วันที่5 กันยายน 2554
มีเมฆมาก หนาว และฝนตก
เอียร์ครุกช์ ประเทศรัสเซีย
ในเช้าวันหนึ่ง เราได้ยินเสียงดังแผ่วเข้าโสตประสาท จากนั้นไม่กี่วินาทีก็มีมืออุ่นๆมาจับที่ตัว... เป็นเจ้าหน้าในชุดแดงที่มาไล่ปลุกทุกคนให้ตื่นนี่เอง ตอนนี้เป็นเวลาตี๕.๔๒นาที อีกประมาณสองชั่วโมงรถไฟจะจอดเทียบสถานีอีสคุกห์
เราชอบเจ้าหน้าที่หญิงคนนี้จัง เธออายุประมาณ๔๐ปีน่าจะได้พูดจาเป็นมิตรด้วยภาษารัสเซีย น้ำเสียงฟังแล้วอบอุ่นใจ ทำให้เรานึกย้อนถึง ช่วงเวลาที่แม่ที่ต้องมาปลุกให้ตื่นไปโรงเรียนทุกเช้า เราก็ไม่อยากจะตื่น การไปโรงเรียนหรือจะมาสู้กับที่นอนอุ่นๆและความง่วงได้
บางครั้งการสื่อสารก็แปลกเหมือนกันนะ แม้จะฟังไม่เข้าหัวเลยซักคำ แต่ก็เข้าใจมันด้วยหัวใจอยู่ดี
การออกเดินทางทำให้มุมมองของเรากว้างขวางขึ้นจริงๆ นอกที่เราจะเจอมิตรภาพใหม่ๆแล้ว เรายังได้มีโอกาสเข้าใจวัฒนธรรมที่เราไม่รู้จัก ด้วยมุมมองที่เป็นของเราเอง ซึ่มันก็แตกต่างจากที่ได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมาจากคนอื่นๆ บางครั้งก็ทำเราประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
เราแบกเป้ขึ้นหลัง แล้วเดินออกมาสัมผัสกับอากาศหนาวชื้นและเย็นยะเยือก ด้านนอกสถานีรถไฟ ตอนนั้นเป็นเวลา เจ็ดนาฬิกา ของวันที่ห้า กันยายน ซึ่งเป็นปลายฤดูร้อน ที่กำลังจะเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่อุณหภูมิยามเช้าที่นี่ อยู่ที่6 องศา เพียงแค่นี้เอง เราได้สัมผัสกับความหนาวเย็นแถมไซบีเรียเป็นครั้งแรกในชีวิต
พอออกจากสถานีรถไฟ เราก็มุ่งหน้าไปที่โฮสเทลก่อนเลย และถึงแม้ว่ายังจะไม่ถึงเวลาcheck-in แต่เราวางแผนที่จะไปขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ออกไปเดินที่ยวตัวเมือง จะกลับเข้ามาcheck-in หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จ
แต่แผนก็คือแผนการ เพราะเมื่อเราถึงที่พัก เจ้าหน้าที่ก็ทักทายเราด้วยสีหน้าและรอยยิ้ม เมื่อเธอทราบว่า เราพึ่งลงมาจากรถไฟ เธอก็เสนอชาร้อนๆและน้ำอุ่นๆ เราเลยนั่งพักจิบชาคุยเล่นกับเธอไปจนถึงสิบโมงกว่าๆ ถึงตอนนั้นฟ้าถึงจะเริ่มพึ่งสาง แดดพึ่งจะลับขอบฟ้าออกมา ทำให้อากาศอบอุ่นขึ้นหน่อยนึง
ถ้าพูดถึงความประทับใจแรก ที่เราได้ประสบในประเทศรัสเซีย นั่นก็คือการข้ามถนน การข้ามถนนในประเทศนี้ง่ายดาย และปลอดภัย (กว่าในไทยและจีน) เพราะการขับรถมีวินัย และคำนึงถึงผู้เดินถนนมากกว่าผู้้้ขับขี่
ในเอียร์คุกส์ห (ชื่อเมืองอ่านยากแบบนี้จริงๆนะ) เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงแห่งนึงด้วย เหตุผลหลักๆ ก็น่าจะเป็นเพราะ...
