|
Dream Destination @ Positano - อ.สีคิ้ว, โคราช
เคยได้ยินชื่อที่พักแถวๆสีคิ้ว ชื่อว่า Positano เมื่อ5-6เดือนที่ผ่านมา
ตอนนั้นพยายามหาข้อมูลที่พักแห่งนี้ แต่ก็แทบหาไม่เจอ เห็นแต่รูป CG (Computer graphic) ในเวปของ Positano
แม้ไม่เห็นรูปถ่ายจริงๆ แต่ก็คิดว่าน่าจะสวย แล้วผมก็มีแพลนจะพาครอบครัวไปเที่ยวประจำปีเหมือนทุกๆปีอยู่แล้วด้วย เลยเล็งๆที่นี่มาหลายเดือนละ
ไปเห็น Positano มาเปิดบูทที่งานไทยเที่ยวไทยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เลยโทรถามคุณพ่อว่าอยากไปพักผ่อนแถบๆภูเขา รับอากาศเย็นๆไม๊ และก็ได้รับไฟเขียวจากคุณพ่อ ทริปพาเที่ยวแบบมีสปอนเซอร์จึงเกิดขึ้น(สปอนเซอร์โดยคุณพ่อผู้น่ารัก) ^^
เมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เริ่มเห็นมี2ท่านมา รีวิวที่พักที่นี่ จึงมั่นใจว่าสวยแน่ ชักอยากไปซะแล้วสิ ... ลองไปชมกันนะครับ ^^

การเดินทางมาที่ Positano
ผมใช้เส้นทาง มาทางถนนมิตรภาพ (วิ่งทางด่วนมาทางดอนเมือง ลงตรงสุดทางด่วน วิ่งตรงมาเรื่อยๆจนถึงแยกสระบุรี ให้เลี้ยวขวาเข้าถนนมิตรภาพ - ระยะทางจากบ้านผม แถวสุขุมวิท มาถึงแยะสระบุรีนี้ก็ประมาณ 100กม พอดี)
พอเลี้ยวขวาจากแยกสระบุรี ให้ตรงลูกเดียว - ตรงมาประมาณ50กม (กม.ที่50 จะถึงทางแยก เพื่อเลี้ยวไปถนนธนะรัชต์ หรือทางขึ้นเขาใหญ่) แต่เราไม่เลี้ยวนะครับ ขับตรงต่อไป - ขับตรงต่อมาประมาณ 30กม จะถึงเขื่อนลำตะคอง ให้ขับไปจนถึง กมที่ 87 จะมีซอยให้เลี้ยวซ้าย (ซอยนี้จะอยู่ตรงข้ามกับซอยที่เข้าไปที่ร้านอาหารและที่พัก สวนเมืองพรอันโด่งดังเลยครับ) เลี้ยวซ้ายไปตามทาง ประมาณ 20กม ก็จะถึง Positano, The Botanical Resort and Residence (มีป้ายบอกตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงครับ)
ระยะทางรวมแล้วประมาณ 207 กม ใช้แวลาประมาณ 2ชม 15นาทีเท่านั้น เราก็จะได้มายื่นอยู่ในที่พักบนยอดเขาแล้ว
แต่ก่อนจะมาที่ Positano ครอบครัวผมขอพักเติมพลังที่ Lex's Steak ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับห้าง Tesco Lotus ตรงทางแยกที่จะเข้าถนนธนะรัชต์ก่อนนะครับ
ร้านนี้ มาที่ไรต้องสั่งไส้กรอกและ steak เนื้อนุ่มๆทุกทีสิน่า
^^

จากถนนมิตรภาพ (กมที่ 87) เราก็เลี้ยวซ้ายมาตามถนน 2เลน ไปอีก 20กม
เส้นทางนี้จะผ่าน สถานีรถไฟคลองไผ่ และ เรือนจำคลองไผ่(ใหญ่มากๆ)
เส้นทางดีครับ มีหลุ่มบ่อนิดๆหน่อยๆเท่านั้น
เจอหมู่วัวออกมาทักทาย

จากถนนใหญ่ (ถนนมิตรภาพ) เข้าซอยมาประมาณ 20กม ก็จะเจอทางเข้า Positano แล้วครับ
ชื่อเต็มๆของเค้าคือ Positano, The Botanical Resort & Residence
ซึ่งจริงๆแล้ว โครงการนี้ สร้างขึ้นมาเพื่อขายบ้านและที่ดิน ซึ่งทุกหลังจะตั้งอยู่บนไหล่เขา (ตามแบบของเมือง Positano ที่ประเทศอิตาลี)
ที่นี่จึงจะมีที่พักแค่ 3หลัง 1. Positano Villa ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา มีห้องอยู่ 3 ห้องคือ 1.1 Pool Front room อยู่ชั้น1 สระว่ายน้ำจะอยู่หน้าห้องเลย ห้องนี้จุดเด่นคือ มีระเบียงหน้าห้องที่กว้างกว่าห้องชั้น 2 และ 3 แต่วิวก็จะไม่สวยเท่าห้องบนๆ 1.2 Valley View room อยู่ที่ชั้น2 1.3 Hilltop room อยู่บนชั้น 3 (ราคาก็แพงสุดตามวิวที่ได้)
ซึ่ง Positano Villa นี้ ก็จะมีแค่หลังเดียว ซึ่งครอบครัวผมไปกัน 7คน ก็เลยยึดทั้ง3ห้องเลย (เหมือนเป็นบ้านส่วนตัวบนยอดเขาเลย)
2. Tuscana House เป็นบ้าน 3ห้องนอน ซึ่งตั้งอยู่ทางตีนเขาด้านล่าง
3. English Cottage ซึ่งเป็นบ้าน 2ชั้น ชั้นล่างจะเป็นส่วนของร้านอาหารและ Coffee shop ส่วนด้านบนจะเห็นห้องพักมี2ห้อง แต่เห็นพนักงานบอกว่าห้องพักทั้ง2ห้องนี้ จะทำเป็นห้องพักพนักงานแทน เพราะลูกค้าอาจไม่ได้รับความสะดวกเวลามีคนมาทานอาหารหรือมาถ่ายรูปร้านด้านล่าง
แต่เห็นมีบ้านเล็กๆอีกหนึ่งหลัง กำลังสร้างอยู่ (ใกล้ๆ ทางเข้า resort เหมือนกัน)
นอกจากนี้ ตอนที่ผมไปเห็นว่ากำลังมีการสร้าง คอกเลี้ยงแกะ และสนามยิงธนู ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณวันที่ 18 ธันวานี้

