งาน :: เล่าเรื่องสัมภาษณ์งานเมืองผู้ดี ปี 2009
เรื่องเกิดเมื่อปี 2009 ช่วงก่อนกลับไทยค่ะ SS (Sorrow Sucker) มาเล่าประสบการณ์สัมภาษณ์งานรีเซฟชั่นโรงแรมค่ะ 
เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับคนที่ยังหางานโรงแรมที่นี่ค่ะ SSได้ส่งจดหมายสมัครงานและซีวีไป ไป ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ก็มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่เข้ามา เจ้าหน้าที่ทวนชื่อเต็ม และสอบถามว่ายังสนใจงานตำแหน่งนี้หรือไม่ อยู่มาตั้งนาน เรียนการจัดการโรงแรมก็สอบเสร็จไปหมดแล้วเมื่อเดือนที่แล้ว เลยเริ่มหางานแบบจริงจัง และไม่คิดว่าตัวเองจะได้สัมภาษณ์งานหน้าฟร้อนซ์โรงแรมด้วยซ้ำเพราะสำเนียงภาษาไม่เกร๋พออย่างครูเคท 
แต่ก็ไม่เสียแรงที่จะลองสมัครดู เลยดีใจมากถึงมากที่สุดที่สุดที่เจ้าหน้าที่โทรมานัดสัมภาษณ์ในวันนั้น SS จึงนำชุดสูทที่คิดว่าคงใสไม่ได้แล้วเพราะตั้งแต่มาอยู่ก็อืดดดได้ไม่มียั้ง มาลองดู คับไปนิดหน่อย แต่ไม่ติดกระดุมหน้าและกลั้นหายใจไปจนกว่าจะได้สัมภาษณ์น่าจะไหว 
เตรียมชุดสูทกระโปรง เตรียมที่รัดผม ติดกิ๊บดำ รวบผมเรียบร้อย รองเท้าแบบสุภาพ แต่งหน้าอ่อนๆ แต่แอบเขียนไลเนอร์เด้งปลายประมาณน้องๆ Amy Winehouse ว่างั้น 
แนะนำว่าเวลาไปสัมภาษณ์ ให้ไปถึงก่อนเวลาจะดีกว่าไปสาย เพราะเราไม่ใช่เซเลบ ทีมงานไม่นั่งรอเรา SS ไปถึงก่อนเวลาเกือบหนึ่งชัวโมง (กะเวลาไม่ค่อยจะถูกเล้ย) เข้าไปถึงก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ส่วนหน้า (front desk) จากตรงนี้จนถึงสัมภาษณ์เสร็จ จะขอใช้ภาษาอังกฤษ (สไตล์ Broken English ของข้าพเจ้า ) เพื่อเล่าเรื่อง จะได้ถึงพริกถึงขิง เหมือนมานั่งสัมภาษณ์อยู่ด้วยกันเลยเชียว Receptionist: Hello, good morning, how may I help you? Me: Yes please, I have an appointment with Mrs….. at noon here. Receptionist: All right, one moment please เธอหายเข้าไปด้านหลังฟร้อนซ์ซัก1นาทีแล้วกลับมาบอกว่า Receptionist: Would you take the seat for one moment? Mrs… will come and meet you shortly. Me: All right, thank you. ประมาณ 10 นาทีได้ ผู้จัดการก็เดินออกมาจากด้านในค่ะ SSลุกขึ้นเดินเข้าไปถึงตัวเธอก่อนเหมือนสุนัขเห็นเนื้อ กระดี๊กระด๊าอย่างมาก
กล่าวทักทาย และจับมือทักทาย เธอให้SSนั่งที่ที่นั่งโซฟาล็อบบี้ ส่วนเธอกำลังจะนั่งตรงกันข้ามซึ่งเป็นเก้าอี้พลาสติก ดูแล้วไม่น่าจะนั่งสบาย SSเลยเอ่ยปากกับเธอว่า Me: Why don’t you sit here on the couch? I am going to sit on that chair. Hotel Manager: Are you sure? Me: Yes, of course. That will be just fine with me. คิดแบบติดตลกว่า ถ้าคนสัมภาษณ์นั่งสบายๆ เค้าอาจจะมีอารมณ์สัมภาษณ์เรามากขึ้น มารู้ทีหลังจากเพื่อนสนิท เพื่อนบอกว่าจากที่เราเชิญให้อีกฝ่ายหนึ่งนั่งสบายๆกว่าเนี่ย เป็นการโชว์ Service-mind ไปแล้วเรียบร้อยนัยทางหนึ่ง หลังจากนั้นการสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น โดยที่ผู้จัดการแอบบ่นเล็กๆว่าถ้าเอาแล็ปท็อปมานั่งสัมภาษณ์ด้วยก็คงดี มีอะไรจะได้พิมพ์เอา ไม่ต้องเขียนทุกอย่างแบบนี้ เธอ น่าจะเขียนทุกอย่างที่SSตอบลงไปจริงๆค่ะ เพราะเห็นเขียนไป ช่วงพักก็บีบคลายมือแก้เมื่อยไป (แสดงว่าเม้าท์ไปเยอะ) คำถามน่าจะมีประมาณ 20-24 ข้อ และอะไรๆก็ตามที่SSเคยเรียนมา