7. เสียงสะท้อนจากทะเลสาบไบคา
วันที่ 6 กันยายน 2554 อากาศหนาว มีเมฆมาก
ทะเลสาบไปคา
ทะเลสาปไบคาเป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก มีปริมาณของน้ำสะอาดที่ไม่ได้เป็นน้ำแข็งอยู่มากที่สุดในโลก และแน่นอนว่าทะเลสาปแห่งนี้ยังสวยสะพรั่งอีกด้วย
รถที่นำเราไปยังทะเลสาปไบคาเป็นรถตู้เก่าๆ สนนราคาค่าโดยสาร เป็นเงิน๑๐๐รูเบิ้ล และใช้เวลาประมาณ๑ชั่วโมง รถตู้ขับออกจากท่ารถในเมือง ตัดผ่านเข้าตัวเมือง จากนั้นก้ไม่เห็นบ้านเรือนอีกเลย จากนั้นวิวข้างทาง มีแค่ต้นไม้สูงๆ บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกสงบ ต้นไม้สูงเรียงราย กับถนนที่ทอดยาวลับตา
เช้าวันนี้ท้องฟ้ามีเมฆหนามาก บดบังดวงอาทิตย์ซะจนมิด แทบจะมองไม่เห็นท้องฟ้าสีฟ้าเลย ส่วนตัวทะเลสาปนั้น เวลาที่ไม่ได้รับแสงแดด ก็แลดูไม่ค่อยสดใสนัก ในขณะหนึ่ง ที่เรากำลังจับจ้องมองดูทะเลสาปอยู่นั้น สายลมก็พัดพา เอาก้อนเมฆให้แยกออกจากกันจุดหนึ่ง แล้วบังเกิดรูโหว่กลางกลุ่มเมฆหนาขึ้นมา สำแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องจ้าอยู่ บนกลุ่มเมฆก็ทะลุผ่าน ส่องสาดกระทบกับผิวทะเลสาบ เกิดเป็นจุดประกายสีเงินสว่างจ้าท่ามกลางผืนน้ำสีเขียวอมฟ้า
...ในช่วงเวลาที่มืดมน ถ้าเกิดมีแสงสว่างสาดส่องมา ในยามนั้นแสงสว่างที่เห็น จะดูสวยงามมากกว่า มองเห็นแสงแดดส่องลงมาในทุกที่...
สุดทางถนนบริเวณที่รถจอด ผู้โดยสารทอยลงออกจากรถและแยกย้ายไปกันคนละทางสองท้าง ทิ้งให้เรายืนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ ทางข้างหน้าเห็นเป็นเพียงพื้นถนนและบ้านที่ถูกปล่อยให้รกร้าง บนถนนที่รถจอดเป็นถนนเส้นเล็กๆที่ทอดยาวออกจากตัวเมืองอีสคุกห์ ทางด้านหนึ่งเป็นทะเลสาป อีกด้านหนึ่งเป็นภูเขา
เราเลือกเดินเลี้ยวเข้าไปในถนนเล็กๆสายหนึ่งค่ะ มีรถตู้คันหนึ่งแล่นผ่านเราไป แล้วซักพักก็หยุดและขับถอยหลังย้อนกลับมา คนขับรถเปิดหน้าต่างถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "มีอะไรให้ช่วยมั๊ย?" เราถามว่า โดยปรกติแล้วคนที่มาเที่ยวทะเลสาปเค้าเดินไปตรงจุดไหนกัน คนขับรถผู้ใจดีก็ชี้ไปยังจุดชมวิวต้องเดินย้อนกลับไป ต้องขอบคุณในความมีน้ำใจของเค้า พอรู้ว่าพอจะมีทางเดินไปต่อ เราก็ออกเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับชื่นชมความงามของทะเลสาปที่อยู่ด้านข้าง
บางทีเราก็สามารถเห็นชีวิตของเราผ่านการเดินทางท่องเที่ยวได้เหมือนกันนะ สำหรับทริปวันนั้นมันทำให้เราคิดได้ว่า
...การเดินทางโดยที่ไม่มีแผนการทำให้เรารู้สึกถึงความสูญเสียความควบคุม
...เวลาเดินบนถนนที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง ทำให้มองไม่เห็นด้านหน้า และเมื่อมองไม่เห็นว่าถนนจะนำเราไปไหนแล้ว เราก็รู้สึกกลัวและอยากเดินถอยกลับ เวลาสู้แบบไม่มีความหวัง มันทำให้เราท้อถอย
...การเลือกเดินต่อไปทั้งๆที่ไม่เห็นหนทาง ต้องใช้ความกล้าในใจที่แน่วแน่มากกว่าที่คิด
...บางเราต้องเดินถอยหลังย้อนกลับมาบ้าง ก็เพื่อที่สามารถจะมองเห็นว่าทางที่เราเดินจะนำเราไปสู่จุดหมายที่เราต้องการรึเปล่า
...ยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ ยิ่งไม่ถึงเป้าหมาย เราก็ยิ่งจะถอดใจ
...แต่แม้ถ้าเราเห็นเป้าหมายเพียงเสี้ยวเล็กๆ เราก็มีกำลังใจเดินต่อไปมากทีเดียว
...ยิ่งทางเดินที่แคบและเดินยากมากแค่ไหน เราก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นไม่ให้พลาดหกล้มอันตราย
...และเพราะทางเดินยากๆเนี่ยแหละ เราลืมมองและชื่นชมความสวยงามที่ล้อมอยู่รอบตัวเรา
..เส้นทางที่เราเลือกเดินบางครั้งอาจไกลกว่าความสามารถและเวลาที่เรามี ถ้าอยากไปให้ถึงในเวลาที่มีจำกัดบางครั้งต้องใช้ตัวช่วยบ้าง เช่นเรือหรือรถ
...การเดินคนเดียวเราสามารถควบคุมความต้องการได้ ไม่ว่าจะเดินให้เร็วขึ้นช้าลง หยุดพักเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เราต้องการ
...แต่การมีเพื่อนที่รู้ใจร่วมเดิน ร่วมคุยกับเรานั้นย่อมสนุกกว่า
...บางครั้งก็มีคนแปลกหน้ามาคุยกับเราเหมือนกัน
...แล้วพอเราเห็นเพื่อนร่วมทางคนอื่นเดินอย่างรวดเร็วและมั่นใจเราก็เผลอคิดไปว่าเราควรจะเดินตามคนๆนั้นไปเพราะคิดว่าเขารู้จักเส้นทางดีแต่ลืมคิดไปว่าเขาและเราอาจมีจุดหมายที่ต่างกัน
...เป้าหมายไม่ได้สวยงามมากไปกว่าวิวข้างทางที่บางครั้งเราละเลยที่จะชื่นชม