|
ฟังเพลงซึ้ง ๆ เมื่อยามมีความสุขเนี่ย มันช่างเพราะเสียยิ่งกระไร
ตามนั้นล่ะครับ
ช่วงนี้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ตามหาสิ่ง ๆ หนึ่งเจอ หลังจากที่เฝ้าพยายามหามานาน แต่ก็ไม่สามารถหาเจอได้
พอถึงช่วงที่คิดว่าตัวเองตกต่ำที่สุดกลับได้ของสิ่งนั้นกลับคืน เป็นความสุขใจที่ยอมรับว่ายิ้มไม่หุบมาได้ 3 วันแล้ว เป็นความสุขใจที่ไม่ได้รับมานานหลายปี เพราะที่ผ่านมามีแต่ปัญหา มีแต่เรื่องราวที่ประดังเข้ามา จนชีวิตต้องซวนเซไปพรรคใหญ่ ๆ สุขใจชุดแรกผ่านไปไม่ได้ ชุดสองก็ตามมา
ปัญหาที่คาราคาซังกำลังจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ปัญหาใหญ่ที่ต้องทนแบกไว้มาปีกว่า ๆ วันนี้ทางออกได้เปิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเดินผ่านออกไป ได้อย่างสง่าผ่าเผย
จากนี้ไป กำลังใจจากทุกคน จะเป็นแรงผลักดัน เป็นพลังให้ผมได้ก้าวเดินต่อไป
เพื่อความสุขใจอันยั่งยืน และยาวนาน
Create Date : 18 ธันวาคม 2551 | | |
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 15:43:08 น. |
Counter : 1179 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม...ท่องไว้อ้วนเอ้ย จะได้ไม่เครียด
อุตส่าห์ตั้งความหวังว่าจะเริ่มนับถอยหลังวันกลับบ้าน ก็มีเรื่องราวประดังเข้ามา
หลังจากที่ก้ม ๆ เงย ๆ ทำแลปชนิดโงหัวออกจากหน้าจอคอมพ์ เครือ่งไม้เครื่องมือต่าง ๆ ปั่นจักรยานไปทำแลป ไปกลับรวมระยะทางแต่ละวันเฉียด 10 กิโลเมตร แถมขึ้นภูเขาอีกต่างหาก (แต่ก็บ่เป็นปัญหา คิดเสียว่าออกกำลังกาย) จนเริ่มมานับถอยหลังวันกลับบ้าน เรื่องราวความตื่นเต้นก็เริ่มขึ้น
เรื่องแรก ก็คือเรื่องวีซ่า ทำแลปซะเพลิน จนลืมว่าต้องไปต่ออายุวีซ่านักเรียนออกไปอีก กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็วันที่วีซ่าหมดพอดี และเลยเวลาทำงานของแผนกตรวจคนเข้าเมืองเขาแล้ว ตอนเช้ามาเลยรีบคว้าจักรยานคุ่ชีพแจ้นไป ตม. ทันที ไปถึงก็ทำเรื่องต่าง ๆ กรอกแบบฟอร์ม ยื่นเอกสาร พร้อมทั้งทำหนังสือชี้แจงไปยังหัวหน้างาน ด้วยลายมือที่แทบจะดูไม่ออกว่าใช้มือเขียน เหมือนเขี่ย ๆ ซะมากกว่า แถมภาษาอังกฤษก็ยังพับใส่ซองประดับตราจดหมายด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) ส่งคืนอาจารย์ไปแล้วเรียบร้อย อายเจ้าหน้าที่รับเรื่องมากถึงมากที่สุด จากนั้นก็ประทับตราให้อยู่ต่อชั่วคราวได้จนกว่าจะได้รับการอนุมัติต่อวีซ่าอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลาในการพิจารณา 1 สัปดาห์.... สุดยอดแล้วครับงานนี้...เครียดแล้วก็ตื่นเต้นมากกว่าตอนลุ้นผลทุนซะอีก...แต่ก็ได้กำลังใจจากพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวแอดเจแปน ที่ผมอุตส่าห์ไปโพสต์บ่นให้ได้อ่านกันหน้าห้อง...
จนเมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ตามกำหนด กำลังจะออกไปฟังผลพอดี เจ้าหน้าที่ก็โทรมาบอกว่าวีซ่าอนุมัติให้อยุ่ต่อแล้ว ก็เลยได้เดินเรื่องอยู่ต่อ และต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนประจำเมืองที่เรียนอยุ่ด้วย ว่าต่อวีซ่าออกไปอีก 1 ปี และเรียบร้อยไม่มีปัญหา
สุดสัปดาห์นั้นเป็นช่วงเวลาที่พักผ่อนได้สบายใจอีกครั้ง แม้จะมีงาน มีแลปรออยู่ข้างหน้ากองมโหฬาร แต่ก็ขอพักไว้ก่อน
....................................................................
