ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล


🌷 ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล 

วันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ตรงกับวันพระขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู

เจริญพร มีสุขสวัสดี อาตมาภาพคงต้องว่าเรื่องสมาธิ ซึ่งเป็นธรรมอันงามในท่ามกลางระหว่างศีลกับปัญญา ถ้าลองได้ขาดเรื่องสมาธิ (สัมมาสมาธิ) ไป ศีลและปัญญาก็ไม่อาจจะเชื่อมติดกันได้ ศีลก็เป็นเพียงแค่รับเอาเท่านั้น ไม่มีกำลังในการวิรัติ (งดเว้น) ได้ ส่วนปัญญาก็เป็นเพียงสัญญาอารมณ์เท่านั้น ไม่มีกำลังในการปล่อยวางอารมณ์ออกไปจากจิตของตน

ทุกวันนี้มีอาจารย์ใหญ่มากมายที่เป็นบุคคลน่าเชื่อถือไม่น้อยเลย เวลาท่านเทศน์สอนกลับไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสมาธิ มองไปว่าเป็นเพียงแค่สมถะ เปรียบเหมือนหินทับหญ้า ไม่สามารถเข้านิพพานได้ มองข้ามศีลและสมาธิไปเลย ตรงไปใช้วิปัสสนาหรือปัญญา (สัญญา) อย่างเดียว อาตมากล้าพูดได้เลยว่า อาจารย์เหล่านี้ยังไม่ได้ที่พึ่ง เพราะว่ายังปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาไม่เป็น รู้เห็นตามความเป็นจริงไม่ได้ จึงได้มองไปว่าการทำสมาธิสงบนิ่งลึกลงไประดับหนึ่งก็แค่รูปฌาน ยิ่งลึกลงไปอีกก็เป็นอรูปฌานไปนั่น ยังสอนต่ออีกว่าจะนิ่งได้เฉพาะตอนอยู่ในสมาธิเท่านั้น พอจากสมาธิก็วุ่นวายเหมือนเดิม เป็นความเข้าใจผิดอย่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ ทั้งที่เป็นพุทธบุตรโดยตรง ย่อมต้องรู้ว่ารูปฌาน อรูปฌานนั้น พระพุทธองค์ทรงได้ปฏิเสธไปตั้งแต่ก่อนพระพุทธองค์จะตรัสรู้เสียอีก ไม่ควรนำมาปนเปกับสัมมาสมาธิในองค์อริยมรรคเลย ที่ไม่ใช่ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน

มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ อันมี สัมมาสมาธิเป็นหนึ่งในนี้เท่านั้น ที่ชื่อว่าเป็นปฏิปทาที่ทำให้ถึงความดับแห่งสังขาร เมื่ออวิชชาเกิด สังขารจึงเกิด เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เมื่ออวิชชาดับ วิชชาแจ้งในความหลุดพ้น ถึงซึ่งพระนิพพานจึงเกิดขึ้น 

เมื่อใดอริยสาวกรู้ชัดปัจจัยอย่างนี้ รู้ชัดความเกิดแห่งปัจจัยอย่างนี้ รู้ชัดความดับแห่งปัจจัยอย่างนี้ รู้ชัดซึ่งปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งปัจจัยอย่างนี้ 

มีพระบาลีรับรองไว้ดังนี้ "วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา แปลว่าจิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา"