เข้าไปชมกันเลยครับ
ลองเพ่งดูที่มุมบนซ้ายนะครับ จะเห็นตัวบ้านพัก Positano Villa อยู่บนเขานู้นเลย
เราต้องขับรถใช้เกียร์3หรือ2 (บางจังหวะถึงกะต้องใช้ เกียร์1 เพราะผมไปกัน7คน หนักหน่อย) ค่อยๆไต่ขึ้นไป

จอดรถเสร็จก็จะเห็นภาพนี้

อีกมุมครับ

ก่อนที่จะพาไปชมภายใน ขออนุญาตอธิบาย ลักษณะของบ้าน Positano Villaก่อนนะครับ จะได้เห็นภาพกันออก (ขออนุญาตใช้ภาพที่ถ่ายตอนกลางคืน กลางวันผมลืมถ่ายมุมนี้)
ให้ยึดเสากลางบ้านเป็นหลักนะครับ Villa หลังนี้ถูกแบ่งเป็น 3ชั้น + ชั้นดาดฟ้าอีก1ชั้น และถูกแบ่งฝั่งส่วนรวมซึ่งอยู่ด้านซ้าย และฝั่งห้องพักอยู่ด้านขวาของภาพ
กลางภาพที่ดูเหมือนเสาทึบๆผ่ากลางบ้าน จะเป็นลิฟท์ครับ ทุกชั้นจะมีสะพาน ที่เชื่อมจากส่วนกลางไปยังห้องตามชั้นต่างๆ
ฝั่งด้านขวา จะเห็นว่าเป็นห้องพักทั้ง 3ห้อง (Pool front ชั้น1, Valley view ชั้น 2, และ Hilltop ชั้น3) โดยทั้ง3ห้องมี ขนาดและ layout ที่เหมือนกันแป๊ะเลย คือห้องกว้างประมาณ 53 ตรม. แต่ห้อง Pool front ชั้น 1 จะมีส่วนนั่งเล่นหน้าห้องใหญ่กว่าห้องชั้นบน และจะมีPool อยู่หน้าห้องเลย (ที่เห็นในรูปสีเขียวๆ เป็นสระน้ำหน้าห้องครับ)
ฝั่งซ้ายบ้าง ชั้น1 จะส่วน Lobby ชั้น 2 ที่มีเหมือนห้องยื่นออกมา จะเป็นส่วนของห้องอาหาร มีระเบียงชมวิวด้วย ชั้น 3 จะมีระเบียงด้านนอก ออกมาจัดดินเนอร์ที่นี่ได้ (แต่ตอนผมไป อากาศค่อนข้างหนาวและลมแรง เลยขอทานที่ชั้น2ครับ) ชั้นดาดฟ้า จะมีอ่าง Jacuzzi โดยใช้น้ำอุ่น สามารถนอนแช่ดูดาวตอนกลางคืนได้ครับ พอนึกภาพกันออกไม๊เอ่ย :)

ขอกลับไปโหมดกลางวันบ้าง เดี๋ยวเราเข้าไปเช็คอินที่ Lobby กันก่อนครับ

บริเวณ Lobby (ชั้น 1)


ด้านนอก Lobby จะมีที่นั่งเล่น วิวเมื่อมองออกไปจะเป็นแบบนี้ครับ
(รูปนี้ถ่ายตอนสายๆ มองเห็นหมอกบางๆด้านล่าง)

วิวเต็มๆ มองจาก Lobby ไม่น่าเชื่อว่าขึ้นมาสูงขนาดนี้

ที่ Lobby จะมีแปลงดอกไฮเดนเยียร์ ซึ่งคุณแม่ชอบมาก แต่เห็นพนักงานบอกว่าเป็นไฮเดนเยียร์พันธุ์ไทย เวลาเจออากาศหนาวๆหรือลมแรงๆ ดอกจะร่วง
ที่เห็นก็เลยเหลือโหลงเหลงละ

กลางวันถ้าอยู่ในร่ม มีลมพัดเย็นๆตลอดเลย อุณหภูมิตอนกลางวันประมาณ 24-26องศา ตอนกลางคืนและรุ่งเช้าลดลงเหลือประมาณ 13-15องศาเองครับ

จาก Lobby มองไปทางห้อง Pool front

มองเต็มๆ กับด้านฝั่งขวาของตัวตึก จะเห็นห้องพักทั้ง 3ชั้น จะเห็นว่าพักชั้นล่าง (Pool front) จะมีขนาดของระเบียงกว้างกว่าห้องพักชั้น 2และ3

ขึ้นลิฟต์ไปดูวิวที่ห้อง Hilltop ชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องแพงสุดกันก่อนครับ

ออกจากลิฟต์ เลี้ยวขวา เดินผ่านทางเชื่อมก่อนเข้าห้อง Hilltop มองออกไปจะเห็นวิวแบบนี้ครับ

เข้ามาดูภายในห้องครับ (ในส่วนของรูปภายในห้อง เดี๋ยวขอรวมไปรีวิว ตอนที่เราลงไปดูห้อง Pool front ชั้น 1นะครับ เพราะผมให้ครอบครัวพี่สาวซึ่งมีเด็กเล็กๆ2คน นอนห้องนี้ เพราะเป็นห้องเดียวที่มีเตียงแบบ King Size เตียงใหญ่ หลานๆจะได้นอนได้สะดวกโดยไม่มีร่องเตียงขั้น ส่วนห้องชั้น 1 และ2 จะเป็นเตียง Queen Size 2 เตียงติดกัน)
ลักษนะห้อง layout ต่างๆ เหมือนกันหมดทั้ง3ห้องครับ ขนาดของห้องก็เท่ากันหมดคือ 53 ตรม

จากเตียงนอนห้อง Hilltop มองออกไปจะเห็นวิวแบบนี้ครับ ระเบียงห้องนี้ ด้านนอกจะทำเป็นกระจกนิรภัย2ชั้น จะได้ไม่มีเส้นขอบของรั้วกั้น (ชั้น2 จะเป็นแผงเหล็กกั้น ไม่ได้เป็นกระจกแบบห้องนี้)

จากระเบียง มองไปด้านขวาจะเห็นส่วนของห้องอาหารชั้น2 และส่วน Open air เป็นระเบียงจัดดินเนอร์ได้ที่ ชั้น 3

มองไปด้านซ้ายจะเห็นต้นสน สนามหญ้า และน้ำพุ

ห้องทุกห้อง จะมีกระจกบานใหญ่ มองดูวิวด้านนอกได้แบบนี้

วิวจากห้องนี้ สุดยอดจริงๆ

มองลงไปด้านล่าง จะเห้นสระว่ายน้ำหน้าห้อง Pool front

จากระเบียง มองไปด้านขวาสุดๆจะเห็น ทางเดิน จากส่วนกลางเข้ามาที่ตัวห้องพักในแต่ละชั้น