๑. เป็นเมืองที่รถไฟสายทรานไซบีเรียนและทรานมองโกเลียผ่าน
๒. เป็นเมืองหนึ่งที่เชื่อมการเดินทางโดยรถไฟระหว่างมอสโคกับอุลาบาต๊อก
๓. เป็นเมืองท่าที่อยู่ใกล้กับทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
๔. เป็นเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศของชาวรัสเซียผู้ร่ำรวย
ทุกวันนี้สามารถเห็นหลักฐานร่องรอยของความรุ่งเรืองได้จากบ้านไม้เก่าๆที่ครั้งหนึ่งได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี แทรกขึ้นระหว่างตึกที่สร้างขึ้นใหม่อยู่ทั่วบริเวณตัวเมือง
๕. อื่นๆ
ตอนนั้นเราไม่ได้วางแผนเที่ยวเมืองนี้อย่างเป็นกิจลักษณะ เพราะอ่านข้อมูลจากเวปไซด์แล้วเห็นว่า ที่เมืองนี้เป็นเมืองตากอากาศ สิ่งหลักๆก็น่าจะเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนั้นเมืองนี้ เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างที่สวย เราจึงวางแผนว่าจะเดินรอบๆเมือง
ชมบ้านเรือน เดินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบเร่ง รีบร้อน คงเข้ากับคอนเซปของเมืองแห่งนี้มากกว่า
เราเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆตามใจ เข้าถนนนั้นออกซอยนี้ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มันก็สบายใจดี ใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมง เราก็เดินมาบรรจบที่อีกฟากของแม่น้ำ ใกล้ๆกับสะพานเชื่อม มีรูปปั้นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สามตั้งอยู่ พอเห็นรูปปั้น เราก็แอบยิ้มกระหยิ่มใจว่า "สุดยอดเลยเรา!! ขนาดเดินมั่วยังเดินมาถึงรูปปั้นได้" แต่พอเปิดแผนที่ขึ้นมาดูปรากฎว่า เราเดินเป็นวงกลมตังหาก เพราะถ้าเดินตรงๆจากที่พักน่าจะใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง
ข้ามถนนจากฝั่งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สามไป คือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของอีสคุกห์ มองเห็นตึกด้านนอกดูสวยดีเลยเข้าไปดู ตั๋วผ่านเข้าชมราคา๒๐๐รูเบิ้ล สำหรับพิพิธภัณฑ์เล็กๆสองชั้น สนเวลาเดินภายใน๑๕นาที เราก็ว่าราคานี้แพงอยู่ค่ะ
พิพิธภัณฑ์ มีการจัดวาง เรียงร้อยเรื่องราวเล่าได้ดี คือสามารถเราเข้าใจชาวรัสเซียแถบไซบีเรียได้ดีมากขึ้น โดยมีแสดงข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และประวัติของเมือง
เนื่องจากเมืองอีสคุกห์อยู่ใกล้กับมองโกเลีย จึงมีการนับถือศาสนาแบบอิสระ แต่ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ รวมทั้งยังมีเครื่องใช้ข้าวของสมัยราชวงค์รัสเซียยังรุ่งเรือง ชุดการแต่งกายของหญิงชายสมัยโบราณ ซึ่งดูเหมือนกับชุดของเจน ออสตินในหนังที่เคยดูเลย
กลับมาเล่าถึงพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สาม ท่านผู้นี้เป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญต่อทางรถไฟสายทรานไซบีเรียน โดยเป็นบุคลสำคัญตัวเอก ที่ทำให้ทางรถไฟสายนี้ ใช้เวลาสร้างเพียง๑๔ปี
ด้วยระยะทางมากกว่าแปดพันกิโลเมตร (เร็วกว่าบีทีเอสที่กรุงเทพเสียอีก) โดยใช้งบประมาณ ๑พันล้านรูเบิ้ล พอทางรถไฟสร้างเสร็จ ก็ได้สร้างรูปปั้นท่านขึ้น โดยจากจุดที่รูปปั้นตั้งอยู่นั้น สามารถมองไปเห็นสถานีรถไฟที่อยู่อีกฟากนึงของแม่น้ำได้อย่างชัดเจน ก็เหมือนว่าท่าน กำลังมองเห็นสถานทีที่เป็นหัวเรียวหัวแรงสร้างขึ้นมาได้ตลอดเวลา... โรแมนติกดีจัง
เราเดินเล่นตัดไปอีกถนนนึงค่ะ พอเดินไปถึงตลาดว่าชมตลาดซักหน่อย ฝนก็ตกลงเม็ด จากนั้นฝนเย็นๆก็กลายเป็นลูกเห็บตกดังเสียงเปาะแป๊ะ เราเลยหลบไปนั่งทานอาหาร สั่งอาหารมั่วไปมา เลยได้เกี้ยวมาหนึ่งชาม ซึ่งเป็นเกี๊ยวไส้มันฝรั่ง ความรู้สึกคงเหมือนสั่งเบอร์เกอร์ไส้เฟรนฟราย คาโบไฮเดตร สอดใส้คาร์โบไฮเดตร