ำกับป่าเลย วารีวนา สระน้ำกลางป่าใหญ่ แปลกดีแฮะ แต่คนเหล่านี้ ตัวหอมๆ กันทั้งนั้นเลย แต่งตัวรูปแบบแปลกตา เหมือนพวกมนุษย์ที่ชอบมาเดินเที่ยวป่า สมัยนี้เลย” นางงูเดินตามภิกษุชราพรางครุ่นคิด เนื่องจากนางมีอายุเกือบ 220 ปี บำเพ็ญเพียรมาก็กว่า 200 ปี ได้พบเห็นมนุษย์หลายยุคหลายสมัย การแต่งตัวก็ผิดแปลกกันออกไป ต่างยุคสมัยกัน สมัยใหม่นี้ น้ำอบน้ำปรุงนั้นมีหลากหลายกลิ่น ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ไทย เหมือนพวกแม่หญิงสมัยซัก 100 ปี เค้าปรุงกัน แต่สมัยใหม่นี้มีกลิ่นหลากหลายมาก เมื่อยามมีมนุษย์ มาเดินเที่ยวป่า หรือพวกนักเรียนนักศึกษาหลงป่ามา นางจะได้กลิ่นที่แตกต่างกันออกไป เหล่าชาวบ้าน เมื่อหันมาเห็นว่ามีภิกษุชรา และหนุ่มน้อยแปลกหน้าเดินทางเข้ามาในหมู่บ้าน หลายคนหยุดมอง เด็กๆ ต่างพากันวิ่งเข้ามาดู ผู้ใหญ่ฉุดเด็กลงนั่ง บ้างหมอบกราบ บ้างประนพมือไหว้ ภิกษุชรายิ้มน้อยๆ พลางกล่าว
“เราเดินทางผ่านมา จะขอพักปลักกรดสักคืน โยมพอจะช่วยนำทางได้หรือไม่” ชายวัยกลางคน พยักหน้า ยิ้มละมัย เห็นฟันขาวเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ “พระคุณเจ้า เชิญนิมนต์เลยจ๊ะ ไม่ได้มีพระธุดงน์ ที่มีศีล อันงดงาม ผ่านมานานมากแล้ว เป็นบุญของพวกเราชาวบ้านยิ่งนักที่จะได้ทำบุญ ทำกุศล กับพระคุณเจ้า เชิญทางนี้เลยจ่ะ” ชายกลางคนเดินนำทางให้ภิกษุชราเดินตาม สถานที่ปักกรด เป็นลานกว้าง ล้อมรอบด้วยต้นไม้ประหลาด มีลักษณะเหมือนต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาล ผสมกัน แต่ก็แยกไม่ได้ว่าเป็นต้นอะไรกันแน่ บรรยากาศร่มรื่น กระแสไอเย็นเอื่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ภิกษุชรารู้สึกได้ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ ผิดกับบุษรา ดูท่าทีลุกรน ระวังภัย เนื่องจากสัญชาติญาณบ่งบอกว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์ใหญ่ผู้มีอำนาจมหาศาล พร้อมบริวารวงเครือ รายล้อมมากมาย รับรู้ได้โดยความรู้สึก แต่ไม่รู้ว่าผู้ที่ตนรู้สึกนั้นเป็นผู้มาดีหรือมาร้าย ถึงจะสัมผัสได้ถึงกระแสความเมตตาที่แพร่มา แต่อะไรก็ไม่แน่นอน ต้องระวังภัยไว้ก่อน เจ้าเหนือหัวจะได้รับความปลอดภัยหรือไม่ สายตาระวังภัย กราดไปทั่วบริเวณ พลันสายตา บุษรา สบพบกับรูปปั้นพญานาคราชขนาดใหญ่เท่า 3 คนโอบ อยู่บริเวณ ปากทางบ่อน้ำ น่าจะเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีร่องรอยการศักการะบูชา ผ้าแพรพรรณหลากสีถูกผูกบูชาที่เศียรพญานาค ลักษณะเศียรพญานาคชี้ขึ้นเฉียง ประมาณ 45 องศา เป็นลักษณะโผล่ขึ้นมาจากบ่อ เป็นไปได้ว่าบ่อน้ำนี่คงจะสื่อถึงทางขึ้นลงของพญานาค นางงูในร่างชายหนุ่มถอนหายใจ โล่งอก เมื่อพบว่า สิ่งที่กลัวนั้นเป็นเจ้าแห่งตนเช่นเดียวกัน คงพอจะช่วยคุ้มครองเจ้าเหนือหัว ให้ปลอดภัยได้
เมื่อภิกษุชราปักกรดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งลงเพื่อปราศรัยกับเหล่าชาวบ้านที่ตามมาเพื่อจะได้พูดคุยกับท่าน แต่มีท่าทีเกรงใจที่ท่านเดินทางมาไกล อยากรู้ อยากถาม แต่ไม่กล้ารบกวน ภิกษุชรา นั่งภายในบริเวณกรด ยังไม่ได้บิดมุ้งคลุมลงมา พลางควักมือเรียกชายกลางคนที่เดินนำมาส่งที่นี่ให้เข้ามาหา ในขณะที่นางงูในร่างชายหนุ่ม นำใบไม้คล้ายใบตาลใบใหญ่มีวางซ้อนกันหลายชั้นให้นุ่มหยืดหยุ่น ปูทับด้วยผ้าแพร สีเขียวเข้ม ปักเลื่อมลายบรรจงด้วยดิ้นทองลวดลายพญานาค รัดล้อมริมขอบผ้า และบรรจงวางเด็กชายตัวน้อยลงในที่นอนที่จัดเตรียมไว้แล้ว จากนั้นจึงนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ทางด้านซ้ายมือ ห่างจากภิกษุชราสัก 2 วา
ชายวัยกลางคน หมอบคลานเข้ามาใกล้ภิกษุชรา ก้มกราบ 3 ครั้ง พร้อมพนมมือไหว้ ภิกษุชราชิงกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก อยากรู้อยากถามเรื่องใด ก็ถามได้ เราเป็นแขกมาถึงชานเรือน ท่านแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก ท่านกรุณาให้ที่พักพิง ใคร่รู้เรื่องใดถามได้ เราก็มิได้เหนื่อยอ่อนประการใด นี่ก็ยังหัวค่ำอยู่ คงสนทนากันได้สักครู่ใหญ่ๆ”
ชายวัยกลางคน ยิ้มตื้นตัน พลางกล่าว “พระคุณเจ้า เจ้าค่ะ เดินทางมาจากที่ใด ทำไมถึงมาที่นี่ได้ หมู่บ้านของพวกเรา น้อยคนนักที่จะได้ผ่านเข้ามา เนื่องด้วย อยู่กลางป่าใหญ่ มีภัยอันตรายมากมาย ข้ากระผมจึงตื้นตันใจ ที่มีพระท่านผ่านเข้ามา เพราะเวลาที่พวกเราจะทำบุญกันแต่ละครั้งจะต้องเข้าไปในเมืองหลวงที่ไกลมาก คนที่จะไปได้ก็ต้องเดินทางเก่งมากๆ สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ หรือเสื้อผ้าที่ทันสมัยนี้เราก็ต้องสั่งเข้ามา การลำเลียงมาก็ลำบาก แต่พระคุณเจ้าเดินทางมาถึงที่นี่ได้ อีกทั้งยังมีผู้ติดตาม และมีเด็กน้อยมาอีก จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจของข้ากระผม และชาวบ้านยิ่งนัก” ภิกษุชราอมยิ้ม ชายวัยกลางคนพูดต่อ
“นานมากแล้วที่ไม่มีพระท่านเดินทางผ่านมาเลย ที่ข้ากระผมจำได้ก็เกือบร้อยปีแล้ว” ภิกษุชราขมวดคิ้ว พลางคิด
“เกือบร้อยปีแล้ว แล้วเจ้านี่อายุเท่าไหร่หนอ เออ สงสัยคนเฒ่าคนแก่จะเล่าให้ฟัง”
“อาตมา เดินทางธุดงส์ มาเกือบ 10 ปีแล้ว ไปทั่ว เดินเลาะชายแดนไทยไปเลื่อยๆ ที่ไหนมีป่า มีธรรมชาติ ที่นั่นย่อมมีความสงบ ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมีหมู่บ้านอยู่ตรงนี้ พอดีระหว่างทางเจอเจ้าหนุ่มน้อยนี่ กับเจ้านายตัวน้อยของเค้า จึงเดินทางมาด้วยกัน” ท่านพูดในความจริงเพียงครึ่งเดียวเพื่อไม่ให้มุสา อันจะบาปแก่ท่าน มิได้บอกว่านางเป็นงูแปลงมา
