Group Blog
 
All Blogs
 
คุนหมิง - ต้าหลี่ ( ธค. 2546 ) วันที่ 1

วันที่ 1.... ( 7 ธันวาคม 2546 )

ออกเดินทาง...
12.30 พวกผม อันประกอบไปด้วย ตัวผม ญาติผู้พี่ของผม และน้าแท้ๆ ของผม ได้เดินทางมาถึงยัง ท่าอากาศยานนานาชาติ ขอย้อนให้ฟังว่า เราทั้ง 3 คน จะเดินทางไปกับ คณะอาจารย์ และนักศึกษาปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนพวกผมอาศัยที่พวกเขาไปกันไม่ครบ สอดแทรกไปในฐานะตัวแถมครับ ผมสังเกตเห็นคนอื่นๆ เค้ามีกระเป๋าแจกกันคนละใบ ดูแล้วก็สวยดีซะด้วย แล้วทำไมพวกผมไม่ได้ ...อะไรกันเนี่ย เข้าใจครับว่าอยู่ในฐานะสมาชิก VIP ก็เลยต้องไม่เหมือนชาวบ้าน เท่าที่ดู พวกเขา
ก็มีทั้งรุ่นเด็ก ทั้งรุ่นเก๋า บางคนนี่ผมนึกว่าเป็นอาจารย์ อ้าวแล้วกัน นักศึกษาหรอกเหรอ
14.30 หลังจากจัดการธุระต่างๆที่สนามบินเสร็จสรรพ พวกผมก็โยกบั้นท้ายมานั่งที่ห้องพักผู้โดยสาร รอการขึ้นเครื่องต่อไป และแล้วก็ขึ้นเครื่อง โอ.. นั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต มึนนิดๆ แต่ไม่ถึงกับเมา ผมได้นั่งคู่กับผู้หญิงคนนึงในคณะทัวร์ เป็นนักศึกษานี่แหละ ดูท่าทางน่าจะคบง่าย ขณะนี้เราอยู่บนเที่ยวบิน TG616 ใช้เวลาเดินทาง 1.10 ชั่วโมง และเราอยู่กับ กัปตัน ชวาลย์ ขณะนี้เครื่องอยู่ที่ระดับความสูง กว่า 35,000 Ft. ด้วยความเร็วกว่า 600 ไมล์ / ชม. ผมมองวิวนอกหน้าต่างได้ไม่ถนัดนัก เพราะกลัวน้องที่นั่งติดหน้าต่างจะหาว่าบ้านนอก ได้แค่ชำเลืองๆเอา ก็สวยดีครับ อยากถ่ายรูปเก็บไว้จัง
หลังจากเสร็จมื้ออาหารบนเครื่อง และนั่งเบื่ออยู่ได้พักใหญ่ เครื่องก็ร่อนลงสู่ คุนหมิง เมืองหลวงของ มณฑลยูนนาน พวกเราลงเครื่องโดยไม่ทันกล่าวขอบคุณ กัปตัน ชวาลย์ของเรา และผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของจีน ไม่กี่ขั้นตอน ( ยุ่งยากน้อยกว่าที่คิด ) พนักงานที่นี่ แต่งตัวยังกะทหารแน่ะ น่ากลัวชะมัด ผมไม่ค่อยถูกกับเครื่องแบบซะด้วย ประมาณว่าเคยถูกคนในเครื่องแบบ แย่งแฟนไปน่ะครับ
ผมลองสำรวจห้องน้ำสนามบิน ยังเป็นแบบสากลอยู่ครับ ( ผมกับพี่ตั้งใจว่า เราจะพิสูจน์ห้องน้ำในทุกๆที่ ที่เหยียบย่างไปถึง เรียกว่า เราสนใจวัฒนธรรมการขับถ่ายของคนจีนเป็นพิเศษนั่นเอง ) พวกผมออกจากห้องน้ำ มารอรับกระเป๋า ของผมกับพี่ ใหญ่ที่สุดในกรุ๊ปแล้วครับ ของชาวบ้านเค้าใบกระติ๊ดเดียวเอง อ๊าย..อาย.. บ้านนอกอีกแล้วครับ หลังจากได้กระเป๋า พวกผม 3 คนก็เดินออกมา ที่ประตูหน้า และเราได้พบกับ ไกด์ชาวจีนของเรา หลังจากทักทายกันเล็กๆน้อยๆ คุณพี่ไกด์รูปหล่อก็พาเรามาที่รถทัวร์ ที่เราจะใช้เป็นพาหนะตลอด 4 วันนี้
แรกพบ คุนหมิง ...