ย้ายมาดูวิวจากห้อง Valley View ชั้น 2 บ้าง

แม้จะไม่ได้วิวสูงเหมือนห้อง Hilltop แต่ก็สวยสุดๆอยู่ดี
ผมว่าวิวจากห้องพักที่นี่ ดีกว่าที่ Sala Khaoyai ซะอีก (แต่ผมว่าห้องที่ Sala สวยกว่านะ)

จะเห็นส่วนของห้องอาหารยื่นออกมา

เข้ามาดูภายในห้อง Pool front ชั้น1บ้าง (ผมนอนห้องนี้ครับ)

มีโซฟานั่งสบาย มี welcome fruit หลากหลาย
เดี๋ยวเข้าไปดูส่วนของที่แต่งตัว และห้องน้ำ (ทางเข้าอยู่ด้านซ้ายครับ)

ก่อนเข้าห้องน้ำ จะเห็นเครื่องทำกาแฟอยู่ด้านซ้าย (ตู้เย็นอยู่ข้างล่าง)
ตรงกลางเป็นตู้เสื้อผ้า ด้านขวาเป็นประตูเข้าห้องน้ำ

ภายในตู้เสื้อผ้า จะมีผ้าคลุม รองเท้าใส่ในห้อง และ safety box

มองไปทางขวา จะเห็นประตู้เข้าห้องน้ำ หน้าห้องจะมีโต๊ะเครื่องแป้ง

โต๊ะเครื่องแป้งนี้ เปิดมาเป้นกระจก ตู้ โต๊ะทุกอย่างจะบุเป็นหนังจรเข้เทียม ให้ดูหรูหรา

กระจกแต่งหน้า เปิดไฟรอบๆได้ด้วย

เข้าไปดูภายในห้องน้ำกันบ้าง
อ่างล้างหน้าดูด้านซ้าย ห้องอายน้ำแบ rain shower อยู่ด้านขวา ตรงไปจะเป็นส่วน ขับถ่าย มีของผู้ชายด้วย
พื้นห้องน้ำจะเป็นพื้นไม้ครับ ดูสวยงาม แห้งเร็ว และที่สำคัญ ไม่เย็นเท้าด้วย

Rain shower

shower cream, shampoo พร้อม กลิ่นจะคล้ายๆ ดอกมะลิ หอมมากๆครับ
ส่วน Hand soap จะเป็นเม็ดบีทสีแดงๆ ห้อมเหมือนกัน มี Body Lotion ให้ขวดใหญ่ด้วย กลิ่นหอมมากมาย

มีเกลือขัดตัวให้ด้วย (แต่ไม่ได้ใช้เลย)

รองเท้าใส่ในห้อง

มีเครื่องทำกาแฟในห้อง ใส่ผงกาแฟแบบนี้

ตู้ต่างๆ บุหนังจรเข้(เทียม)

มีตัวควบคุมแอร์และไฟต่างๆภายในห้อง สะดวกสบายมากๆ เป็นทั้งนาฬิกาและนาฬิกาปลุก

มี LCD และเครื่องเล่น DVD


วิวจากห้องนอน ห้อง Pool front


อะไรเอ่ย


มาดูวิวหน้าห้อง Pool front บ้าง
แม้ว่าจะไม่มีวิวสูงแบบ Hilltop แต่วิวก็ยังดีอยู่ดี และยังได้พื้นที่ระเบียงหน้าห้องกว้างขึ้นด้วย แถมยังมีวิวสระว่ายน้ำให้ดูสบายตาอีก

แต่อยู่3วัน2คืน ไม่ได้ลงสระเลยครับ อากาศเย็นๆทั้งวัน แถมมีลมพัดตลอดอีก

ระเบียงกว้างขวางหน้าห้อง Pool front

สระว่ายน้ำมีมุมของเด็กด้วยครับ แต่น้ำเย็นมากกก ถ้าเป็นสระน้ำอุ่นก็คงดี

ฝั่งขวาของตัวตึก ซึ่งเป็นห้องพักก็จะมีเท่าที่รีวิวไปนะครับ ทีนี้เรามาดูชั้น2 ฝั่งซ้ายซึ่งเป็นส่วนของห้องอาหารบ้าง
ครอบครัวผมทานอาหารทุกมื้อที่ห้องนี้ครับ
ถ้าห้องพักทั้ง3ห้อง ไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องมาทานที่ห้องนี้อยู่ดีครับ แต่พนักงานจะจัดโต๊ะแยกให้


อาหารเช้าก็ทั่วไปครับ เบคอน แฮม ไข่ต่างๆ มีให้เลือก และเลือกเท่าไหร่ก็ได้

นอกจากลิฟท์ จะใช้บันไดก็ได้ครับ

ห้องอาหารนี้ จะมีเพดานโล่งๆ เห็นชั้น3ได้ และยังมีหลังคากระจกให้แสงลอดเข้ามาได้อีก
ทำให้รู้สึกไม่อึดอัดเลยครับ

จากห้องอาหาร มีระเบียงด้านนอกดูวิวได้

วิวยามเช้า จากระเบียงห้องอาหารชึ้น 2

หันไปดูส่วนที่เป็นห้องพัก


จากห้องอาหารที่ชั้น 2 เดินขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3ครับ

ชั้นนี้ จะเป็นแค่ทางเชื่อมออกไปสู้ ตัวระเบียงด้านนอก ซึ่งเป็นที่ๆสำหรับ dinner ของห้อง Hilltop ได้ด้วย

จากชั้น3 จะมีทางขึ้นไปยัง Heated Jacuzzi ที่อยู่บนดาดฟ้า ซึ่งเป็น Jacuzzi น้ำร้อน แช่ได้แม้เวลาอากาศหนาว
ปกติเค้าคิดค่าบริการนะครับ 1,500 บาทต่อชั่วโมง !!! แต่ถ้าจอง Positano Villa ทั้งหลัง ก็จะได้ใช้ฟรีตลอดเวลา

เป็นอ่าง Jacuzzi ที่มีหลอดไฟใต้น้ำ เปลี่ยนสีได้ถึง 7 สี

บนนี้ จะเห็นวิว 360 องศา

วิวรอบๆ มองจากชึ้นดาดฟ้า Jacuzzi ครับ
จะเห็นถนนทางเข้าโครงการ ตรงกลางด้านล่างจะเป็น บ้านพักอีก2แบบ คือ English Cottage, และ Toscana House
จะเห็นส่วนที่กำลังสร้างอยู่ด้านซ้ายมือ คือคอกแกะและสนามยิงธนู