เมื่อนั้นอริยสาวกนี้ เราเรียกว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ผู้ถึงพร้อมด้วยทัศนะบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยสัทธรรมนี้บ้าง เห็นสัทธรรมนี้บ้าง ประกอบด้วยญาณอันเป็นเสขะบ้าง ประกอบด้วยวิชชาอันเป็นเสขะบ้าง บรรลุกระแสแห่งธรรมบ้าง เป็นพระอริยะผู้มีปัญญาเพิกถอนบ้าง ดำรงอยู่ใกล้ประตูอมตะนิพพานบ้าง พวกเราชาวพุทธควรเดินตามแนวแห่งพุทธะเท่านั้นอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น ชื่อว่าปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในธัมมจักกัปปวตนสูตรว่า ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้น เป็นธรรมที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใดมาก่อน จึงทำให้พระปัญจวัคคีย์เชื่อ เพราะในยุคสมัยนั้นมีเจ้าลัทธิเกิดขึ้นมามากมาย  ล้วนประกาศตนเองว่าเป็นผู้รู้แจ้ง เข้าถึงนิพพานแล้ว เมื่อพระองค์ทรงออกค้นหาโมกขธรรมแล้วศึกษาดูจึงรู้ว่า เป็นความเข้าใจผิดของเจ้าลัทธิเหล่านั้นเอง และทรงตรัสรู้เองโดยชอบ ณ ใต้ต้นสาละในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ด้วยการนั่งสมาธิภาวนา (สัมมาสมาธิ) จนตลอดรุ่ง และได้วิชชา ๓ มาด้วย อันมี 

๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือญาณเป็นเหตุให้ระลึกรู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้ ระลึกชาติได้ 
๒. จุตูปปาตญาณ ญาณกำหนดรู้จุติและอุบัติแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพยจักขุญาณ 
๓. อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย 

ความตรัสรู้และการตรัสรู้ในครั้งกระนั้น เราเรียกโดยพิสดารได้ว่า ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทรงตรัสรู้อย่างไร ทรงตรัสรู้ด้วยรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ ก็คือนี่ทุกข์ นี่เหตุแห่งทุกข์ นี่คือความดับทุกข์ นี่คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ 

รอบ ๓ อันมี 
สัจญาณ (ความหยั่งรู้สัจจะ) คือ นี่ทุกข์ นี่เหตุให้ทุกข์เกิด นี่ความดับทุกข์ นี่ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ 
กิจญาณ (ความหยั่งรู้กิจ) คือ ทุกข์ควรกำหนดรู้ (ปริญเญยธรรม) เหตุให้เกิดทุกข์ ควรละ (ปหาตัพพธรรม) ความดับทุกข์ควรกระทำให้แจ้ง (สัจฉิกาตัพพธรรม) ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ควรกระทำให้เจริญขึ้น (ภาเวตัพพธรรม) 
กตญาณ (หยั่งรู้การทำให้แล้ว) คือ ทุกข์-กำหนดรู้แล้ว เหตุให้ทุกข์เกิด-ละได้แล้ว ความดับทุกข์-กระทำให้แจ้งแล้ว ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์-ได้ทำให้เจริญแล้ว ล้วนเป็นกิจของโลกที่ควรกระทำและได้ทำสำเร็จแล้ว 

ทุกข์ ควรกำหนดรู้ เพราะเรื่องในโลก ไม่ว่าเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก เรื่องเลว เรื่องร้าย สารพัดเรื่องที่เกิดขึ้น หรือธรรมที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นทุกข์ แต่เราไม่เคยได้กำหนดรู้เลยว่าเรื่องในโลกนั้นล้วนเป็นทุกข์ เมื่อเราคิดว่ามันเป็นสุข ก็เพราะเราไม่เคยกำหนดรู้ลงไปว่า จริงๆ แล้วสุขที่ได้รับอยู่ในขณะนั้น ด้วยไม่เคยกำหนดรู้ให้เห็นตามความเป็นจริงมาก่อน พอสุขเป็นแขกจรเข้ามาก็รีบรับมันจนล้น โดยไม่เคยคิดพิจารณาหรอกว่าเดี๋ยวสุขที่มีอยู่มันก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น เมื่อสุขที่มีอยู่นั้นจืดจางหายไป 

เหตุแห่งทุกข์ ควรกำหนดละ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณติ แปลว่า ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงบอกเหตุและความดับแห่งเหตุของธรรมเหล่านั้น เป็นปกติของพระมหาสมณะเจ้า ทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้"

ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดแต่เหตุ เหตุเพราะเวทนาเป็นเหตุให้เกิดความทะยานอยาก คือตัณหา พอทะยานอยากออกไปก็เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในความยินดียินร้ายนั้น  เพราะเรายังมีความยึดถือว่าสรีรยนต์หรือรูปนาม ขันธ์ ๕ นี้ นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา ใครมาแย่งชิงของเราไป ล้วนทำให้เกิดความยินดียินร้ายทั้งสิ้น 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ย่อมดับเพราะสิ้นเหตุ การจะสิ้นเหตุได้นั้น ต้องตัดความทะยานอยากออกไปได้ (ตัณหักขโย) โดยปกติแล้ว จิตของเราทุกวันนี้ วันทั้งวันจะคอยส่งจิตออกไปสู่อารมณ์ภายนอก คือ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งชอบ ทั้งชัง ทั้งขัดเคือง ทั้งโกรธ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ตลอดทั้งวัน โดยที่เราไม่เคยหันกลับมาดูที่จิตของตนเลย เพราะเราไม่เคยฝึกฝนอบรมเอาสติมาแนบไว้ที่กายเลย หรือที่เรียกว่า สร้างฐานที่ตั้งของสติ 

เราคุ้นเคยกับการส่งจิตออกไปตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ว่างจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดชั่วขณะหนึ่ง บางครั้ง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิตประภัสสร เพราะไม่มีอารมณ์มากระทบ หรือมาครอบครอง เราก็ไม่เคยที่จะนึกถึงการดึงจิตให้มาแนบอยู่กับกายเลย การที่จะให้จิตมีสติมาอยู่กับกายได้นั้น เราต้องเอากายเป็นอารมณ์ หรือพิจารณากายในกาย เพื่อให้สติระลึกรู้อยู่ที่กาย คือเอาสติมาแนบกายให้ได้

ทุกข์ และสมุทัย จึงจัดเป็นธรรมฝ่ายเกิด เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิด แล้วธรรมฝ่ายดับ หรือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับ สังขารดับ อวิชชาดับ เป็นการดับอกุศลทั้งมวล ให้เกิดกุศลเจริญขึ้น เจริญยิ่งๆ ขึ้น  นั่นก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ 

อริยมรรคมีองค์ ๘  ทางไปสู่ความเป็นอริยะ หรือทางไปสู่พรหมจรรย์ และที่สุดแห่งพรหมจรรย์ก็คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ เมื่อเราสามารถปฏิบัติธรรมอริยมรรคมีองค์ ๘ จนมรรคสมังคี เป็นหนึ่งเดียว

ฉะนั้น มรรคจึงเป็นเครื่องมือในการปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดออกไปจากจิตจนหมดสิ้น ด้วยการหมั่นฝึกฝนอบรมให้รู้จักการปล่อยวางอารมณ์เหล่านั้น ต้องมารู้จักว่า มรรค ๘ หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น มีอะไรบ้าง อย่างถ่องแท้ จึงจะทำให้อริยมรรคนั้นสมังคีได้

๑. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก คือ รู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้ นี่ทุกข์ นี่เหตุแห่งทุกข์ นี่ความดับทุกข์ นี่ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

สัมมาทิฏฐิมี ๒ แบบ สัมมาทิฏฐิที่เป็นสาสวะ (ความเห็นชอบของปุถุชน) เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ กับสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะ เป็นความเห็นชอบของพระอริยะ

๒. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ดำริในการที่จะออกจากกาม ดำริในความไม่พยาบาท ดำริในอันไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสัตว์อื่นให้ได้รับความลำบาก

๓. สัมมาวาจา วาจาชอบ ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ

๔. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ  ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม

๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงชีวิตโดยไม่เบียดเบียน การไม่โกง   การไม่ล่อหลอก การไม่ตลบตะแลง การไม่ทำอุบายใช้เล่ห์ การไม่เอาลาภมาต่อลาภ

ส่วนอีก ๓ ข้อที่เหลือในอริยมรรคนั้น สำคัญอย่างยิ่งคือ ข้อที่ ๖ ข้อที่ ๗ ข้อที่ ๘ ที่จัดเข้าเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา ที่พระองค์ได้เคยกล่าวไว้ในโอวาทปาติโมกข์

