"ยินดีต้อนรับสู่ บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ" มีหลายหัวข้อเรื่องให้คุณอ่าน .. ขอบคุณที่มาเยี่ยมบล็อกค่ะ .. ขอจงมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดไปนะคะ
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
20 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 

พุทธศาสนาในทิเบต





พระราชวังโปตาลา ธิเบต




ดินแดนทิเบต มีความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนามากในอดีต พุทธศาสนาในทิเบตมีเอกลักษณ์เฉพาะ คือเป็นการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนานิกายมหายานทั้งจากอินเดียและจีน ได้รับอิทธิพลจากพุทธศานานิกายตันตระของอินเดีย จนเกิดเป็นนิกายวัชรยานขึ้น

ประชาชนใฝ่ธรรมะ เมื่อมีงานบุญ ประชาชนจะเดินทางไปแสวงบุญแม้จะไกลสักเพียงใด ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เห็นอยู่มากมาย แต่เมื่อตกอยู่ในการปกครองของจีนวัดนับพันแห่งทั่วนครลาซา เหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยแห่งในปัจจุบัน จนแทบไม่เหลือความเจริญรุ่งเรืองในอดีต


ลักษณะเฉพาะ

พุทธศาสนาในทิเบตเป็นแบบมหายานเน้นทางวัชรยานและตันตระ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอินเดียเป็นส่วนใหญ่ ภิกษุถือปาติโมกข์ ตามนิกายมูลสรวาสติวาท มีสิกขาบท 253 ข้อ มีความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าต่างจากนิกายเถรวาทคือ นับถือพระธยานิพุทธะ 5 พระองค์

ได้แก่ พระไวโรจนะพุทธะ พระอักโษภยะพุทธะ พระอมิตาภะพุทธะ พระอโมฆสิทธิพุทธะ และพระรัตนสัมภวะพุทธะ นอกจากนี้ยังนับถือพระโพธิสัตว์อีกหลายพระองค์ เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์และพระชายาคือพระนางตารา พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ และพระวัชรปาณิโพธิสัตว์ เป็นต้น

ลักษณะเด่นอื่นๆของพุทธศาสนาในทิเบตได้แก่ ลามะ ตรรกวิภาษ และการปฏิบัติแบบตันตระ

ลามะ

คำว่าลามะหมายถึงอาจารย์ ในการปฏิบัติธรรมในทิเบต ให้ความสำคัญกับอาจารย์มาก โดยความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์มีผลต่อความสำเร็จของศิษย์ในการปฏิบัติตามสายตันตระ โดยถือว่าลามะเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ โดยเมื่อกล่าวสรณคมน์ ศิษย์จะระลึกถึงลามะเป็นที่พึ่งด้วยครับ

ตรรกวิภาษ

เป็นการโต้วาทีทางธรรมโดยใช้หลักตรรกะ เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมในพุทธศาสนาดีขึ้น ขจัดความเห็นผิด วิธีการของตรรกวิภาษจะประกอบด้วยผู้ถามและผู้ตอบ ก่อนเริ่มต้นทั้ง 2 ฝ่ายจะสวดมนต์บูชาพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ที่ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญาจากนั้นจึงเริ่มถามตอบ


การปฏิบัติแบบตันตระ

เป็นการฝึกจิตเพื่อให้จิตอยู่ในสภาวะประภัสสร เพื่อเข้าถึงศูนยตา การปฏิบัติตามแบบตันตระแบ่งเป็น 4 ขั้น คือ

- กริยาตันตระ ให้ความสำคัญกับท่ามุทราต่างๆ และการท่องมนต์

- จรรยาตันตระ ให้ความสำคัญกับท่าทางไปพร้อมๆกับการฝึกจิต เน้นการทำสมาธิ เข้าเงียบ

- โยคะตันตระ เน้นการฝึกภายในมากกว่าท่าทางภายนอก

- อนุตรโยคะตันตระ เน้นการฝึกจิตภายในอย่างเดียว เพื่อเข้าถึงรากฐานของจิตประภัสสร โดยขับพลังหยาบของจิตออกไป ซึ่งจะทำให้เข้าถึงศูนยตาในที่สุด


ยุคเริ่มต้น

ใน พ.ศ.976 พระเจ้าลาโธ โธรี เย็นเซ เป็นกษัตริย์ทิเบตองค์แรกที่นับถือพระพุทธศาสนา ได้รับเครื่องบรรณาการจากตัวแทนชาวอินเดีย โดยนำคัมภีร์พระพุทธศาสนา และพระพุทธรุปเข้ามาในทิเบต ถือว่าเป็นครั้งแรกที่คนทิเบตได้รู้จักกับพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าใดนัก

เพราะชาวทิเบตยังนับถือลัทธิบอนซึ่งมีความเชื่อเรื่องภูติผีปีศาจอยู่มาก ชาวธิเบตเป็นชนชาติที่ชอบสงคราม ไม่มีอารยธรรมชั้นสูงเหมือนชนชาวเขาทั่วไป แต่ด้วยอิทธิพลของพุทธศาสนาจึงทำให้ทิเบตกลายเป็นผู้ใฝ่สันติสุข