ลงมาเดินดูรอบ Positano Villa บ้าง




ขับรถมาดูบ้าน Tuscany House บ้างครับ จะเดินก็ได้ครับ แต่มีลิ้นห้อยแน่ๆ

บ้าน Tuscany จะมี 3ห้องนอน เป็นบ้านชั้นเดียว

แต่ไม่ได้เข้าชมนะครับ เห็นพนักงานยุ่งๆเลยไม่อยากกวน

ดูก็น่ารักดี ดูจากภายนอกดูเล็กไปหน่อย
และที่ตั้งของบ้านนี้ก็อยู่บริเวณที่จอดรถหลักของโครงการ



เดี๋ยวเราไปชม English Cottage บ้าง ซึ่งครอบครัวผมมาฝากท้องสำหรับ อาหารกลางวันที่นี่
ที่นี่นอกจากจะเป็นห้องอาหารแล้ว ยังเป็น ร้านกาแฟและเบเกอรี่อีกด้วย

ตามทางเดินจะมีต้นไฮเดนเยียร์เต็มไปหมด


มองย้อนกลับไป ถ้าเพ่งมองด้านบนของรูป (ตรงกลาง) จะเห็นตึกที่พัก Positano villa ลิบๆครับ


ด้านหน้าของ English Cottage จะมีสวนแบบอังกฤษด้วย





มีที่นั่งพักชิวๆ จิบกาแฟ

ทุกวันเสาร์อาทิตย์ ช่วงเวลา 13.00-15.00 จะมีนักร้องมากล่อมเพลงยามจิบกาแฟที่นี่


กำลังทำคอกเลี้ยงแกะและสนามยินธนูครับ
ถ้าใครมาหลังวันที่ 18 ธันวา คงได้เห็นละ




เห็นว่าที่นี่รับ จัดงานแต่ง หรือมาถ่าย pre-wedding ด้วยครับ


เดี๋ยวเราเข้ามาชมด้านในกันบ้าง (เฉพาะส่วนห้องอาหารนะครับ ส่วนที่เป็นห้องพักชั้น2ไม่ได้ไปชม)

มาชมด้านใน English Coffee House บ้าง

การตกแต่งที่สวยงามภายใน


มีขายของกระจุ๊กกระจิ๊กต่างๆด้วย (เทียน ตุ๊กตา สมุดจด อื่นๆ)


ชั้น2 เป็นส่วนของห้องพัก





เรากลับขึ้นไปบนเขา ใกล้กับ Positano Villa จะมีจุดชมวิวดูพระอาทิตย์ตก

พระทิตย์จะตกต้านนี้ (ด้านหลังของ Positano Villa) และพระอาทิตย จะขึ้นที่หน้าห้อง Positano Villa เลย

วิวมองจากห้องนอนว่าดีแล้ว มาเห็นวิวด้านนี่ ดีกว่าอีกอะ
วิวจากหน้าห้องจะเป็นวิว อำเภอสีคิ้ว แต่วิวจากจุดชมวิวนี้จะเป็นฝั่งสระบุรี

จากจุดชมวิวนี้ จะเป็นหน้าผา มองเห็นวิวด้านล่าง สวยมากๆครับ
ถ้าได้นั่งจิบไวน์ที่นี่มองพระอาทิตย์ตกกับคนรู้ใจก็คงดี(แต่คุณแฟนผมดันติดงาน ตามมาไม่ได้ แงแง -_-')

ซูมเข้าไป
เห็นพนักงานบอกว่า ถ้ามาดูวิวที่นี่ตอนกลางคืน แหงนมองฟ้า จะเห็นดาวเต็มฟ้า และถ้ามองลงไปด้านล่างจะเห็น "ดาวบนดิน" เพราะจะเห็นแสงไปจากบ้านข้างล่างระยิบระยับเต็มไปหมด (เดี๋ยวมีให้ชมครับ)


นั่งอาบแสงสวยๆยามเย็น

พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า


ไปชมบรรยากาศยามค่ำบ้างครับ

ตอนกลางคืนยิ่งสวยกว่าตอนกลางวันอีกอะ


หน้าห้อง Pool front









Heated Jacuzzi บนดาดฟ้า ผมลองลงไปแช่น้ำร้อนๆ มีความสุขมาก แต่พอขึ้นมาปุ๊ปสั่นเป็นจ้าวเข้า เพราะอากาศหนาวและลมแรงมากๆ

Jacuzzi มีหลอดไฟใต้น้ำ สามารถเปลี่ยนสีได้7สี ตาลายกันไปทีเดียว


เดินออกไปด้านนอกท่ามกลางลมหนาว

... เพื่อจะไปดู ดาวบนดิน ที่จุดชมวิว ^^
(ถ่ายมาได้แค่นี้ครับ ของจริงสวยกว่านี้มากมาย)

ตื่นตอน 6 โมงเช้า กะจะถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย แต่อากาศปิด มองไม่เห็นไข่ดาวเลยทั้ง 2วัน

เห็นหมอกบางๆด้านล่าง
พนักงานบอกว่าถ้าเป็นปลายฝนต้นหนาว หมอกจะหนามาก จนไม่สามารถมองเห็นบ้าน English cottage และ Tuscany House ด้านล่างได้เลย