๑. สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไม่ทำชั่วทั้งปวง 
๒. กุสลสฺสูปสมฺปทา การทำความดีทั้งปวง
๓. สจิตฺตปริโยทปนํ การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ขาวรอบ

โดยนำเอาข้อ ๑ และข้อ ๒ ในโอวาทปาติโมกข์ มาเทียบลงได้กับข้อ ๖ และข้อ ๗ ในอริยมรรค ส่วนข้อ ๓ ของโอวาทปาติโมกข์นั้น เทียบได้กับข้อ ๘ ในอริยมรรค ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในมรรคมีองค์ ๘ ดังนี้

๖. สัมมาวายามะ เพียรประคองที่ชอบ ประคองที่ใช่ คือ เพียรประคองจิตให้ละอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด - ไม่ให้เกิดขึ้น ละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว - ให้หมดไป (ละความชั่วทั้งปวง)  เพียรกระทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด - ให้เกิดขึ้น กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว - ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น (ทำความดีทั้งปวง) การกระทำคุณธรรมเหล่านี้ ต้องมีความเพียรชอบ คอยระลึกรู้กำกับอยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก จึงจะบรรลุผล มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว ที่ทำให้เกิดขึ้นได้คือ การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา (สัมมาสมาธิ)

เมื่อพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ระหว่างที่เราปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาและประคองจิตของตนให้อยู่ที่องค์กรรมฐานภาวนานั้น ลองสังเกตให้ดีว่า อกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่สามารถเข้ามาประชิดติดจิตของตนได้ เพราะเราไม่ส่งจิตออกไปรับอารมณ์เหล่านั้น อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นมาไม่ได้ และที่กำลังจะเกิดขึ้น เราก็ระงับยับยั้งไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ ทำให้มันหมดไป คือคอยประคองจิตมาอยู่ที่องค์กรรมฐานภาวนา หรืออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ด้วยการดำรงสติระลึกรู้เป็นอารมณ์ เราจะเห็นชัดว่า นี่คือการละความชั่วทั้งปวง สพฺพปาปสฺส อกรณํ 

ทำไมต้องละชั่วก่อน เพราะยังมีบุคคลที่ความชั่วก็ยังทำอยู่ แต่ความดีก็ไม่ละทิ้ง   เพื่อเอามาหักกลบลบล้างกัน ซึ่งหักกลบลบล้างกันไม่ได้ (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) ถ้าไม่ละชั่วก่อน ให้ทำความดี ทำกุศล มันก็เหมือนกับหม้อที่มีก้นรั่ว เมื่อยังละความชั่วไม่ได้ ให้ทำดี ทำกุศลยังไงก็ไม่มีทางที่จะหักกลบลบล้างความชั่วได้ ในเมื่อหม้อมันยังมีก้นรั่ว นานวันไปน้ำ มันก็ต้องไหลออกมาเลอะเทอะให้คนเห็นอยู่ดี ในความเลวร้ายของตนเองปรากฏ 

ฉะนั้น ในสัมมาวายามะ ถึงได้บอกว่าเป็นความเพียรที่ใช่ ที่ชอบ เพราะเมื่อเราภาวนาอยู่ที่องค์กรรมฐานภาวนา ประคองจิต ประคองใจของตน ไม่ให้ซัดส่ายส่งออกไปกับอารมณ์ภายนอก ให้รู้อยู่ที่องค์กรรมฐาน องค์ภาวนา องค์ฌาน องค์สมาธิของตน เป็นการยังบุญยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็จะเจริญยิ่งๆ ขึ้น เมื่อสร้างสติให้เกิดขึ้นแล้ว คุณธรรมทั้งหลายฝ่ายต่างๆ ก็มารวมอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกนึกคิดก็ย่อมเป็นไปในฝ่ายกุศล มีระเบียบ และพิจารณดำเนินกิจกรรมออกมาในทิศทางที่ถูกต้องไปด้วย คือ การทำความดีทั้งปวง กุสลสฺสูปสมฺปทา