ขึ้นไปจับจองที่นั่งกันเสร็จ รถก็ออก พวกเราจะมุ่งหน้าไปกินอาหารเย็นกัน โดยโปรแกรมในวันนี้ เป็น สุกี้จีน ครับ ระหว่างที่รถแล่นผ่านตัวเมืองคุนหมิง ผมได้เห็นความจริงที่ว่า จีนล้ำหน้าไปกว่าไทยมาก
แต่หากนับเฉพาะ มารยาทในการขับขี่ ของคนจีนนี่ ต้องขอบอกว่า เย้ยมัจจุราชทุกวินาที .. ถ้าต้องข้ามถนนที่นี่ควรทำประกัน และพินัยกรรมให้เรียบร้อยซะก่อน
มื้อแรก ที่คุนหมิง ...
คุณพี่ไกด์รูปหล่อ พาพวกเรามากินสุกี้ ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ เป็นภัตตาคาร ที่ใหญ่โต โอ่โถงทีเดียว สุกี้ที่นี่ ต้องให้บริกร เป็นคนทำให้เราหมดทุกขั้นตอนเลยนะครับ ทำเอง หรืออยากทำยังไงก็ไม่ได้นะ เค้าไม่ยอมเลยเชียว...เรียกว่าหยิบตะบวยปุ๊ป เค้าแย่งกลับไปปั๊ปเลยครับ ผมลองมาแล้ว หวงน่าดูเลยครับ แถมมองค้อนอีกแน่ะ
ถึงจะบอกว่าขึ้นชื่อยังไง ผมก็ยังไม่แฮปปี้กับสุกี้หม้อนี้ซักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าผมเคยชินกับสุกี้แบบไทยๆ ที่อุดมไปด้วยเนื้อสัตว์ก็เป็นได้ ถึงได้รู้สึกว่า ทำไม
สุกี้ที่นี่มันไม่มีเนื้อเลยนะ เห็นมีแค่ ไก่ดำผอมๆ แค่ตัวเดียวเอง ที่สำคัญคือ ผมแทบจะได้กินแค่หนังกำพร้าของ ไอ้ไก่ขี้โรคตัวนี้เท่านั้นเอง ที่เหลือมันไปไหนเนี่ย...ความรู้สึกเลยเหมือนกินซุปสารพัดเห็ดซะนี่ แต่คุณพนักงานที่ทำหน้าที่ให้โต๊ะเราก็ นิสัยดีทีเดียว ยิ้มแย้มแจ่มใส ขี้เล่นซะด้วยครับ ผมกับพี่ลุกออกจากโต๊ะก่อนใครเลย เพราะเราไม่ชอบผัก
สิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างก็คือ คนจีนไม่นิยมน้ำแข็ง เราขอน้ำแข็งเขายังทำหน้าแปลกๆ คนจีนนิยมชาร้อน น้ำร้อน แม้แต่เบียร์ที่นำมาเสิร์ฟเราก็เป็นเบียร์ไม่แช่เย็น ไม่ใส่น้ำแข็ง ( ดีที่ไม่ต้มมาให้ด้วย ) เบียร์จีนค่อนข้างจืด และราคาไม่แพงครับ เอาอย่างดีสุด ก็แค่ 4-5 หยวนเท่านั้น
ระหว่างที่ลงมาข้างล่าง ผมก็เหลือบไปเห็น คนจีนกลุ่มนึง นั่งอยู่ที่โซฟา
ขอคารวะคนจีนซะหน่อยครับ เรื่องมาดนี่ หายห่วงจริงๆ คนจีนนี่มาดเหลือรับประทาน แต่ละคนนี่วางท่ายังกะมาเฟีย ผมนึกว่า แก๊งหงซิน ที่ไหนได้ ขับแท็กซี่นี่หว่า อีกคนก็
ใส่สูทอย่างเท่ นึกว่าจะขึ้นเบนซ์ ดันถีบสามล้อซะนี่ ท่ายืน ท่านั่งนี่ สุดยอดครับพี่ เก็กสุดๆ ทุกอิริยาบถ น่าจับไปเป็นนายแบบซะให้เข็ด
พวกผมไม่ลืมที่จะสำรวจห้องน้ำที่นี่ ..นั่นแน่ เอาล่ะสิ ผนังห้องน้ำยุบลงมาเหลือระดับอก นั่งแล้วเห็นเงาคนเฉี่ยวไป เฉี่ยวมา ประตูแบบจริงใจ ไร้ลูกบิด ไร้กลอน เอาล่ะครับท่าน ส้วมเมืองจีนที่ร่ำลือ เริ่มสำแดงให้เราเห็นแล้ว