ยามเช้าที่จุดชมวิว หมอกบางๆ ท่ามกลาวอากาศ 12-15 องศา






ยามเช้า นี่คือจังหวะเดียว(ไม่เกิน 3นาที)ที่ได้เห็นไข่ดาวออกมาโชว์ตัว

ต้นไม้สวยๆ



ขอลากันด้วยภาพ หมอกบางๆยามเช้า

ข้อดีข้อด้อย (ความคิดเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์ในขณะที่ไปพักห้อง Pool front ครับ)
ข้อดี - ห้องพักแบ่งการใช้งานได้ดี * เตียงนอนสบายมากๆ (ปกติผมเป็นคนหลับยาก แต่นี่หัวถึงหมอนนอนหลับยาวเลยครับ) * ห้องน้ำ ชอบพื้นไม้ครับ เวลาไปที่หนาวๆ เท้าเราเวลาโดนพื้นแล้วไม่ค่อยเย็น * ชอบที่มีกระจกบานใหญ่ มองออกไปเห็นวิวภายนอกได้ชัดเจนและ panorama มากๆ
- วิวหน้าห้อง ผมพักแบบ Pool front แต่ก็ยังรู้สึกว่าวิวที่เห็นเป็นมุมสูง สวยอยู่ดี แถมยังมีพื้นที่ระเบียงหน้าห้องมากกว่าห้องชั้น 2 และ 3 (แต่ห้องชั้น 2 และ 3 ก็จะได้วิวที่ดีขึ้นไปอีก)
- ถ้าเป็นห้อง Hilltop จะมีอาหารเย็นเพิ่มมาให้ และสามารถให้จัด dinner ส่วนตัวที่ระเบียงชั้น 3ได้ (อาหารเย็นที่ให้มี สลัด สปาเก๊ตตี้ และ Chocolate Lava อย่างละที่เท่านั้น)
- ถ้าจอง Positano Villa ทั้งหลัง ก็เหมือนเราได้บ้านทั้งหลังส่วนตัวเลย ทานอาหารก็ทานกันเอง เพราะคนที่พักบ้าน English Cottage และ Tuscany House ไม่สามารถมาใช้ facility ที่ Villa ได้ แถมยังสามารถใช้ Heated Jacuzzi ได้ทั้งวัน (ราคาถ้าจ่ายเอง 1,500 บาทต่อ ชั่งโมง)
- ชอบวิวที่จุดชมวิว สุดยอดไปเลย สวยกว่าหน้าห้องพักอีก
- การบริการ: น้องพนักงานยังดูใหม่อยู่ แต่มีใจบริการเต็มที่ ยิ้มแย้มแจ่มใส ขออะไรได้หมด
ข้อด้อย - อาหาร: ผมว่าคือจุดด้อยของที่นี่และควรปรับปรุงครับ อาหารมีให้เลือกน้อยมาก (ทั้งอาหารฝรั่งและอาหารไทย) รสชาติวันแรกที่ทานอาหารเย็น ไม่ค่อยอร่อยอย่างแรง แต่วันที่2รู้สึกอร่อยขึ้น(ไม่รู้ว่าพ่อครัวคนเดียวกันรึเปล่า) ราคาอาหารก็แพงสวนทางกับคุณภาพมากๆ (spagetthi ประมาณ 220-250, Pork chop 550, salmon steak 700, steakเนื้อ 600-850, มีตับห่านด้วย (แต่ราคา 1,200!!) อาหารไทย อย่างของกินเล่นเช่นป่อเปี๊ยทอด ปีกไก่ทอด 120-150, ผัดกระเพรา หมูกระเทียมก็ 130-150บาท ปริมาณก็ไม่ได้เยอะอะไร *** อยากให้ปรับปรุงเรื่องอาหารมากๆครับ เพราะถ้าราคาแบบโรงแรม 4-5 ดาว เรื่องความอร่อยและปริมาณต้องทำให้ลูกค้าพอใจมากกว่านี้ครับ
- อย่างที่บอกไปว่า อาหารวันแรก ทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็นมาช้ามาก (แม้ว่าผมจะสั่งอาหารเย็นไว้ก่อนเกือบ 2 ชม และสั่งอาหารเช้าไว้ตั้งแต่เย็นวันแรก ก็ยังเสริฟช้ากว่าที่สั่งเกือบ 1 ชม) * ถามพนักงานไป พนักงานก็ขอโทษ บอกว่าย้ายครัวไปด้านล่าง (English Cottage) เวลาจะยกอาหาร ต้องใช้ plastic ซีลจาน และให้รถกอล์ฟทยอยมาส่ง ซึ่งวันแรกรู้สึกว่ารถกอล์ฟแบทหมด เลยช้า * ผมก็งงๆ คิดเอาเองว่า ในเมื่อทั้ง3วันที่ผมเข้าพัก ไม่มีลูกค้าที่ English Cottage และ Tuscany House เลย ทำไมไม่ย้ายครัวมาที่ Positano Villa ด้านบน เพราะที่ Villa นี้ก็มีห้องครับอยู่แล้ว ... เลยกลายเป็นว่า จ่ายเงินแพง แต่เหมือนได้ความสะดวกสบายไม่เต็มที่
- ราคา: ผมซื้อที่งานไทยเที่ยไทยเมื่อเดือนกันยา ในราคา 11,900 บาท ต่อคืน (เป็นราคารวมทั้ง3ห้องที่ Positano Villa แล้ว และเป็นราคาของวันธรรมดา) ซึ่งผมคิดว่าราคารับได้มากๆ เพราะหลังจากนี้ ราคาก็จะอัพขึ้นเรื่อยๆ ... แต่เรื่องคุณภาพของอาหารทำให้ความคุ้มค่ามันลดลงไปเล็กน้อย ถ้าปรับปรุงจุดนี้ได้ ผมว่าที่นี่จะสุดยอดมากๆครับ
สรุปความรู้สึกที่นี่คือ ชอบทุกอย่าง พอใจทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องอาหารครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะครับ
รีวิวนี้คงเป็นรีวิวสุดท้ายของปีแล้วครับ ขอสวัสดีปีใหม่ให้เพื่อนๆทุกคน และครอบครัว มีความสุข สุขภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรงตลอดไปครับ
ลาละครับ ^^
Create Date : 14 ธันวาคม 2553 | | |
Last Update : 14 ธันวาคม 2553 10:26:20 น. |
Counter : 14477 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เวลาหยุดหมุน นาฬิกาหยุดเดินที่ La a Natu ปราณบุรี
เพิ่งกลับมาจากพาครอบครัวและคุณแฟน ไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีครับ ได้มีโอกาสลาพักร้อน 5วัน4คืน เพื่อไปเยือน La a Natu ที่ปราณบุรี พักที่ห้อง Tropical Cottage ทั้ง3หลัง (เพราะไปกัน8คน - ผู้ใหญ่ 6 คน เด็ก2คน)
จุดประสงค์ที่เลือกที่นี่ เพราะพี่สาวอยากไปทะเล และต้องเป็นที่ๆมีหาดทรายให้หลาน2ตัว ซึงอยู่ในวัยกำลังซนเล่นได้ด้วย และคุณพ่อก็อยากได้ที่ๆมีอาหารอร่อย ที่สามารถฝากท้องได้ทุกมื้อโดยที่ไม่ต้องออกไปไหน
ก็เลยมาลงเอยที่ La a Natu ซึ่งมีทั้งห้องพักติดหาด 3หลัง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน มีสนานหญ้าหน้าบ้าน มีหาดทรายให้หลานๆเล่นทรายได้ อาหารและ Bakery (afternoon tea) ที่นี่ก็ขึ้นชื่ออยู่แล้ว