การที่คนเราไม่ปล่อยจิตปล่อยใจของตนให้ออกไปปรุงแต่งหรือรับรู้อารมณ์เข้ามา ก็ถือว่าเป็นกุศลธรรม เพราะการที่รับรู้อารมณ์แต่ละครั้ง ขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่นี่ ให้สังเกตว่า การรับรู้อารมณ์แต่ละครั้ง มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี อารมณ์โกรธ อารมณ์ชอบ อารมณ์ชัง อารมณ์ดีใจเสียใจ ทุกครั้งที่มีการรับรู้อารมณ์จะต้องเกิดสิ่งต่างๆ ทำให้เกิดความยินดียินร้ายตามขึ้นมาด้วยทุกครั้ง 

ฉะนั้นเมื่อเราหมั่นประคองจิตให้อยู่ที่ฐานที่ตั้งของสติ หรืออยู่ที่องค์กรรมฐานภาวนา เป็นการสร้างกุศลธรรมแบบพุทธแท้ คือ เป็นการสร้างกุศลแบบปล่อยวางอารมณ์ออกไปจากจิตของตน (สัมมาสมาธิ) พอเรายิ่งเจริญให้มาก กระทำให้มากเข้า กุศลที่เกิดขึ้นก็จะเจริญยิ่งๆ ขึ้น จึงได้บอกว่าเราต้องหมั่นฝึกกรรมฐานภาวนาเพื่อให้กุศลเจริญยิ่งๆ ขึ้น   เหมือนกับเรารู้ทางเดินรู้ระยะทางแล้ว แต่เราก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวปากทาง ไม่ยอมเดินต่อไปเสียที

๗. สัมมาสติ ตั้งสติชอบ สติที่ใช่ ควรตั้งไว้ที่ไหน ตั้งไว้ที่กรรมฐาน หรือฐานที่ตั้งแห่งการงานทางจิต สติปัฏฐาน ฐานที่ตั้งของสติอย่างต่อเนื่องเนืองๆ แม้จะลืมตา หลับตา เราก็ต้องหมั่นประคองจิตให้มีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐาน กุศลธรรมที่เราทำอยู่ ก็จะเจริญยิ่งๆ ขึ้น

๘. สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ   จึงทำให้จิตรวมลงเป็นสมาธิ ทำไมต้องให้จิตรวมลงเป็นสมาธิ เพราะการที่จิตเป็นสมาธินั้น จิตจะสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นแขกจรเข้ามา เราก็จะรู้เองเห็นเองว่า นั่น "เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค ตณฺหกฺขโย วิราโค นิโรโธ นิพฺพานํ  ที่นี่สงบหนอ (แม้กระทั่งลมหายใจ) ที่นี่ประณีตหนอ ณ ที่นี่สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงดับเงียบไป คืนความยึดติดทั้งปวงออกไป สิ้นตัณหา สิ้นความยินดี ดับกิเลส เป็นนิพพาน"

จิตได้รู้จักที่สงบระงับดับสังขาร ว่าที่นี่สงบหนอ ที่นี่ประณีตหนอ เมื่อมาเทียบกับขณะที่จิตเราซัดส่ายออกไปหาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เราเรียกว่า จิตสังขาร นั้น มันเป็นยังไง มันก็มีการปรุงแต่ง เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดสัญญาอารมณ์ เกิดสังขาร เกิดวิญญาณที่แจ้งในอารมณ์นั้นๆ ทำให้จิตของเราสับสนวุ่นวายเศร้าหมองไปกับ ราคะ โทสะ โมหะ 