ต่อจากอาหารเย็น ไกด์ชาวจีน และไกด์ไทยของเรา แจ้งให้ทราบว่า เราจะไปชม การสาธิตการชงชา ที่สถาบัน ศิลปะชา ฮั่นเหยียน ยูนนาน
ที่นี่เราได้รับการต้อนรับ จาก สาวไทยครับ ผมดูแว่บแรกก็รู้ ไทยแหงๆ ก็เจ๊แกดำยังกะอะไร ( ถ้าเขารู้ล่ะก็ ผมโดนตบแน่ ปากหมาอีกแล้ว ) จริงๆ แค่คล้ำน่ะครับ แต่หน้าตาแกออกจะไทยแท้ ดูยังไงก็รู้ล่ะน่า เธอเป็นคนบรรยายให้เราฟัง ส่วนคนชงให้ชม และผสมให้ชิมนั้น เรียกว่า อาซือหม่า คิดว่าน่าจะเป็นชื่อชนเผ่าหนึ่งในแถบยูนนานนี้ จากที่ฟังอาซือหม่า อาศัยอยู่แถบที่ราบสูงมั้งครับ นั่นจึงทำให้มีเทคนิคการชงชาที่แปลกไปจากชาวพื้นราบ อาซือหม่าทั้งสองคนนี้ ลักษณะก็คล้ายๆกับ ชาวเขาแถบภาคเหนือของเรานี่แหละ ขาว รูปร่างอวบ แต่ไม่อ้วนนะ
ชาที่ชงให้เราชิมมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด แต่ก่อนจะชิมชา มีเกร็ดเกี่ยวกับการดื่มชามาบอก คนจีนเค้าบอกว่า ใครดื่มชาจนหมดถ้วย ไม่ต่างอะไรกับควายดื่มน้ำ เหลือไว้ก้นถ้วยซะหน่อย เวลารินใหม่ก็ค่อยเททิ้งเอา และการจับถ้วยชานะครับ ใช้แค่ 3 นิ้วพอ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ ใช้จับถ้วย นิ้วกลางใช้รองก้นถ้วย สำหรับท่านสุภาพบุรุษ เก็บนิ้วที่เหลือมิดชิด สุภาพสตรี โชว์นิ้วก้อยด้วย
รู้จักวิธีดื่มแล้ว ทีนี้มาที่ชาประเภทแรกกัน มีชื่อว่า ชาหยกปิ่นปักผม เค้าบอกว่าสรรพคุณมันดีหลายๆ แก้ร้อนใน ลดไข้ ขับเสมหะก็ได้ ช่วยระบายด้วย รสชาติของชา เมื่อแรกสัมผัสปลายลิ้น รู้สึกขมจัง แต่มันมีเคล็ดโดยดื่มน้ำเปล่าตาม กลับกลายเป็นหวานชุ่มในลำคอทันที แปลกดีแท้
ชาประเภทที่สองที่ได้ชิม มีชื่อว่า ชาคืนชีพ ลักษณะของชานี้ก็ประหลาด เพราะมันไม่ได้เป็นใบๆ ตากแห้งเหมือนชาอื่น มันเป็นก้อน ครับ ชาเป็นก้อน ( ซึ่งเค้าเอามาปั้นน่ะแหละ ) ต้นชาประเภทนี้มีอยู่แต่เฉพาะ แถบ สิบสองปันนา เท่านั้น และด้วยขนาดใหญ่ สูงกว่า 32 เมตร ทำให้มันได้รับชื่อว่าเป็น พญาแห่งต้นชา และมันมีเหลืออยู่ราว 40 ต้นเท่านั้น ชาชนิดนี้เวลาชง ใช้น้ำร้อนเทผ่านแค่ 20 วินาที 1 ก้อนสามารถชงได้ 7 น้ำ ต่อวัน และชงได้ติดต่อกัน 3 วัน ชาชนิดนี้มีคนปลอมเยอะมาก โดยเอาของเก่ามาย้อมแมวด้วยการตากแห้ง แล้วนำกลับมาขาย ทำให้ชาที่ได้เจือจาง และชงได้ไม่กี่ครั้งก้อนชาก็บานออกหมด ชาชนิดนี้มีวิธีดื่มที่ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง คือต้องดื่มมีเสียงครับ ทำให้มันเป็นเสียงดังแจ๊บๆ น่ะ ไม่ต้องกลัวไม่มีมารยาทครับ มันเป็นวิธีของเขา ดื่มธรรมดานี่ยังกับน้ำเปล่ายังไงยังงั้น พอทำปากตามที่คุณ อัมราสอนกลับได้กลิ่น และรสของโสม ติดปลายลิ้นขึ้นมาเฉยเลย แปลกครับ