พักได้ไม่นานปัญหาเรื่องต่อมาก็ปรากฎขึ้น
คือ ปัญหาละครน้ำเน่าในแวดวงการวิจัย เป็นไปได้ไงก็ไม่ทราบเหมือนกัน บุคคลที่เราเกรงอกเกรงใจ และนับถืออยู่พอสมควร มารบกวนงานวิจัยจนต้องเกิดเอ๋อเหรอขึ้นมา ดีว่าคราวนี้เห็นกับตา จะ ๆ เน้น ๆ บุคคลท่านนั้นจึงหมดหนทางปฏิเสธ แต่ในฐานะที่ต่างบ้านต่างถิ่น จึงทำได้แค่แจ้งให้อาจารย์ที่ปรึกษาทราบ แล้วให้พิจารณาลงโทษกันเอาเอง แม้จะไม่ค่อยพอใจกับผลการลงโทษเท่าไหร่นัก (บทลงโทษคือโอนย้ายนักศึกษาในสังกัดไปให้บุคคลอื่นให้หมด) บุคคลที่รับทราบหลายคนจะให้ความเห็นว่า ควรจะลงโทษให้หนักกว่านี้ เพราะท่านนั้นก็เป็นนักวิจัยที่มีความโดดเด่นพอสมควร แต่มาทำให้งานวิจัยคนอื่นล้มเหลวแบบนี้ ผิดจรรยาบรรณการเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างมาก
จึงให้คำตอบไปกับอาจารย์อีกท่านที่รับทราบเรื่องนี้ว่า สำหรับผมซึ่งถือเป็นคนนอก แถมเป็นนักศึกษาต่างชาติแบบนี้ ขอทำหน้าที่ในการเป็นคนแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ เมื่อทราบแล้วจะจัดการ ถึงขั้นไหนอย่างไร หากต้องการให้ผมเป็นพยานก็พร้อมเสมอ
เรื่องราวความวุ่นวายเรื่องที่สองก็เลยจบไป แบบค้าง ๆ คา ๆ ไว้แบบนั้นต่อไป
................................................................................................................
จากนั้นก็ลุยเรื่องรายงานวิจัยที่จะตีพิมพ์เพื่อเป็นเครดิตสำหรับจบ
เพราะส่งเรื่องไปตั้งแต่เดือนมีนา แล้วก็ทิ้งหายไปครึ่งปี ตอบกลับมาเอาตอนกลางเดือนตุลา ว่าไม่รับเรื่องไว้ตีพิมพ์ พร้อม ๆ กับเหตุผลบางข้อที่รับได้ เพราะงานเราบกพร่องจริง ๆ และอีกหลายเหตุผลที่ยอมรับไม่ได้ เพราะคนพิจารณาอ่านไม่ละเอียด แต่ก็ไม่ได้ดันทุรังเพื่อที่จะตีพิมพ์ไปยังวารสารเล่มนั้น และบันทึกเอาไว้ว่า มาตรฐานในการรีวิวบทความของวารสารเล่มนั้น ไม่ค่อยคงที่เท่าใดนัก....เห้อ....โชคไม่เข้าข้างอะไรเช่นนี้.... ถึงตอนนี้ความคิดที่จะตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ตีพิมพ์โดยไม่ต้องจ่ายค่าตีพิมพ์ก็เป็นอันว่ายกเลิกไป อาจารย์ก็เลยบอกว่าตีพิมพ์แบบจ่ายค่าธรรมเนียมก็ได้ ไม่มีปัญหา เอาเงินของแลปออกได้ และส่งบทความออกไปวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมพอดี
.......................................................................................
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ยังไม่หมดแค่นั้นครับ ยังมีอีก
ผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์ไปอีกครา วันจันทร์ก็ปั่นจักรยายออกไปทำแลปปกติ เอาข้อมูลไปวิเคราะห์และถกปัญหากับอาจารย์ที่คุมแลป ก็ให้คำแนะนำดี แต่ผลการทดลองยังน่าเป็นห่วง เพราะข้อมูลที่ได้ไม่สวยเอาเสียเลย จะสร้างสรรค์ปั้นแต่งบนพื้นฐานของความเป็นจริง ก็ออกมาได้ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก เลยนั่งวิเคราะห์ปัญหาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ในห้องทำงานจนได้ใกล้เลิกงานของอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ก็เดินเข้ามาด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มเป็นปกติ
แล้วพูดว่า .... อยากให้ลองไปคิดดูว่า ผลการทดลอง ณ ตอนนี้ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ถ้าอยากจบตามกำหนด ก็จบได้ แต่คงจบได้ไม่สวยนัก เพราะหน้าหนาวที่จะถึงนี้คงไม่มีข้อมูลใหม่ และไม่สามารถทำการทดลองใหม่ได้ กว่าจะถึงใบไม้ผลิปีหน้าก็คงเป็นช่วงที่ต้องสรุปทุกอย่างแล้ว หรือจะเลือกยืดเวลาออกไปเทอมเพื่อที่จะได้มีเวลาเก็บข้อมูลใหม่เพิ่มในใบไม้ผลิ และสรุปผลพร้อมกับเขียนวิทยานิพนธ์ให้จบภายในใบไม้ร่วง ซึ่งอันหลังนี้ถึงแม้จะไม่มีหลักประกันว่าจะสามารถจบได้อย่างสวยงาม น่าชื่นชม แต่ก็จะทำให้งานออกมาดูดีมากกว่าจบตามกำหนด
แต่มีข้อแม้ว่า เงินสนับสนุนที่ได้รับ ณ ปัจจุบันนี้จะไม่ครอบคลุมถึงระยะเวลาที่ขยายออกไปครึ่งเทอม......