เมื่อมีคนถามว่าว่า ราคะ โทสะ โมหะ เนี่ย มันต่างกันยังไง เราก็จะตอบได้ว่า ราคะมีโทษน้อยก็จริง แต่อยู่นาน คลายช้า ส่วนโทสะล่ะ โทษมาก พอเกิดโทสะอะไรขึ้นเนี่ย มีการทะเลาะเบาะแว้งลงมือตบตี โทษมาก แต่คลายเร็ว แปบเดียว ต่างก็พยายามละเรื่องโกรธ เรื่องขัดเคือง เกิดความละอายใจในภายหลัง แต่ยกเว้นไว้สำหรับบุคคลบางจำพวก โมหะนั้น ทั้งมีโทษมาก ทั้งคลายช้า คนที่มีโมหะ หลง หลงในทางโลก คนลองได้หลง กว่าจะหาทางกลับต้องใช้เวลาไม่น้อย และไม่ค่อยจะยอมเดินเข้ามาในทางธรรมบ้างเลย นี่แแหละเรียกว่าโทษมากและคลายช้า

เราก็จะเห็นแล้วว่า สัมมาสมาธิเนี่ย เป็นใหญ่เป็นประธาน มีกล่าวไว้ชัดเจนว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะมีองค์ประกอบอีก ๗ คือ สัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ประกอบเป็นองค์มรรคสมังคีขึ้นมา   ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงเน้นนักเน้นหนาให้ปฏิบัติ "เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา, เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ มารเสนปฺปโมหนํ ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้จิตบริสุทธิ์หมดจด ทางอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นทางที่มารและเสนามารหลง" นั่นก็คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง

พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้กับพระอานนท์เรื่องอานาปานสติ ก็คือ สัมมาสมาธิดีๆ นั่นเอง ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐานภาวนาในครั้งพุทธกาลเป็นหลัก ตามที่หลวงพ่อสนองท่านเคยเทศน์ไว้บ่อยๆ แต่ครูบาอาจารย์ในรุ่นใหม่ ท่านก็ผูกเอา พุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง นะมะพะธะบ้าง เพื่อให้ง่ายขึ้นในการภาวนา เพราะว่าถ้าเป็นลมหายใจ บางคนไม่สามารถจับลมได้เลย เพราะลมไม่มีรูปร่างให้จับต้องได้ แต่ว่าเรารู้ได้ เพราะเรามีลมหายใจ จึงมีชีวิตินทรีย์อยู่จนทุกวันนี้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้เน้นกับพระอานนท์ว่า 

"อานาปานสติ ภิกฺขเว ภาวิตา พหุลีกตา
จตฺตาโร สติปฏฺฐาเน ปริปุเรนฺติ
จตฺตาโร สติปฏฺฐานา ภาวิตา พหุลีกตา
สตฺต โพชฺฌงฺเค ปริปุเรนฺติ
สตฺต โพชฺฌงคา ภาวิตา พหุลีกตา
วิชฺชา วิมุตฺตึ ปริปุเรนฺติ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงยังสติระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
เมื่อพวกเธอทำให้มาก เจริญให้มาก ย่อมทำให้ สติปัฏฐานสี่นี้บริบูรณ์
สติปัฏฐานสี่นี้บริบูรณ์แล้ว เมื่อพวกเธอทำให้มาก เจริญให้มาก
ย่อมยังให้โพชฌงค์เจ็ดนี้บริบูรณ์
โพชฌงค์เจ็ดนี้บริบูรณ์แล้ว เมื่อพวกเธอทำให้มาก เจริญให้มาก
ย่อมทำให้เกิดวิชชา เพื่อวิมุตติ จิตหลุดพ้น เพื่อนิพพิทา เพื่อวิราคะ เพื่อนิโรธะ เพื่ออุปสมะ เพื่ออภิญญา เพื่อสัมโพธะ เพื่อนิพพาน

นี่แหละ อานาปานสติ หรือสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง บุคคลผู้กระทำให้มาก เจริญให้มาก ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมเข้าถึงอมตธรรม โดยได้กล่าวเป็นพระคาถาว่า

