4 เดินเที่ยวที่อุลาบาตอร์
วันที่3 กันยายน 2554
อากาศสดใส แสงแดดจัด
ภายในรถไฟ ประเทศมองโกเลีย
อาการปวดเมื่อยปรากฎขึ้นทุกครั้งที่เราขยับตัว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะขี่ม้าผิดท่าหรือเดินทางไกลเมื่อวานแต่เรากลับสุขใจอย่างประหลาด สุขใจที่ว่ามีหลักฐานของการออกเดินทางปรากฎขึ้นบนกล้ามเนื้อมัดขี้เกียจของเรา ประโยคที่ว่า ประสบการณ์จะหล่อหลอมให้เราแข็งแรงขึ้น คงไม่ใช่แค่คำเปรียบเทียบเพียงอย่างเดียว
ก่อนเวลาอาหารเช้ามาถึง เราออกเดินทางรอบเล็กๆบริเวณใกล้ๆกับที่พัก
เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้วแต่ตัวเมืองยังเงียบเหงาอยู่เลย นานๆครั้งจะมีรถยนต์ผ่านมาสักคัน รวมทั้งผู้คนก็น้อยด้วย เดินไปสักพักก็มีชายอายุประมาณ๔๐ตะโกนโหวกเหวก เห็นมาแต่ไกล รวมทั้งได้กลิ่นแอลกอฮอด้วย อ้อ..เรานึกขึ้นได้ว่าเป็นเช้าวันเสาร์นี่เอง
พูดถึงคืนวันศุกร์ คืนวันศุกร์น่าจะเป็นคืนหนึ่งที่สนุกที่สุดในรอบสัปดาร์หของผู้คนทั่วไป วันสุดท้ายของการทำงาน ผู้คนออกไปเฉลิมฉลองให้กับวันหยุดที่จะมาถึง บางคนก็ออกมาทานอาหารราคาแพงในภัตรคารนอกบ้าน บ้างก็ออกไปดื่มเหล้าเต้นรำบ้างก็แค่ดื่มสังสรรค์พูดคุยมีบทสนทนาดีๆกับเพื่อน
หรือบางครั้งก็แค่พักผ่อนดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ส่วนกิจกรรมเพื่อความบันเทิงของชาวมองโกเลียน เรายังไม่เคยได้สัมผัสโดยตรง แต่เท่าที่เราเดินผ่านไปมา พบว่ามีคาราโอเกะบาร์อยู่มากตามถนน มีผับอยู่พอตัว
วันนี้เราตั้งใจจะเดินทางไปดูโครงกระดูกไดโนเสาร์ ซากแห่งความยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่ครั้งหนึ่งของสัตว์เลื้อยคลานไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่าจะเจอในมองโกเลียเลย และในตอนแรกเราก็ไม่มีความสนใจด้วย แต่บูก้าเคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่าโลกได้ค้นพบซากของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ครั้งแรกที่ทะเลทรายโกบี ประเทศมองโกเลียนนี่เอง พอได้ฟังจบเราก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งประเทศมองโกเลีย Natural Musuem ซึ่งศึกษาสัตว์ในประเทศซึ่งมีทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลี้ยคลาน ครึ่งบกครึ่งน้ำ ปลา และแมลง รวมถึงสิ่งที่ทำให้พิพิธภัณฑ์นี้โดงดังจน Discovery Channel เข้ามาถ่ายทำ ก็คือฟอสซิว หรือโครงกระดูกของไดโนเสาร์และโครงกระดูกยักษ์ของเจ้าไดนอซอรัส ไดโนเสาร์กินเนื้อพันธุ์ใหญ่ที่น่าจะเป็นพันธุ์ที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งต่อไปนี้เราขอตั้งชื่อเจ้าแหลม (เพราะฟันมันยังดูแหลมอยู่เลย)
โครงกระดูกของเจ้าแหลมนี้ใหญ่ประมาณตึก๒-๓ชั้น แม้แต่โครงหัวกระโหลกก็ดูรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นสัตว์ดุร้ายน่ากลัวเป็นเจ้าถิ่นที่คร่าชีวิตของสัตว์อื่นๆเป็นอาหาร เป็นเจ้าถิ่นที่ใครๆก็ต้องหลบหนีเมื่อเห็น ด้านซ้ายมือของเจ้าแหลม มีอุ้งเล็บมือของไดนอซอรัสอีกคู่หนึ่ง ซึ่งศึกษาและเชื่อว่าน่าจะมีขนาดใหญ่กว่าเจ้าแหลมหลายเท่า มองกลับไปที่อุ้งเล็บมือของเจ้าแหลมพบว่าดูเล็กไปขนัดตา น่าจะต่างกันประมาณ๑๕-๒๐เท่าได้ (เราเดาเองล้วนๆ) นั่นแปลว่าถ้าถ้าโครงกระดูกของเจ้าของอุ้งเล็บถูกพบแล้วจะมีขนาดใหญ่เท่ากับตึก๓๐ถึง๔๐ชั้นเลยทีเดียว (เดาอีกแล้ว)
รวมทั้งพิพิธภัณฑ์นี้ยังมีหัวกระโหลก โครงกระดูก และไข่ของไดโนเสาพันธุ์อื่นๆอีกด้วย สิ่งที่เรามองเห็นและติดตามากที่สุดคือโครงกระดูกฟอสซิ่วของลูกไดโนเสาร์รังหนึ่ง นับแล้วน่าจะมีประมาณ๖-๘ตัวได้ เหตุผลที่เราจำติดตาเป็นเพราะจุดที่โครงกระดูกทับรวมกันมีอยู่ด้านเดียว พอมองแล้วเราก็จิตนาการนึกถึงวันสุดท้ายของเจ้าไดโนเสาร์พวกนี้
เรานึกขึ้นมาได้ถึงภาพวิวัตนาการณ์ของสิ่งมีชีวิตเลี้ยงลูกด้วยนม เจ้าสิ่งที่หน้าตาน่ารัก กินพืชและแลดูแล้วปารศจากความดุร้ายที่เราเห็นทุกวันนี้ (เช่นแพะหรือหมู) ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัตว์นักล่าที่ดุร้ายมาก่อนในโลกหลายล้านปีก่อน แล้วสิ่งสำคัญของความอยู่รอดคืออะไร? ความยิ่งใหญ่ ความรวดเร็ว ขนาดของประชากร หรือความสามารถในการปรับตัว? ในบางครั้งเราได้อ่าน ได้เห็น ได้ยินเรื่องของบางคนที่ยอมสละชีวิตดีกว่ายอมเสียศักดิ์ศรี ยอมตายดีกว่ายอมแพ้ตกเป็นเบี้ย อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญกันแน่? ศักดิ์ศรีหรือความอยู่รอด?