เรื่องการใช้โปรแกรมแผนกต้อนรับส่วนหน้า Opera และ Fidelio เป็น อันต้องลงหม้อทั้งหมด เพราะเธอไม่ได้ถามคำถามเหล่านั้นเลย คำถามทั้งหมดที่ถาม จะเป็นคำถามเพื่อประเมินว่าเราสามารถรู้ความต้องการของแขกที่มา พักได้หรือไม่ เรารู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร และ เราสามารถใช้ความสามารถอะไรที่มีเพื่อทำประโยชน์ให้กับผู้ร่วมงานและโรงแรม ได้บ้าง SSจำคำถามไม่ได้ทั้งหมด แต่ที่พอจำได้มีดังนี้ค่า Manager: So your name is ……………. Me: Yes that’s correct. But you may call me ‘....’ as it’s a short version of my name in Thai. Manager: Right.. Can you tell me as a guest, what do you expect from checking-in at the budget hotel? Me: As a guest, I would expect the friendly and speedy checking in, the cleanliness of the room, of course with full in room amenities and I would expect the quality breakfast at low cost Manager: Which hotel do you think is our competitor? Me: I would say there are 2 hotels, Premier Inn and Express by Holiday Inn. Manager: Very well ! And from your previous experience, what was the difficult situation you had to deal with? Me: There are many incidents I can say they were difficult. But I will only show you one incident that happened on regular basis. We had hotel policy to charge for extra person who stayed overnight with the guest who booked and checked in with single occupency, and also to politely ask him/her to leave with us an ID card or passport until they leave. One guest refused to corporate with me and he got really drunk and angry. We were concern about his own security and the woman he was going to spend the night with. As he got really angry, I invited them both to sit down and relax at the hotel lobby and served them welcome drink that cost almost nothing. I tried to communicate with the joiner and made her understand why we had to do this, as well the guest seems to cool down as we had a good laugh talking about things. At the end, he let us charge for extra person, as well guest’s friend decided to leave her ID at the front desk until the morning. And things went just fine. ถึงตอนนี้เธอก็ถามคำถามทั่วๆไปค่ะเช่น Manager: What are your outstanding points that would bring benefit to the team members, and to the hotel? Manager: What do you like and dislike in your previous job? Manager: At which rate would you sell our room for walk-in guest? แต่คำถามแบบเปิด (เปิดให้พูดมาก) เป้นคำถามนี้ค่ะ Manager: What do you think is correct guest check-in procedures? Me: I am going to smile and say ‘Welcome to …….. hotel, how may I help you sir/madam?.. May I have your passport to make a copy and credit card for deposit please?’ Then I am going to give them keycard, but before that I have to inform them room rate (FIT guest) and familiarize them with breakfast hours, venue and hotel facilities. Then inform them to contact front desk or housekeeping if we can be any assistance, and wish them to enjoy the stay with the hotel. ถึงตอนนี้ผู้จัดการเธอก็แจกแจงว่าที่จะทำเนี่ย เธอรู้ใช่มั๊ยว่าเป็นกะกลางคืนที่สมัครมา (เอาแล้วไง) 