ชาประเภทต่อมา มีชื่อว่า ชาไข่มุกที่ราบสูง หรือมีอีกชื่อว่า ชาหลันกุ้ยเหยิน อันเป็นพระนามของ พระนางซูสีไทเฮา เนื่องจากทรงโปรดปรานชาชนิดนี้มาก ชาชนิดนี้มีความหอมมาก มักใช้เป็นเครื่องบรรณาการแก่ เจ้านครต่างเมือง ดังที่ ควีน อลิซาเบธ แห่งอังกฤษทรงเสด็จเยือนจีน และได้ชาชนิดนี้กลับไปเป็นจำนวนมาก พระองค์เอง
ก็ทรงโปรดกลิ่นของชาชนิดนี้มากด้วย ชาชนิดนี้คนจีนมักใช้ในการดับกลิ่น ทั้งกลิ่นเท้า และกลิ่นปาก ( ให้นำน้ำชาไปแช่เท้า ดับกลิ่นเท้าก่อน เสร็จแล้วนำมาดื่มกลั้วคอ
ดับกลิ่นปากได้ ..ใครจะลองทำตามสูตรผมก็ได้นะครับ ) แต่ที่น่าสนคือวิธีดื่มครับ ใครว่าชาคืนชีพมีวิธีดื่มแปลกแล้ว ต้องลองตัวนี้ กรรมวิธีก็คือ ต้องอมไว้ แล้วห่อปากดูดลมเข้าไปกลั้วกับน้ำชา ระวังหก ระวังสำลัก ด้วยนะ จะหาว่าไม่เตือน คุณอัมรายังกำชับไว้ ก่อนสาธิตว่า ห้ามหัวเราะ ไม่งั้นเธอจะสำลัก แต่ถ้าดื่มตามวิธีของเขามันก็ดีนะครับ ได้รสชาที่ถูกต้อง
ชาชนิดที่ 4 ซึ่งผมว่าอร่อยที่สุดในบรรดาที่ได้ชิมมา มีชื่อว่า ชากาบแก้ว ( ชาแดงเตียนหง ) ชาชนิดนี้ มีกลิ่นหอมของกุหลาบ และรสหวานของลิ้นจี่ ชามีสีแดงเหมือนชื่อ วิธีการกินก็ไม่มีอะไรที่มันแปลกพิศดาร ลักษณะเอาไว้ดื่มเล่นซะมากกว่า
ชาชนิดสุดท้าย ที่ได้ดื่มมีชื่อเรียกว่า ชาฮ่องเต้ ชาชนิดนี้ แต่เดิมก็คือ ชาเขียวที่เรารู้จักกันดี เป็นชาที่คนจีนภูมิใจมากครับ ชาฮ่องเต้นั้นอย่างที่บอกก็คือชาเขียวนั่นเอง แต่ผ่านกรรมวิธีเก็บบ่ม นานนับสิบปี จึงเป็นชาโบราณที่สูงค่า ยิ่งเก่าเก็บยิ่งมีมูลค่าสูง เป็นชาที่คนจีนรู้จักกันมากที่สุด ในสมัยก่อนจะมีการอัดเป็นแผ่น เพื่อง่ายต่อการขนส่ง แต่ถึงจะบอกว่าสูงค่ายังไงผมก็ยังไม่ค่อยประทับใจรสชาติของมันนัก เพราะไม่มีความอร่อยเลย กลิ่นก็งั้นๆ รสชาติออกไปทางน้ำสนิมซะมาก
ครับ ก็เป็นอันจบ การชม และชิมชา ต้องขอขอบคุณทั้ง คุณพี่ ผู้บรรยาย และอาซือหม่าทั้งสองท่านที่ ได้สละเวลามาให้ความรู้ในเรื่องชาแก่เรา หลังจากนั้นผมก็เดินเตร่ ถ่ายรูป ชุดชาโบราณ ตามชั้น และตู้โชว์ อยู่พักใหญ่ ก่อนที่ พี่ไกด์ของเราจะต้อนพวกเราขึ้นรถทัวร์เพื่อเดินทางเข้าสู่ที่พักของเรา
แผนล่ม เพราะฝนตก ...