สำหรับที่ตั้ง ของ La a Natu นี้ ตั้งอยู่ที่ปราณบุรี ถ้ามาจากกรุงเทพ ก็ไม่ต้องเข้าตัวเมืองชะอำหรือหัวหิน สามารถขับมาทาง By pass ที่ตรงไปทางประจวบได้เลย
เมื่อถึงปราณบุรีแล้ว ด้านขวามือจะเป็นที่ตั้งของ ค่ายธนะรีชต์ ให้เลยมาอีก 1ไฟแดง จะเจอ Tesco Lotus ให้เลี้ยวซ้ายเข้ามาได้เลย
ตรงไปตามทางประมาณ 4 กม. จะเจอ3แยก ให้เลี้ยวซ้าย เหมือนไป Villa Maroc หรือ Le Bayburi ขับไปจนถึงถนนเลียบชายหาดแล้วให้เลี้ยวขวา เพื่อมุ่งหน้าไปทางเข้ากระโหลก
พอเลยเขากระโหลกไปซัก 3-4กม ก็จะเจอทางเข้า La a Natu ครับ

เข้ามาถึงจะเจอที่จอดรถ (จะเห็นรถ2คันนี้ จอดเด่นเป็นสง่าอยู่)

La a Natu B&B ไม่ใช่ Bed and Breakfast นะครับ แต่เค้าหมายถึง Bed & Bakery เพราะที่นี่ เค้าขึ้นชื่อเรื่อง Afternoon Tea set ที่มีเค๊กสารพัดชนิดทานกับชาอังกฤษยามบ่าย



จอดรถเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีกระดิ่งไม้ให้กดเพื่อเรียกพนักงานนำรถกอล์ฟมารับครับ (lobby จะอยู่ห่างจากที่จอดรถซัก150เมตร)

นี่คือหน้าตาของกระดิ่ง จริงๆไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี มันเหมือนกับกระบอกไม้ พอดึงแล้ว เค้าจะมีสายไฟต่อไปถึงทาง Lobby Lobby จะรู้ว่ามีแขกมาพักและต้องการให้นำรถกอล์ฟมารับ

แล้วรถกอล์ฟก็พาเรามาถึงที่นี่ จะมีหนักงานมาคอยรับกระเป๋า และพาเราขึ้นสะพานไม้ไผ่ไปที่ Lobby ซึ่งอยู่ชั้น2

ที่นี่มีจุดให้ถ่ายรูปเพียบ มีกองฟาง และหุ่นไล่กาด้วย

ก่อนจะเดินขึ้นสะพานไม้ไผ่เพื่อไป check in
จะเจอรถคันนี้จอดอยู่ เท่ห์มากๆ
เห็นพนักงานบอกว่า เจ้าของขับคันนี้เข้าตัวเมืองหัวหินด้วย!!! ขับได้ไงอะ ตั้งเกือบ 40กม. ไอ้เราก็นึกว่าคันนี้มีไว้โชว์เฉยๆ :)




ที่เสียบร่มเก๋ไก๋มากๆ

เดินขึ้นสะพานไม้ไผ่ไป check in ที่ lobby กัน

เดินสะพานไม้ไผ่อันยาวไกลไปเรื่อยๆ...

... จะเจอกับ Lobby อันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่

ระหว่างทางเดินไป Lobby จะมีดอกปีป ส่งกลิ่นหอมหวนมากมาย

Lobby จะอยู่ที่ชั้น2 ส่วนด้านซ้ายมือ จะเป็นสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ชั้น3ครับ



ภายใน Lobby สร้างได้อลังการมากๆ โดยเฉพาะหลังคา ที่ทำเป็นเหมือนยุ้งข้าว


มีตุ๊กตาควายน้อยด้วย

เดินตรงออกจาก Lobby ก็จะเห็นทางขึ้นไปยังสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ชั้น3
ติดกัน จะเป็นประตูทางเข้าห้อง Type Beach front Pool Villa และ Beach front Suite - Beach front Pool Villa มี1ห้อง ชื่อห้อง Vanilla Suite (มีสระว่ายน้ำอยู่ชั้นล่างของห้อง) - Beach front Suite จะมี2ห้อง คือห้อง Nutmeg และ Cinnamon (ไม่มีสระว่ายน้ำ แต่จะมีอ่างแช่ดูวิวทะเลแทน) ทั้ง3ห้องนี้ จะมีลักษณะเป็น ตัวตึก 2ชั้น (เหมือนห้องแถวครับ)
ส่วนโตะตัวนี้เป็นโต๊ะประจำของครอบครัวผม ทั้งอาหารเช้า กลางวัน เย็น เป็นโต๊ะที่ทำจากไม้แผ่นเดียวเลย และหนามากด้วย!! ครอบครัวผม 8 คนเลยนั่งกันอย่างสบาย
ด้านขวามือสุดคือทางลงไปยังชายหาด และห้อง type Beach front villa หรือ Tropical Cottage (ชื่อห้องคือ ใบมะกรูด ตะใคร้ และต้นหอม)


ถึงเวลาที่รอคอยครับ พักเหนื่อยทานชา Earl Gray กันก่อน (Afternoon Tea set)

ชุด Afternoon Tea อันโด่งดังของที่นี่

จะมีของว่างให้ 6ชนิดคือ 1. แซนวิชชีส 2. เค้ก chocolate หน้านิ่ม 3. chocolate Brownie 4. เค้ก carrot 5. Panacotta 6. Scone ทานกับซ้อส ราสเบอร์รี่ และวิปครีมนุ่มๆ
อร่อยเหาะทุกอย่างครับ คอนเฟิร์ม!!

Afternoon Tea set นี้ราคา 350++ แต่เนื่องจากซื้อเป็น Package จากงานไทยเที่ยวไทยตั้งแต่เดือนมีนา Afternoon Tea set แบบนี้ได้ทานฟรีทั้ง4วันเลยครับ!!!
กินกันจนเอียนกันไปข้าง

อิ่มแล้วก็ ไปเดินเล่นกันที่ชั้น3 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้าที่มีสระว่ายน้ำครับ

