เราต่างมีกันและกันในสรรพ์สิ่ง
เราต่างอิงองค์อื่นอีกหมื่นหมาย
เราต่างถ้อยธำรงจึงทรงกาย
เราต่างคล้ายเป็นส่วนหนึ่งที่ถึงกัน
หนึ่งหยดน้ำในถ้วยจากพวยกา
อาจหลั่งมาจากหมอกเมฆเฉกสวรรค์
หรืออาจกลั่นจากเลือดเนื้อเชื้อชีวัน
อยู่ที่เธอจะมองมันจากมุมใด
เป็นหนังสือขึ้นหิ้ง .. 'หิ้ง' ในที่นี้หมายถึงชั้นบนสุดของตู้หนังสืออยู่รองมาจากหิ้งพระ .. ชั้นหนังสือที่คนบาปหนาอย่างเรา น้อยครั้งนักจะหยิบขึ้นมาอ่าน แต่ด้วยพอจะมีบุญคอยหนุนนำอยู่บ้าง ชีวิตจึงพอจะมีกัลยณมิตร ที่ช่วยชักนำให้ได้มีโอกาสเข้าวัดเข้าวาหันหน้าเข้าหาธรรมอยู่บ้างเป็นบางครั้งคราว ที่ชั้นบนสุดของหนังสือ จึงเป็นที่รวบรวมหนังสือธรรมมะ หนังสือสาระความคิด ปรุงจิตโลกสวย แนวทางการพัฒนาตนเองน่ะค่ะ หนังสือธรรมมะส่วนใหญ่ได้มาจากการร่วมทำบุญจัดพิมพ์หนังสือ และอีกส่วนใหญ่ได้มาจากเหล่ากัลยณมิตรที่เอื้อเฟื้อให้ธรรมะเป็นทานอยู่มิได้ขาด (ขาดก็แต่ การหยิบมาอ่าน)
แต่เล่มนี้ "จักรวาลในถ้วยชา" ซื้อมาเองนะคะ เพราะปกหนังสือสวยและชื่อที่แปลกชวนค้นหาความหมาย ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยอ่านหนังสือของท่าน ว.วชิรเมธี ดูสักที อย่างเรื่อง "ธรรมะติดปีก" ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีซุกอยู่บนหิ้งด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวจะลองรื้อหาดู
"จักรวาลในถ้วยชา" แม้เป็นเพียงบทกวีหนึ่ง แต่ก็มีที่มาและความหมายที่ให้แง่คิดดีๆ ต่อชีวิต
จากคำสอนของ หลวงปู่ ติช นัท ฮันท์ สู่บทกวีของ ท่าน ว. วชิรเมธี
ชาเกิดจากส่วนผสมที่ไม่ใช่ชา
หากชาเกิดจากชา
ในโลกนี้คงไม่มีชา
แต่เพราะชาเกิดจากส่วนผสมที่ไม่ใช่ชา
เราจึงมีชาอุ่นๆไว้จิบเพื่อดับกระหาย
เธอลองพิจารณาลงไปในถ้วยชา
เธอจะพบว่า
ในถ้วยชานี้มีหมู่เมฆ
มีสายฝน
มีดิน
มีปุ๋ย
มีหยาดเหงื่อของชาวไร่
มีพ่อค้า
มีนายทุน
มีนักการเมือง
มีการขนส่ง
มีอากาศ
มีถ้วยชา
มีคนชงชา และ มีชาอยู่ในถ้วยนี้
เมื่อไรก็ตามที่เธอมองเห็นว่าชาเกิดจากส่วนประกอบที่ไม่ใช่ชา
เมื่อนั้นเธอจะคลายจากความยึดติดในความเป็นกลุ่มก้อน (ขันธ์/สังขาร)
เธอจะเป็นอิสระจากการยึดติดในความจริงเพียงชุดเดียว
ทัศนะของเธอจะเปิดกว้าง และเธอจะมองเห็นความจริงว่า
โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งหมด ล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในชาหนึ่งถ้วย หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เราจะหยั่งถึงอะตอมและจักรวาลว่าล้วนแยกจากกันไม่ออก ความรู้ที่ว่าชาเกิดจากส่วนผสมที่ไม่ใช่ชาทำให้เรารู้จักมองโลกและชีวิตเป็นองค์รวม ทัศนะแบบแยกส่วน ตัดตอน มองอะไรเป็นส่วนๆเสี้ยวๆจะลดน้อยลงไป จิตใจจะเปิดกว้าง
เมื่อใจเปิดกว้าง ความสำคัญมั่นหมายว่า ตัวตนของตนดีเลิศที่สุด ก็จะพลันเบาบางลงไป เมื่อตัวตนของเราเบาบาง ความสดชื่นรื่นเย็น ก็จะสรงโสรจรดจิตใจให้ร่มเย็นอย่างง่ายดาย