"ในหมู่มวลมนุษย์ ผู้ที่ข้ามฝั่งพระนิพพานนั้นมีอยู่จำนวนน้อย ส่วนที่เหลือนั้นวิ่งเลาะอยู่ริมฝั่ง" ทำไมถึงใช้คำว่าวิ่งเลาะอยู่ริมฝั่ง เพราะไม่หาจุดเริ่ม หาฐานที่ตั้งเพื่อจะข้ามฝั่ง มัวแต่วิ่งเลาะไปเรื่อยเพื่อแสวงหา หาความพอดีไม่ได้ โดยไม่เพียรสร้าง อย่าลืมว่า อริยมรรคมีอยู่ แต่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้น เราต้องสร้างมันขึ้นมา ฉะนั้น ถ้ามัววิ่งเลาะไปเรื่อยอยู่ริมฝั่ง หรือบางคนเจอจุดข้ามแล้ว แต่ยังมัวคิดว่าจะออกจากจุดข้ามไป (มัวแต่ลังเลสงสัย) แล้วก็ย้อนกลับไปกลับมาอีก ไม่ทำให้จุดหมายที่ตั้งไว้นั้นให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรทำให้เหมือนกับการพายเรือไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุด ไม่พัก เพื่อข้ามให้ถึงฝั่งวัฏฏสงสารให้ได้ 

เห็นมั๊ยว่า ถ้าบุคคลใดประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วนั้น แม้ถึงจะข้ามได้โดยยาก ความเพียรทำให้ถึงฝั่งได้จริง ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล ไม่สูญเปล่าเลย 

บัณฑิตทั้งหลายพึงละกรรมดำ คำว่าบัณฑิต ไม่ใช่คนคงแก่เรียน หรือคนมีฐานะ หรือผู้ลากมากดี คำว่าบัณฑิตในทางพุทธศาสนาหมายถึง ผู้ที่มีกิเลสเบาบาง ดังที่พระพุทธองค์เคยตรัสถึงอาฬารดาบสว่า เป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีผงธุลีในตาน้อยมานานแล้ว มีกิเลสเบาบางมานานแล้ว เรียกว่าบัณฑิตพึงละกรรมดำ เจริญกรรมขาว อาลยสมุคฺฆาโต ควรตัดความห่วงอาลัยเสีย 

แล้วพระองค์ยังตรัสคาถาต่ออีกว่า ธรรมที่มีอุปการะมาก ที่ยังให้อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น ให้บริบูรณ์ขึ้น ทรงได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ไม่เคยได้ทรงเล็งเห็นธรรมอย่างนี้จากที่อื่นเลย ธรรมที่กล่าวนั้นมีดังนี้

๑. การมีกัลยาณมิตร
๒. ความถึงพร้อมแห่งศีล
๓. ความถึงพร้อมแห่งฉันทะ
๔. ความถึงพร้อมแห่งจิต
๕. ความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิ
๖. ความถึงพร้อมแห่งความไม่ประมาท
๗. ความถึงพร้อมแห่งโยนิโสมนสิการ

ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ธรรมเหล่านี้ถึงมีอุปการะมาก ในการยังให้อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่งๆ ขึ้น ให้บริบูรณ์ขึ้น 

๑. การที่เรามีกัลยาณมิตร มิตรที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดีกับเรา จะต้องชักนำเราให้มาสู่หนทางที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ คือ การเข้ามาวัด มาถวายทาน มารักษาศีลบ้าง ทำสมาธิกรรมฐานภาวนา ถ้ามีมิตรดี ก็จะชักชวนให้อยู่ในฝ่ายกุศลฝ่ายบุญ มาสร้างเสบียงบุญสะสมไว้ มาสร้างกุศลธรรม สร้างบารมีธรรม นำไปสู่ความหลุดพ้น กัลยาณมิตรข้อเดียวก็มีอุปการะมากแล้ว

๒. ความถึงพร้อมแห่งศีล บุคคลที่จะถึงพร้อมด้วยศีล บุคคลนั้นต้องเป็นโสดาบันอย่างน้อย เพราะโสดาบันต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์เท่านั้น คนที่มีความถึงพร้อมแห่งศีล เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง  ย่อมชักนำให้เราไปสู่ความพ้นทุกข์เท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลยที่จะให้ไป เพราะนอกนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อมทั้งนั้น