วิวด้านบนจะเป็นแบบนี้

หันไปมองด้านวิวทะเลบ้าง

มองไปตรงๆ จะเห็นหลังคาของห้อง Vanilla, Nutmeg, Cinnamon


เราสามารถเกาะขอบสระแล้วมองไปทาง บ้านแบบ Tropical Village ได้
(ขอสรุปก่อนนะครับ ว่าที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 10 ห้องเท่านั้น คือ...) 1. Beach Front Pool Villa 1 ห้อง (ชื่อห้อง Vanilla) 2. Beach Front Villa 2 ห้อง (Nutmeg, Cinnamon) ... 3ห้องแรกนี้ เป็นตัวตึกเห็นวิวชายทะเลเลย) 3. Tropical Cottage Beach Front Villa 3 ห้อง (ใบมะกรูด, ตะไคร้, ต้นหอม) --> ครอบครัวผมอยู่ห้อง Type นี้ 4. Tropical Village Garden Villa (เป็นห้องที่อยู่กลางแปลงนา ไม่ได้ติดทะเล) มี 4 ห้อง คือ ข้าวเหนียว, ข้าวฟ่าง, ข้าวตอก, ข้าวเม่า (ข้าวเม่าเป็นหลังใหญ่มี 2 ห้องนอน)


บรรยากาศดีจริงๆครับ ครอบครัวสุขสันต์มากๆ ^_^

เดินลงไปชมห้องติดชายหาดบ้าง

จาก Lobby เดินลงมาตามบันได จะเจอสนามหญ้าเขียวๆ สดชื่นมากครับ (ด้านขวาจะเป็นห้อง Vanilla, Nutmeg, Cinnamon ที่กล่าวไป)
ส่วนห้อง Tropical Cottage Beach Front Villa ที่ครอบครัวของผมพัก (ใบมะกรูด, ตะไคร้, ต้นหอม) จะอยู่ด้านซ้าย ถ้าหันหน้าไปทางบันไดตามรูปนี้

ห้องต้นหอม (ห้องซ้ายสุด) จะเป็นห้องที่อยู่ติดกับทะเลมากที่สุดใน La a Natu วิวจะดีมากๆครับ

จะสังเกตุได้ว่าห้องต้นหอมจะอยู่ยื่นมาด้านหน้าติดทะเลมากกว่าอีก 2ห้อง

บรรยากาศหน้าห้อง ชอบที่มีสนามหญ้าเขียวๆ





หันหน้าออกไปทางทะเลบ้าง






เปิดเข้าไปดูภายในห้องกันครับ ห้องนี้ จะแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ 1. ส่วนห้องนั่งเล่น (ตามที่เห็นในรูปครับ) 2. ห้องนอน (อยู่ด้านขวาของรูป) 3. ห้องน้ำ (อยู่ด้านซ้ายของรูป) 4. อ่างอาบน้ำ out door ท่ามกลางแสงจันทร์ (มองตรงไปในรูปเลยครับ ต้องเปิดประตูออกไปก่อน)

มองไปด้านขวา จะเห็นส่วนของห้องนอนครับ

ห้องนอนค่อนข้างเล็ก แต่ก็ลงตัวครับ เตียงนอนสบายมาก

มองไปทางซ้ายจะเป็นส่วนของห้องน้ำบ้าง (ชอบไฟด้านบนของห้องนั่งเล่น เค้านำที่ดักปลามาทำเป็น โคมไฟ)

ภายในห้องน้ำก็จะแบ่งเป็น 3 ส่วนย่อยๆอีก - ห้องน้ำหลัก (มีอ่างล้างหน้า แต่อ่างเดียวนะครับ) มีตู้เสื้อผ้า (แต่ไม่มี Safety box ให้) - ห้องสุขาแบบมีสายชำระ - ห้องอาบน้ำ (เป็นแบบ rain shower ที่อยู่ outdoor มองฟ้าได้)

ห้องสุขา

ประตูทุกบานจะมีการลงกรณ์แบบนี้ ดูไทยๆดีครับ

เปิดมายังห้อง อาบน้ำ rain shower บ้างครับ ดูเหมือนกำลังอาบน้ำในอุโมงดี

มองเห็นท้องฟ้าเลยครับ

จะมี shower cream และ Shampoo กลิ่น ธรรมชาติ ซึ่งใส่อยู่ในโถที่ทำจากหินอ่อน (ต้องระวังตกแตกด้วยนะครับ)


มองกลับเข้าไปในส่วนห้องน้ำ

ไฟในห้องน้ำ ทำเลียนแบบโคมไฟ แต่ผมรู้สึกว่าไฟน้อยไปหน่อย กลางคืนจะดูสลัวๆ

กลับมาที่ห้องรับแขก เปิดประตูด้านหลังออกไปดูอ่างแช่แบบ out door บ้างครับ

หน้าตาเป็นแบบนี้ (แต่ให้สังเกตุครับว่า รั้วรอบๆ ทำจากไม้ไผ่ซี่เล็ก ซึ่งคนมองลอดเข้ามาได้ครับ ยิ่งตอนกลางคืนถ้าเปิดไฟละก็ จุ๊กกรูกันเรยทีเดียว)


ในห้องจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกคือ - กระติกน้ำร้อน - น้ำเปล่าให้ถึง 8 ขวดต่อวัน (มากที่สุดเท่าที่เคยไปเที่ยวมาเลยครับ) - กาแฟ ชา แบบถุง - ตู้เย็น

- LCD TV - DVD Player

รองเท้าแตะของทาง La a Natu ครับ

ตอนหัวค่ำมา turn down ให้ และนำตุ๊กตาควายน้อยมาให้กอดตอนนอนด้วย น่ารักมากๆ

ไปชมบรรยากาศตอนกลางคืนบ้างครับ




Lobby อลังการงานสร้างมาก

เราสามารถมองเห็นห้อง Type Tropical Village (ห้องกลางนา) ได้จากสะพานที่เชื่อมมาจาก Lobby

ชอบห้องน้ำที่ Lobby นี่มากๆ สีสันสดใส :)

หน้าห้อง Tropical Cottage Beach front



ตื่นเช้ามา เห็นแสงแดดอ่อนๆ

วิวด้านนอกจะเป็นไงน้า ...