เอาละสิครับงานนี้ คิดหนักเลย จะเอายังไงดีล่ะหว่าา....
โทรศัพท์หาคนนั้น ต่อสายหาคนนี้ ขอคำปรึกษาอย่างเร่งด่วน สุดท้ายได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จะขอเลือกตัวเลือกหลัง คือเลื่อนเวลาจบออกไป แต่ระยะเวลาที่เหลือในช่วงหนาวนี้ จะตามเก็บข้อมูลจากตัวอย่างทุกตัวอย่างที่มีอยุ่ในคลังให้หมด ถ้าสามารถทำข้อมูลออกมาให้สวยสดงดงาม ก็จะสามารถจบได้ตามกำหนด แต่ถ้ายังไม่ดีเท่าที่ควรก็ต้องจบช้าอย่างเลี่ยงมิได้....
....................
จะรอดไหมเนี่ยตรู
...................
แต่ก็ได้คำปรึกษาจากจิตแพทย์ประจำตัว (หมอดูครับ...แฮ่ะ ๆ) ที่สนิทสนมกันเพราะเคยไปปรึกษาเรื่องราวปัญหาส่วนตัวที่หาทางออกไม่ได้บ่อย ช่วงที่เจอมรสุมชีวิต จนปัจจุบันสนิทสนมกัน
จับยามสามตา ดูวันเดือนปีเกิด แล้วทำนายไปตามเรื่อง แล้วสรุปว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ซึ่งก็ตรงกับคอนเซปต์ที่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าถ้างานออกมาไม่ดีก็จะจบช้า.....
.............................................
เห้ออออ ทำงานวิจัยที่มันต้องมาเกี่ยวข้องกับลมฟ้าอากาศเนี่ยปัญหาเยอะจริง ๆ เลยนะเนี่ย
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2550 | | |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2550 19:05:19 น. |
Counter : 623 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
นับถอยหลัง....12 เดือนจากนี้ไป...คือเวลากลับบ้าน
เกือบจะครบ 4 ปีที่ได้มาประทับรอยเท้าไว้บนแดนอาทิตย์อุทัย ผืนดินแห่งความฝันของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีครอบครัว มาประกอบอาชีพ มาศึกษาเล่าเรียน
ผมเองก็คงหนีไม่พ้นในกลุ่มคนเหล่านี้ การได้เดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะท่องเที่ยว หรือเรียนต่อ ก็เป็นความฝันลึก ๆ อยู่ในใจ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่คนเรียนเก่ง สมองดี เรื่องเรียนต่อจึงเป็นไปได้ยากมากที่สุด
หากวันนั้น ระหว่างการพักผ่อนหลังทำงาน หากวันนั้นใจไม่กล้า หน้าไม่ด้าน ก็ไม่รู้ว่า วันนี้ ณ ปัจจุบันนี้ผมจะทำอะไรอยู่ อาจจะเป็นลูกจ้างอยู่ที่ไหนสักแห่ง อาจจะเป็นเซลล์แมนขับรถล่องขึ้นลง เหนือ อีสาน ตะวันออก กลาง ใต้ อยู่ตลอดเวลาก็เป็นได้
เพราะวันนั้นความกล้ามันมี เพราะวันนั้นกินเบียร์ (แต่ยังไม่เมา) เพราะวันนั้นร้อน เพราะวันนั้นเหนื่อย ความคิดต่าง ๆ นานา ปรากฎขึ้นในสมอง ความไม่เข้าใจ ความฉงน ความแคลงใจ จึงต้องถามนายจ้าง(หัวหน้าคณะวิจัย) ว่าที่พวกผมทำอยู่ทุกวันนี้ พวกผมได้อะไรบ้างนอกจากค่าจ้างต่อเดือน ในขณะที่พวกคุณผลิตบัณฑิตนับสิบ มหาบัณฑิตอีกเพียบ ดุษฎีบัณฑิตอีกไม่น้อย ผม(และเพื่อน)จะได้อะไรบ้างนอกจากความรู้เรื่องงานวิจัย พวกผมอยากจะต่อยอด อยากจะก้าวหน้า พวกผมอยากเรียนต่อในประเทศของพวกคุณ.....