๓. ความถึงพร้อมแห่งฉันทะ ฉันทะ เราพอใจแล้ว อย่างเช่น เราพอใจที่จะมาวัด เราพอใจที่จะนั่งสมาธิ บางคนสงสัยว่า ต้องละฉันทะไม่ใช่หรือ ตอบว่าใช่ การเริ่มหัดทำสมาธิ เราต้องมีศรัทธา มีความพอใจ (ฉันทะ) เป็นที่ตั้งก่อน เมื่อเรามีฉันทะ อาศัยวิริยะจนเข้าถึงกรรมฐานภาวนาได้ รู้เห็นได้ ความพอใจก็จะดับไปเอง

๔. ความถึงพร้อมแห่งจิต คือ อชฺฌตฺตํ สมยํ จิตฺตํ สนฺติ เมวา ธิคจฺฉติ เมื่อปฏิบัติจนถึงจิตตัวในแล้ว ย่อมเข้าสู่ความสงบ คนที่ถึงพร้อมแห่งจิตแล้ว ถ้าเราได้เข้าใกล้ ได้คลุกคลี คนพวกนี้มีแต่คุณประโยชน์ หาโทษใดๆ ไม่ได้เลย  อย่างน้อยๆ ก็จะพยายามชักจูงเราให้มาสู่การปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาอย่างเดียว ไม่ชักจูงเราออกไปทางอื่น (อบาย) ซึ่งเป็นการที่ไม่ถูกไม่ควร

๕. ความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิ ทิฏฐิ ความเห็น คนที่ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิแล้ว ก็คือ สัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิที่ชอบ ที่ใช่ ที่ถูก ก็จะชักจูงให้เรารู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง รู้ถึงคุณ โทษ เหตุเกิด ความดับแห่งอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ตัดรอบเป็น เห็นทางหลุดพ้นได้

๖. ความถึงพร้อมแห่งความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า "อปฺปมาโท อมตํ ปทํ, ปมาโท มจฺจุโน ปทํ,  อปฺปมตฺตา น มิยฺยนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา" แปลว่า "ความไม่ประมาทเป็นทางอันไปสู่ความไม่ตาย ความประมาทเป็นทางอันไปสู่ความตาย ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ผู้ประมาทเหมือนคนที่ตายไปแล้ว" 

คำว่า ความไม่ประมาทที่กล่าวนั้น ซึ่งในปัจฉิมโอวาทชัดเจนว่า  “หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนท่านทั้งหลายไว้ดังนี้  วะระธัมมา สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง  อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม นี่แหละถึงพร้อมแห่งความไม่ประมาท อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา  นี่แหละคือพระวาจาครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า" ต้องมีสติคอยระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก นี่ถึงเรียกว่า ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทแบบเต็มรอบ

๗. ความถึงพร้อมแห่งโยนิโสมนสิการ ความพิจารณาน้อมนำด้วยความแยบคาย พิจารณาธรรมทั้งหลาย เช่น ชักชวนให้เราพิจารณาเห็นโพชฌงค์ ๗ องค์ธรรมเครื่องตรัสรู้เหล่านี้ ล้วนเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก 

องค์ธรรมดังที่กล่าวมานั้น ล้วนเป็นองค์ธรรมที่สนับสนุนความเพียรทั้งสิ้น โดยสนับสนุนความเพียรเพ่งฌาน อย่าได้เกียจคร้าน อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง นี่เป็นอนุสาสนีย์ของเรา (พระพุทธเจ้า) สำหรับภิกษุทั้งหลาย เอวัง.

พระภัทรสิทธิ์ อภินันโท
เทศนาธรรม วันพระ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕




Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2565
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2565 14:22:00 น.
Counter : 896 Pageviews.

0 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว

ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์