เปิดประตูไม้บานเลื่อนออก ก็จะเห็นวิวนี้ครับ :)

ชงกาแฟหอมกรุ่นยามเช้า สุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ^_^
ปล. กาแฟที่ใช้เป็นกาแฟบดแบบถุงแช่ หอมมากๆครับ

อยากจะบอกว่า อาหารเช้าที่นี่ แม้ไม่ใช่แบบบุฟเฟ่ เพราะเค้าจะมี list ให้ติ๊กว่าต้องการอะไรบ้าง แต่ว่าสามารถเลือกทั้งหมดก็ได้ (ถ้าคุณทานหมด) และที่สำคัญอร่อยทุกอย่างเลย
สิ่งที่มีให้เลือก (จริงๆก็เลือกทุกอย่างได้เลย) คือ 1. น้ำส้มคั้น นม ชา กาแฟ 2. สลัด ผลไม้ Cereal 3. เมนูไข่ต่างๆ 4. แฮม เบคอน ไส้กรอก (ขอบอกว่าใส้กรอกไก่ อร่อยสุดๆ) 5. เมนูข้าวต่างๆ (ข้าวต้มต่างๆ ข้าวหมู/ไก่กระเทียม และอื่นๆอีกมากมาย) 6. หลากหลายขนมปัง (สมกับเป็น Bed & Bakery) ยังมีอื่นๆอีก แต่ผมจำได้ไม่หมดครับ

ข้าวหมูกระเทียมอร่อยมากมาย

แสงแดดยามเช้าช่างอบอุ่น :)


อิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นกันครับ พนังงานใจดีพาไปชมห้อง Cinnamon (Beach Front Villa) - ห้องตรงกลาง Vanilla (Beach Front Pool Villa) - ห้องขวาสุด

ห้องนี้ห้อง Cinnamon ครับ

ห้องนี้จะมีชุดเครื่องเสียงด้วย (ห้องที่ผมพักไม่มีอะ)

ห้องนี้จะมีอ่าง Jacuzziด้วย

และพนักงานยังใจดีต่อไป พาไปชมห้อง Vanilla (Beach Front Pool Villa) ซึ่งเป็นห้องที่แพงที่สุดของ La a Natu ครับ

มีสระว่ายนำส่วนตัวดูวิวทะเลได้ ตอนแรกนึกว่าสระเล็กๆ แต่ที่ไหนได้ ใหญ่ใช้ได้ครับ

ด้านข้างๆยังมีอ่าง Jacuzzi ใหญ่มากๆอีกด้วย


ลงบันไดจาก Lobby ไปดูที่ชั้นล่างบ้างครับ ชั้นล่างนี้ ถ้ามีแขกมาพักมากๆ ก็จะจัดอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ที่นี่

มีโต๊ะที่ทำจากไม้แผ่นเดียวอีก1ตัว ชอบเพดานที่นำไม้ไผ่มาสาน ทำเป็นฝ้าเพดาน เก๋ดี

มีจักรยานโบราณกะสุ่มไก่ด้วย

จากชั้นล่างนี้ จะมีทางเดินไปยังตัวบ้าน Tropical Village Garden villa ทั้ง 4 หลังได้ (ชื่อบ้านคือ ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวตอก และข้าวเม่า)

บรรยากาศรอบๆ ที่เห็นนี่ไม่ใช่ต้นข้าวนะครับ เค้านำต้นชนิดนึงมาปลูกแทน (คล้ายๆหญ้าคา)
เข้าใจว่า ปลูกข้าวยาก ไม่ค่อยทน







มุมสูงกันบ้าง

กลับมาเดินเล่นที่สนามหน้าห้อง เห็นวิวเขาสามร้อยยอดอยู่ไม่ไกล

มีหาดทรายกว้างมากๆ น้ำทะเลก็ค่อยๆลาดลงไป เล่นน้ำสนุก หาดนี้ยาวประมาณกิโลกว่าๆ และมี La a Natu ตั้งอยู่แห่งเดียว จึงมีความเป็นส่วนตัวมากๆ
(ไม่ต้องหวงเรื่อง security นะครับ พนักงานบอกว่าที่นี่มีกล้องวงจรปิดกว่า 30ตัวดูแลทั้งรอบๆที่พักและที่ชายหาด)



รู้สึกสงบมากๆเมื่ออยู่ที่นี่

^_^
ชอบม้านั่งตัวนี้


สรุปข้อดีข้อด้อยนะครับ (ความคิดเห้นส่วนตัวนะครับ)
ข้อดี - ห้องพักแบ่ง function การใช้งานได้ดี ห้องนั่งเล่นสามารถมองวิวเห็นทะเลได้เต็มๆ - บ้าน Tropical Cottage จะมีสนามหน้าบ้าน ที่กว้างกว่าห้องแบบ Beach front villa (ที่เป็นตัวตึก) ห้องต้นหอมจะอยู่ใกล้ชิดทะเลและมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด - วิวคือจุดเด่นของที่นี่เลย แถมมีหาดทรายที่กว้าง และเงียบสงบกว่าหาดตรง Villa Maroc - พนักงานเอาใจใส่ น่ารักมาก (ขอชมเชยพนักงานชื่อพี่เอ๋เป็นการส่วนตัว มีใจบริการเป็นเลิศมากครับ) - อาหารอร่อยสุดๆทุกมื้อ อาหารเช้ามีให้เลือกหลากหลาย และเลือกทานเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มีกั๊ก - Afternoon Tea set คืออะไรที่ต้องลองครับ อร่อยและจำนวนที่ให้ก็กำลังดี - ราคา สำหรับผมที่ได้มาจากงานไทยเที่ยวไทยถือว่าคุ้มมากๆ (ตกแล้วห้องละ 4,387 บาทต่อคืน แถม afternoon tea set ให้อีก 4วัน และแถมdinnerสำหรับทุกคนอีก 2วัน) คุ้มสุดๆครับ (อาจเป็นเพราะว่าจอง3ห้อง สำหรับ 4คืน เลยได้ deal ที่ดี)
ข้อด้อย - หลักๆมีเรื่องเดียวคือมีแมลงเยอะมากๆครับ แมลงจะมาตอนค่ำเวลาเราเปิดไฟ จะสามารถลอดเข้ามาในห้องรับแขกได้ กวาดกันจนเมื่อยเลย - ในห้องน้ำก็จะมีกิ้งกือเยอะหน่อย บางที่ก็มีกบเขียด (แต่ผมก็มองว่าที่นี่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ เพราะพื้นข้างใต้เป็นดิน แถมมีสนามหญ้าและต้นไม้เยอะด้วย) - ไปในห้อง Tropical cottage ดูจะสลัวไปหน่อย ถ้าจะอ่านหนังสือตอนกลางคืนก็ต้องเพ่งกันเลยที่เดียว - น่าจะสามารถรับสัญญาน wifi ในห้องพักได้ (ผมต้องนำ notebook ไปใช้ที่ Lobby แทน)
หมดแล้วครับสำหรับรีวิว La a Natu ที่ซึ่งเคยถ่ายทำละครเรื่องใจร้าวเมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมา (เคน ธีรเดช เล่นกับ แอ๊ฟ ทักษอร)
คิวว่าคงมีประโยชน์สำหรับผู้ทีมองหาที่พักที่ปราณนะครับ เป็นอีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยากไปพักผ่อนเงียบๆ charge battery จริงๆ
^_^
Create Date : 28 พฤศจิกายน 2553 | | |
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2553 20:39:57 น. |
Counter : 12250 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|