link ที่มา : ---> OK Nation "จักรวาลในถ้วยชา-ที่มีทั้งห่วยและเลิศรส"
หนังสือเล่มนี้ คือ หนังสือรวบรวมบทกวีของท่าน ว. วชิรเมธี ลองนับดูก็มีเกือบจะร้อยบท ซึ่งแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๕ ภาค
ภาค ๑ หอมคำหอม เกี่ยวกับเรื่องของ ปณิธานกวี และ การปลูกปัญญา ความสำคัญของภาษา และคุณค่าของการศึกษา (สร้างปัญญา)
ภาค ๒ ความลวง ความจริง กล่าวถึง อวิชชา หน้ากาก และ ความหวัง ชอบภาคนี้เป็นพิเศษ เพราะมีเนื้อหาสะท้อน "ความเสื่อม" ของสังคมทุกวันนี้ ไม่ว่าจะศาสนา การเมือง หรือแม้แต่ค่านิยมบางอย่างในการดำเนินชีวิต
ภาค ๓ เข้าใจโลกโชคชีวิต ดั่งกันและกัน ทันคำคน ฝึกหัดดัดตน มนุษย์บ้างาน และสุขุมชีวิต ให้แง่คิดในการดำรงตนอยู่อย่างพอดี รักษาความดีงาม ไม่เสื่อมไปตามสังคมที่รายล้อมเราอยู่
ภาค ๔ พินิจนิพพาน ภควันต์ กาลเวลา สิ่งสมมติ พระนิพพาน เกี่ยวกับการใช้ธรรมมะนำพาชีวิต
ภาค ๕ ทิพย์ธรรมชาติ ธรรมชาติ ผู้มีพระคุณ สื่อถึงบางสิ่งรอบตัวที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์บทกวี
คือ ความงามของบทกวี นอกจากความสละสลวยของถ้อยคำที่เรียงร้อย ท่านยังรอบรู้ทันเหตุการณ์ รู้โลก รู้ธรรม เป็นพระนักคิด นักเขียน นักเทศน์ ทั้งบุคคลสำคัญของโลก คำโดน คำดี ประโยคเด็ด คำไทย อังกฤษ มีหยิบยกมาใช้ แต่ที่ถูกใจจนจำได้แม่น อย่างเช่น คำว่า Somebody , Practice makes perfect และบทที่เอ่ยถึง เซิร์น แม้แต่ CERN สภาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป ท่านยังเอามาเขียนเป็นบทกวีได้ คิดดูสิ ไม่ธรรมดา
" บทกวีของท่านก็มีทั้งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ครบทุกรูปแบบ คำที่ใช้ก็มีทั้งสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ ต้องอ่านออกเสียง แล้วจะเห็นถึงความเป็นอัจฉริยะทางด้านภาษาไทยของท่านอย่างชัดเจน เนื้อหายิ่งไม่ต้องพูดถึง มีทั้งอ่อนช้อย ซาบซึ้ง สื่อนัยธรรมะ และร้อนแรงดุเด็ดเผ็ดมัน "(ที่มา : คำนำสำนักพิมพ์)
ส่วนตัวเราขอสรุปสั้นๆ เลยแล้วกัน ว่าท่านเป็น "ปราชญ์"
คำนำสำนักพิมพ์แนะนำดีที่ว่าให้อ่านออกเสียง ส่วนตัว .. อาการหนักกว่านั้น คือ อ่านเป็นทำนองเสนาะกันเลยทีเดียว กรณีถ้าเป็น "กลอน" จะเคยคุ้นกับหนังสือกลอนรักวัยรุ่นที่ไม่เข้ากันกับการอ่านเป็นทำนองเสนาะ จึงติดอ่านเป็นร้อยแก้วโดยปกติ แต่กับโครงสี่สุภาพ ถ้าเจอปุ๊บมักจะต้องอ่านเป็นทำนองเสนาะโดยอัตโนมัติไม่ว่าจะอ่านออกเสียงหรือไม่ออกเสียงก็ตาม เพราะฉันทลักษณ์ (ลักษณะบังคับ) ของโคลงสี่สุภาพ มีการบังคับ เอก-โท ถ้าอ่านเป็นร้อยแก้วจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เลย มันไม่ช่ายยย