แล้วเธอก็บอกว่าที่นี่ดีมากนะ มีการเลื่อนชั้นให้เสมอถ้าพนักงานผ่านการทดสอบเป็นขั้นตอนไป เธอพูดถึงเรื่องค่าแรง และเรื่องตารางการทำงาน การทำงานในรอบดึกจะมีรีเซฟชั่นสาว (เหลือน้อย) สองคนในกะ และจะได้วันหยุด 2 วันต่อสัปดาห์ แล้ววันถัดมา เวลา 14.00 เธอก็โทรมาเสนองานให้ค่ะ ดีใจอย่างถึงที่สุด แม้จะรู้ว่ายังมีมรสุมอีกลูกหนึ่งรออยู่ข้างหน้า เธอบอกว่าสัญญาการจ้างงานจะวางไว้ที่โต๊ะทำงานเธอวันศุกร์ ให้มาเริ่มงานคืนพรุ่งนี้ได้เลย... การแต่งการที่นี่ยูนิฟอร์มเรามีเสื้อทีมให้ ให้ใส่กระโปรงดำ รองเท้าดำมาเลย.. แต่สุดท้าย ดวงทำงานก็ยังส่องประกายมาไม่ถึง 
เหตุ ก็คือ สามีไม่ต้องการให้ออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟไปทำงานคนเดียว เวลาทำงานไม่ตรงกัน และโรคไทรอยด์ที่เป็นอยู่ก็อาจจะกำเริบมากขึ้นถ้าไม่ได้นอนเวลา ที่ควรจะนอน... สรุปก็คือทะเลาะกันประมาณหนึ่งชั่วโมง ร้องไห้ไปหลายยก.. สุดท้ายก็ทำใจได้ว่าถ้าคิดที่จะรักษาชีวิตคู่ไว้ ก็คงต้องยอมสละงานนี้ไป และตั้งหน้าตั้งตาหางานใหม่ที่จะได้ทำตอนกลางวันนะคะ.. โทรไปบอกผู้จัดการ เธอเสียงอ่อยเล็กน้อย แต่เธอบอกว่ะเธอเข้าใจ ถ้ามีกะกลางวันเธอ (อาจ) จะติดต่อกลับมาค่ะ.. ------------------------------------------------------------
ย๊างงงง ยังไม่จบ อิอิอิ วันถัดมา เบอร์โรงแรมที่ssว่าอกหักแน่แล้วโทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือ SSนึกว่าทางผู้จัดการเธอจะโทรมาต่อว่า.. ก็เลยขอโทษขอโพยใหญ่เลย เธอบอกว่าไม่ต้องขอโทษ เพราะที่โทรมาไม่ได้โทรมาต่อว่าอะไร แค่จะบอกว่า ไอไลค์ยู๊ ! อยากต้องการให้โรงแรมเราได้คนอย่างเธอมาทำงานด้วย เอาแบบนี้ ถ้าทำกลางคืนไม่ได้ งั้นทำกลางวันเป็นพาร์ทท์ม รีเซฟชั่นไปก่อน ทำ 2-3 วันต่อสัปดาห์ จนกว่าจะมีรีเซฟชั่นรอบเช้ายอมไปทำกลางคืน หรือไม่ก็ออก เราจะให้เธอทำฟูลทาร์มโอเคมั๊ย คราวนี้หวังว่าเธอจะไม่ปฏิเสธอีกนะ..
แต่... ดวงทำงานก็ยังไม่มีอีก !! อาร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ฝาชี (สามี) ไม่อนุมัติด้วยเรื่องของการเดินทางยามค่ำคืนที่ต้องเดินผ่านทางลอดใต้ถนน (underpass) ทีเพิ่งมีข่าวอยู่เป็นประจำว่าคนโดนปล้น โดนจี้ โดนจุดๆๆๆๆ อยู่บ่อยๆ ฟังแล้วตัวSS และสามีสุดสยอง เลยต้องขอลา.. แต่ ไม่เข็ดค่ะ เดี๋ยวจะมีเรื่องเล่าของอีกงาน ที่ได้สัมภาษณ์เช่นกัน แต่หนนี้ได้เข้าไปทำงานด้วยประมาณเกือบเดือน น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ (น้อย...เพราะน้ำเยอะกว่าเนื้อ) กับผู้ที่หางานอยู่ไม่แพ้กันค่ะ (ว่าไปจริงๆตัวเองก็หางานนะ แต่ยังเอาเวลาว่างแทนที่จะหางานมาเขียนบล็อกอีก) ยังไงถ้าอ่านจนจบ จขบ. ก็ซึ้งใจเป็นอย่างมาก จะดีใจมากถ้ามาฝากคำทักทายกันบ้างผ่านทาง comment นะคะ อะไรที่เขียนผิดพลาด หรือรู้สึกว่าไม่ตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวของใคร ต้องขอประนาม (OOPS ไม่ใช่ค่ะ..ประทานโทษ) มา ณ. บัดนาวด้วยนะคะ 
:Sorrow Sucker: 
Free TextEditor
Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 7:34:34 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1774 Pageviews. |
 |
|