“อาตมาคงขอพักค้างสักคืน วันพรุ่งนี้จึงค่อยเดินทางต่อ”
ชายวัยกลางคน ชำเรืองพินิจดูนางงูในร่างชายหนุ่ม รู้โดยญาณ ว่าหนุ่มน้อยนี้ เป็นนางงูสาวแปลงกลายมา จึงนึกอยากจะหยอกล้อ
“พระคุณเจ้า เจ้าข้า ขอให้ท่านจงพำนักอยู่ที่นี่สัก 3 เพลา เถิด เนื่องจากวันมะรืน เป็นวันออกพรรษา ข้ากระผม ชาวบ้าน และเจ้าเหนือหัวจะได้มีโอกาส ถวายภัตตาหาร แก่พระภิกษุสงฆ์ อันจะถือเป็นบุญอันประเสริฐยิ่ง แก่เมืองเรา” ปากพูดแต่สายตาจับจ้องมองมานพหนุ่ม นางงูประหวั่นพรั่นพรึง ในชายตาของชายวัยกลางคน เกิดอาการประหลาดเหมือนหญิงสาวถูกชายหนุ่มแทะโลมด้วยสายตา
“เชอะ มาส่งสายตาโอ้โลม นี่เราอยู่ในร่างชายน่ะ จะมาทำสายตาทะลึ่ง หรือเค้าจะรู้ว่าเราเป็นหญิงแปลงมา คงไม่ใช่หรอกน่า นี่ก็แค่คนธรรมดาไม่มีกลิ่นแปลกปลอมแต่อย่างใด มีแต่กลิ่นหอมจากน้ำอบน้ำปรุงสมัยใหม่” นางงูครุ่นคิด ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาชาย
“อาตมา คงต้องถามเจ้าหนุ่มนี่ก่อน เพราะว่าเค้าต้องรีบเดินทาง” ภิกษุชราพูดพลางหันไปหานางงูแปลง กล่าวด้วยความเกรงใจ เนื่องจากเข้าใจในความเร่งรีบนั้น “บุษรา ว่าไง เจ้าจะอยู่ที่นี่สัก 3 เพลาได้หรือไม่”
“แล้วแต่พระคุณเจ้า เจ้าข้า พระคุณเจ้าเห็นสมควรประการใด ก็แล้วแต่สะดวกเจ้าข้า กระผมได้อยู่กับพระคุณเจ้า ก็รู้สึกว่าตนเองนั้น กับเจ้าเหนือหัว ปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงแล้ว และที่นี่ก็สงบร่มรื่น เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียร อีกอย่างกระผมก็ต้องการจะหาน้ำนมให้เจ้าเหนือหัวได้อิ่มทานด้วยเจ้าข้า” นางงูแปลงพูดเบา เพียงได้ยินกันแค่ 2 คน กับภิกษุชรา แต่ถึงกระนั้น ชายวัยกลางคนที่อยู่ถัดไปยังได้ยินอย่างถนัด เนื่องจากกำหนดจิตตั้งใจฟังมาก แม้นจะทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ก็ตาม พลางครุ่นคิด เหตุใดนางจึงเรียกเจ้าเด็กน้อยว่า นายเหนือหัว กล่าวราวกับว่า นายเหนือหัวของนางนั้น เหมือนกับนายเหนือหัวของตน
“ท่าน...เออ.. ที่นี่พอจะมีหญิงแม่ลูกอ่อนบ้างหรือไม่ เจ้าเด็กน้อยนี้ต้องการน้ำนม เนื่องจากพลัดพรากจากอกมารดามาแต่แบเบาะ จำได้ว่าตั้งแต่ช่วงก่อนพลบค่ำยังมิได้มีน้ำนมตกถึงท้องเลย ก่อนหน้านี้ ก็ไม่รู้ว่าอดมาเท่าไรแล้ว” ภิกษุชรา กล่าวถาม ชายวัยกลางคน