๐ ๐ ๐ เอก โท ๐ x (๐ ๐) ๐ เอก ๐ ๐ x เอก โท ๐ ๐ เอก ๐ x ๐ เอก (๐ ๐) ๐ เอก ๐ ๐ โท เอก โท ๐ ๐ พอจะจำกันได้ไหมคะ สมัยเรียนตอนเด็กๆ กว่าจะแต่งส่งครูได้สักโคลง ขอบอกว่าเลือดตาแทบกระเด็น กลอนหก-กลอนแปด มันไม่ได้ยากขนาดนี้ แค่แอบปิ๊งรุ่นพี่สักคน หรือ ซาบซึ้งกับเรื่องอะไรสักอย่าง ก็พอจะพรรณาออกมาได้แล้ว เช่น กลอนวันครู วันพ่อ วันแม่ หรือยามที่เพื่อนเราสักคนต้องจากไป (แค่เป็นกลอนสัมผัสคล้องจองธรรมดาที่ออกมาจากความรู้สึกมันก็อินแล้ว อย่าไปว่ากันเรื่องความสละสวยของถ้อยคำ เพราะนั่นเป็นเรื่องของความสามารถ) ส่วนเรื่องการอ่าน .. ต้องขอบคุณวิธีการเรียนการสอนสมัยนั้น เราจะมีฝึกท่องกลอน ท่องอาขยานค่ะ ทุกวันก่อนกลับบ้านก็จะต้องท่องบทใดบทหนึ่งแล้วสวดมนต์ไหว้พระ ทุกวันศุกร์ก็จะต้องมีคาบชั่วโมงจริยธรรม (2 ชม ได้มั้ง) ถ้าไม่เข้าหอประชุม ก็เข้าวัด ทำความสะอาด สวดมนต์ ฟังธรรมเทศนา และฝึกนั่งสมาธิ บทสวดมนต์บางบทเช่น ใส่บาตร ถวายสังฆทาน แผ่เมตตา เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องสวดได้ เช่นเดียวกับการอ่านทำนองเสนาะ ทุกคนจะต้องอ่านเป็น อ่านได้จนชิน (เข้าใจว่างั้นนะ)
ทำนองเสนาะที่เราชอบที่สุด คือ สรภัญญะ ทำนองสำหรับสวดฉันท์ ฉันท์อื่นไม่รู้แต่สวดประจำทุกบ่ายวันศุกร์ในชั่วโมงจริยธรรม คือ คำนมัสการคุณานุคุณห้า ประพันธ์โดย พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ซึ่งประกอบด้วย บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ มาตาปิตุคุณ และอาจาริยคุณ ที่จะขึ้นต้นตามลำดับว่า องค์ใดพระสัมพุทธ ฯ - ธรรมะคือคุณากรฯ - สงฆ์ใดสาวกศาสดาฯ - ข้าขอนบชนกคุณ ชนนีเป็นเค้ามูลฯ - อนึ่งข้าคำนับน้อม ต่อพระครูผู้การุญฯ อา.. ชอบมาก
เราออกแปลกใจที่ครั้งหนึ่งการท่องอาขยานเคยได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เห็นค่าเพียงเพราะว่ามันเป็นการท่องจำ แล้วในปัจจุบันก็เลิกท่องกันไปแล้วใช่ไหมล่ะ ทั้งที่ นั่นมันเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมทางภาษาของชาติเชียวนะ อ่านทุกวัน จำทุกวัน มันคือวิธีของการแทรกซึม ในนักเรียนร้อยคน อาจจะมีใครสักคนที่นึกรักนึกสืบทอด นั่นมันก็น่าจะคุ้มกันอยู่นะ
เคยพยายามจะเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการประกวดอ่านทำนองเสนาะด้วยล่ะค่ะ แต่ไม่ต้องบอกคงพอคาดได้ใช่มั้ยคะว่า "ตก" ตั้งแต่รอบคัดเลือก
เล่มนี้ .."จักรวาลในถ้วยชา" นอกจากจะได้เนื้อหาสาระ คมความคิดเป็นคติเตือนใจแล้ว ยังได้ทบทวนความทรงจำ 'ทำนองเสนาะ' ที่พยายามจะเข้าข้างตัวเองสุดฤทธิ์ว่าไพเราะ (แม้จะตกรอบ อิอิ ) เพลิดเพลินเจริญใจ..และภาคภูมิใจในภาษาของชาติ เอยยย
ยิ่งข้างในเป็นกลอนนี่ยิ่งทำให้อยากมีไว้ครอบครอง
เคยอ่านเล่มอื่นๆ ของท่าน ก็พบว่าท่านเล่าเรื่องเก่งค่ะ ทำเรื่องเข้าใจยากให้เป็นง่าย และเป็นเรื่องน่าสนใจ อ่านไม่เบื่อค่ะ
โดย: polyj 9 พฤษภาคม 2557 1:01:30 น.
แนวนี้ไม่ค่อยได้อ่านเลยค่ะ
มัวแต่อ่านไรอยู่ก็ม่ายรุ
โดย: Prophet.doll Oui+ (Pdจิงกุเบล ) 9 พฤษภาคม 2557 11:18:49 น.
โดย: Sab Zab' 9 พฤษภาคม 2557 22:06:57 น.