หัวหน้าคณะวิจัย (ชาวญี่ปุ่น) ก็ตกปากรับคำไว้ ว่าจะพยายามหาลู่ทางให้ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่า การได้ระบายความรู้สึกภายหลังการทำงานที่แสนจะทรหดเท่านั้น
แต่ด้วยความที่ผลการเรียนไม่ได้ดีเลิศ จึงทำให้การสมัครเรียนนั้นลำบาก แต่ความพยายามทั้ง 4 ปีก็ไม่ได้สูญเปล่า ระหว่างรอผลการพิจารณาผมใช้ประสบการณ์การทำงาน เป็นเครดิตสมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทในไทย แล้วใช้ผลการเรียนของ ป.โท มาเสริมเพื่อลบจุดด้อยที่คะแนนตอน ป.ตรีทำได้ไม่สวยเอาเสียเลย
ปีนั้นชีวิตต้องประสบทั้งโชคไม่ดี และโชคดี เรียนป.โท จบพอดี ส่งรูปเล่มวิทยานิพนธ์เรียบร้อย ผลทุนที่ญี่ปุ่นก็ประกาศออกมาว่าผ่าน เหลือระยะเวลาก่อนเดินทาง 4 เดือนพอดิบพอดี จึงใช้เวลานั้นในการเตรียมตัว เตรียมความพร้อมบางส่วน
คือวันที่ 30 กันยายน 2546 และเป็นเวลาของวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันที่ผมเดินทางออกนอกประเทศแบบยาวนานครั้งแรก .... คืนที่คุณแม่แวะมาส่ง พี่ชายก็แวะมา ทุกคนต่างมุ่งหวังว่าผมคงจะเอาชีวิตรอดตัวคนเดียวได้ และก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผมสามารถเอาตัวรอดได้ แม้ระยะแรกเรื่องภาษาจะเป็นอุปสรรค แต่ด้วยสภาพแวดล้อมรอบตัว ทั้งอาจารย์ เพื่อนนักศึกษาทั้งชาวไทย ชาวญี่ปุ่น และจากอีกหลาย ๆ ประเทศต่างเป็นมิตร รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาต่างชาติ ก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
ความรู้สึกจากวันนั้น จนถึงวันนี้ ณ ที่แห่งนี้จึงเปรียบเสมือนบ้านอีกแห่งหนึ่งของผม.....
จากวันนั้นผ่านมาวันนี้อีกไม่ถึงเดือนก็จะครบ 4 ปีถ้วนแล้ว ผมคงต้องมานับถอยหลังเพื่อหยุดยั้งความหลงระเริงกับชีวิตต่างแดนของตัวเองไว้ เร่งมือทำงานทดลองให้ได้ผลออกมาดีที่สุด แม้ที่ผ่านมาจะทำดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ต่อจากนี้ความผิดพลาดจะต้องเกิดขึ้นน้อยที่สุด แม้ตอนท้ายอาจได้ผลที่ออกมาไม่ดีอย่างที่คาดหวัง แต่ก็คงไม่ทำให้เสียชื่อคนไทยอย่างแน่นอน
.....เห้ออ....ตั้งใจว่าจะเล่าให้เป็นเรื่องก้อม ๆ (ก้อมเป็นภาษาอีสาน แปลว่า เรื่องสั้น ๆ เช่น นิทานก้อม ก็คือนิทานอีสป หรือนิทานเรื่องสั้น เป็นต้น) ....แต่ก็ไม่ได้ก้อมอย่างที่ตั้งใจไว้เลย เอาไว้เดี๋ยวมาเพิ่มเติมดีกว่า ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่บ้าง
Create Date : 13 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 13 กันยายน 2550 9:25:19 น. |
Counter : 756 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
もう、3年目だよう~!
คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย และคุณ ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่กลับมาเยี่ยมบ้าน ไม่ต้องมาชวนผมกลับไปคร้าบ....ผมยังเรียนไม่จบ.....
ผมไม่ได้กลัวหรอกครับ แต่ยังอยากจะเดินตามฝันของตัวเองอยู่ เป้าหมายของชีวิตยังไม่สำเร็จ เอาไว้ถึงเวลาแล้วผมจะตามไปนะคร้าบ รอไปก่อนสัก 40 ปีนะครับ
俺が怖くないよ!
でも、それはじゃまなんだ
行かない。。。絶対行かない

来年のお盆は来ないで....ねっ!
Create Date : 19 สิงหาคม 2550 | | |
Last Update : 19 สิงหาคม 2550 0:31:00 น. |
Counter : 667 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|