ที่พักของเราในคืนนั้น เป็นโรงแรมระดับ ประมาณ 4 ดาว ชื่อ King World Hotel บรรยากาศภายในโรงแรม ถือว่าใช้ได้ทีเดียว แม้ห้องพักจะเล็กไปหน่อยก็ตามที หลังจากจัดการตัวเองอย่างลวกๆ ผมกับโอ๊ตก็พากันลงมาข้างล่าง เพื่อออกไปเดินเล่น เพราะเค้ามีการนัดกันว่า อาคุงชัยชนะ จะพาไปกินปาท่องโก๋ แต่ไปไปมามา ฝนเจ้ากรรมที่ตกมาตลอดทั้งช่วงเย็น กลับตกแรงขึ้นทำให้ ทุกคนล้มเลิกความคิดกินปาท่องโก๋กันไปตามๆ กัน สำหรับผมซึ่งมีความดันทุรังสูง ลำพังฝนแค่นี้ห้ามผมไม่ได้หรอก แต่เมื่อคนอื่นไม่ไปผมก็คงไม่ห้าว ไปคนเดียวล่ะครับ พวกผมขึ้นห้องพัก ซึ่งสมาชิก VIP อย่างพวกผม นอนกัน 3 คน ( ชาวบ้านเค้านอนกัน ห้องละ 2 คน ) ผมต้องระเห็จลงมานอนข้างล่าง หมอนก็ไม่มี แถมต้องใช้ผ้าปูที่นอนมาทำเป็นผ้าห่มอีก ลำบากดีแท้ ยังดีว่าคืนนั้นได้นอนแช่น้ำอุ่น แต่ผมดันเปิดน้ำทิ้งไว้จนน้ำท่วมห้องน้ำเลยนี่ซิ โชคดีที่ไม่ท่วมออกมาข้างนอกนะ คืนนั้นกว่าจะหลับก็ปาเข้าไป ตี 1 กว่าๆ โน่นแน่ะ หมดไปวันนึงแล้ว พรุ่งนี้จะมีอะไรบ้างนะ



Create Date : 24 ธันวาคม 2548
Last Update : 24 ธันวาคม 2548 23:51:02 น. 1 comments
Counter : 616 Pageviews.

 
อยากไปบ้างอ่ะ


โดย: นู๋จ๋ายเจ้าขา วันที่: 5 มกราคม 2549 เวลา:11:37:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Indiana Joe
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จะกู้ชาติกันไปทำไม ....
ถ้ามันเหลือแต่ซาก .....
สีเหลือง สีแดง สีขาว .....
ใีครคือผู้ที่กู้ชาติอย่างแท้จริง ....
คนที่กู้ชาติจริงๆ คือ คนที่ทำงานทุกคน ...
หมอ ทนายความ ครู นักการเงิน ภารโรง ....
และทุกๆอาชีพ ที่ทำงานของตนเองให้ดีที่สุด .....
เพื่อพยุงเศรษฐกิจของประเทศนี้ให้อยู่รอดได้ ...
คนพวกนี้แหละ กู้ชาติ .....
ไม่ใช่ประท้วงเพื่ออุดมการณ์ที่ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง ...
จะเอาเขาพระวิหารมาทำไม ถ้าเขาใหญ่เรายังดูแลไม่ทั่วถึง ..
จะสนเกียรติยศศักดิ์ศรีทำไม ถ้าพี่น้องเรากำลังจะอดตาย ...
Friends' blogs
[Add Indiana Joe's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.