“ข้ากระผม ชื่อว่า พงพญา เจ้าข้า เป็นหัวหน้าหมู่บ้านนี้ ยังไม่มีครอบครัว แต่พี่สาวของข้ากระผมเป็นหญิงแม่ลูกอ่อนพอดี คงจะพอจัดหาน้ำนมให้เจ้าเด็กน้อยนี่ดื่มกินได้เจ้าข้า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า เจ้าเด็กนี่จะสามารถดื่มกินน้ำนมนั้นได้หรือไม่” นางงูแปลงเชิดหน้าไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าเหนือหัวของเราจึงจะดื่มกินน้ำนมพี่สาวเจ้าไม่ได้ พูดแปลกนักเชียวพ่อคนนี้ และยังมาบอกอีกว่ายังไม่มีครอบครัว ใครถามหล่ะ ” สายตา บุษรา สบกับ พงพญา ในแววตาของชายนั้นมีแวว ขำขัน แกรมเอ็นดู ระคนกัน ยังกับจะอ่านใจ บุษรา ได้ถูกว่านางคิดอย่างไร
“เอาหล่ะ ไม่เป็นไร ลองก่อนก็ได้ บางทีเด็กอาจจะยังจำรสน้ำนมมารดาตนอยู่ก็ได้ อาจจะไม่ยอมดื่มน้ำนมจากแม่นางอื่น แต่ถ้าหิวจริงๆ อาตมาว่าก็น่าจะกินได้น่ะ” ภิกษุชรา กล่าวตัดบทเพราะมองเห็นแววตาถือดี แวบเข้ามาจากสายตาของนางงู เดี๋ยวแปลงร่างกินชาวบ้านเค้าเข้าไป จะยุ่งกันใหญ่
“เจ้าเหนือหัวของเราต้องดื่มกินน้ำนมจากพี่สาวของท่านได้อย่างแน่นอน” นางงูแปลงกล่าวคำท้าทาย พงพญา ยิ้มล้อเลียน แววตาซุกซน นางงูรู้สึกถึงกระแสสัญชาติญาณสาวในตนเอง ทำไมมารู้สึกแบบนี้ในเวลานี้นะ สัญชาติญาณสมสู่ของสัตว์ นางบำเพ็ญเพียรมากว่า 200 ปี ตั้งแต่เริ่มแรกสาว ไม่เคยมีสิ่งนี้อยู่ในความคิด ถึงมีสัญชาติเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่นางก็ถือตัว ครองพรมจรรย์มาได้ตลอดเกือบ 200 ปีนี้ แต่ทำไมตอนนี้ สัญชาติญาณนั้นมันเหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา โดยคนๆ นี้หน่ะ แล้วเค้าเป็นมนุษย์ แต่นางเป็นงู ทำไมธรรมชาติจึงเรียกร้องในสิ่งนี้ได้ หรือว่าเค้าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นงูเช่นเรา แต่ทำไมเค้าและชาวบ้านต่างไม่มีกลิ่นของงูเลย สายตานางงูสับสบวุ่นวาย
“คำพิน เจ้าไปทูลเชิญ เจ้านางนารินทร์นรี มาที่นี่เดี๋ยวนี้ บอกกล่าวถึง พระคุณเจ้า ให้เจ้านางรับทราบด้วย เจ้านางคงดีพระทัยเป็นแน่” บุษรา ก้มหน้าเสมองดูเด็กน้อย แต่หางตา แอบมองดู เห็น พงพญา หันไปพูดคุยกับชาวบ้านคนหนึ่ง คงจะเป็นคนสนิท เพราะนั่งติดกันตลอด แต่ทำไมพูดค่อยนัก เราไม่ได้ยินเลย นางงูพยายาม เงี่ยหูฟังการสนทนา แต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งใด รู้แต่ว่าสายตาคนพูดนั้นมิได้ละไปจากหน้านาง พวงแก้มร้อนระอุแม้จะอยู่ในร่างที่มิสมควรยิ่งที่จะเกิดกิริยาเยี่ยงนี้




 

Create Date : 16 มกราคม 2551    
Last Update : 21 ตุลาคม 2551 9:06:50 น.
Counter : 453 Pageviews.  


มาดามโรส
Location :
ฉะเชิงเทรา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




lozocatlozocat
ที่แห่งนี้คือ..จินตนาการณ์
lozocatlozocat




Friends' blogs
[Add มาดามโรส's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.