และเป็นชาวเขาที่มีอารยธรรมสูงส่ง จนถึงมีอักขระพิเศษเพื่อพระศาสนา โดยนำแบบอย่างมาจากอักษรอินเดีย จากนั้นมา พระพุทธศาสนาจากอินเดียก็เข้าถึงทิเบตครั้งแรกเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 12 และประดิษฐานมั่นคงในพุทธศตวรรษที่ 16


ยุคประวัติศาสตร์

ใน พ.ศ.1173 ถือว่าเป็นยุคประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของทิเบต พระเจ้าซรอนซันกัมโป สนับสนุนให้มีการศึกษาพุทธศาสนาจากคัมภีร์ที่นำเข้ามาตั้งแต่ยุคต้น (พ.ศ.976) พร้อมดำเนินการปฏิรูปศรัทธาทิเบต

ต่อมาประกาศให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ โดยการสนับสนุนของพระมเหสี 2 พระองค์ คือพระนางเหวินเฉิง พระธิดาของกษัตริย์ถังไท้จงแห่งจีน และพระนางภริคุติเทวี พระธิดาของพระเจ้าอัมสุวารมาแห่งเนปาล

ทั้งสองพระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนามหายานอย่างเคร่งครัด จึงได้นำพระพุทธรูปมาด้วยทั้งสองพระองค์ คือเจ้าหญิงเหวินเฉิง นำพระพุทธรูปชื่อโจโว มาประดิษฐานที่วัดซิลลากัง ในกรุงลาซา

และเจ้าหญิงภริคุตเทวีได้นำพระพุทธรูปศากยมุนีที่สำคัญมาประดิษฐานที่วัดราโมเช ซึ่งเป็นวัดหลวง และมีความสำคัญรองเป็นอันดับสองในกรุงลาซา ช่วงนี้ได้มีชาวทิเบตเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปศึกษาในจีน

และพระภิกษุชาวจีนก็มาศึกษาในทิเบต เพื่อแปลพระคัมภีร์และพระสูตรจำนวนมาก ในยุคนี้พระเจ้าซรอนซันกัมโปได้ทรงส่งทูตชื่อ ทอนมี สัมโภตะ ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา แล้วกลับทิเบต

ท่านได้เริ่มงานประดิษฐ์อักษร และเขียนไวยากรณ์สอนชาวทิเบต โดยใช้อักษรพราหมี ที่นิยมใช้กันในกัศมีร์ (แคชเมียร์) และดำเนินงานเผยแผ่พุทธศาสนาทำให้ประชาชนเลื่อมใส นับว่าพุทธศาสนามีบทบาทสำคัญในการทำให้ชาวทิเบตมีวัฒนธรรมด้านภาษา

แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะได้รับความต้านทานจากความเชื่อเดิม การที่ภาษาทิเบตที่มีรากฐานมาจากอินเดียรักษาความหมายในการแปลคัมภีร์พุทธศาสนาสันสกฤตเป็นทิเบตได้ดี หากต้นฉบับสันสกฤตสูญหาย ก็ใช้ต้นฉบับของทิเบตเทียบเคียงของเดิมได้ดีที่สุด


คุรุรินโปเชเผยแผ่หลักธรรม

ใน พ.ศ.1298-1340 กษัตริย์องค์ที่ 5 นับจากพระเจ้าซรอนซันกัมโปได้ไปอาราธนา พระศานตรักษิต ที่เคยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มาเผยแผ่หลักคำสอนอันบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากท่านสอนแต่หลักธรรม แต่ไม่สอนเวทมนตร์คาถา

แต่ชาวทิเบต มีความเชื่อเรื่องอำนาจภูติผีของลัทธิบอน และขณะนั้นเกิดโรคระบาด และภัยธรรมชาติ ทำให้ประชาชนเชื่อว่าท่านนำเหตุการณ์นี้มาด้วย ท่านได้กลับไปอินเดีย

แล้วไปอาราธนา พระปัทมสัมภวะ พระราชโอรสของพระเจ้าอินทรภูมิ แห่งแคว้นอุทยานซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานให้ไปเผยแผ่พุทธศาสนาลัทธิตันตระ ถูกกับอัธยาศัยของประชาชน ท่านมีความชำนาญในเรื่องไสยศาสตร์สามารถปราบปีศาจ และทำให้ภูติผีปีศาจกลับมาสนับสนุนปกป้องพระพุทธศาสนาด้วย

เหตุการณ์จึงสงบประชาชนฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายราชสำนักก็ยอมรับนับถือท่านว่าเป็น คุรุรินโปเช คือพระอาจารย์ใหญ่ของพวกเขา ท่านปัทมสัมภวะได้สร้างวัดในพุทธศาสนาแห่งแรกของทิเบตในนาม วัดสัมเย ตามความเชื่อของอินเดียที่มีเขาพระสุเมรุ อยู่ตรงกลาง

มีอารามอยู่ 4 ทิศ และมีอารามด้านนอกอีกแปดทิศ เป็นสัญลักษณ์ของทีปในจักรวาล มีอีกวัดทางตะวันออก และตะวันตกเฉียงเหนือเป็นสัญลักษณ์พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ในวัดนี้มีห้องสมุด ห้องนั่งสมาธิโดยอาจารย์สอนสมาธิจากจีน

พุทธศาสนาลัทธิตันตระ เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา จนถึง พุทธศตวรรษที่ 16 มีชื่อกำหนดแยกจำเพาะออกไปว่า "นิกายเนียงมา (เนียงมาปะ) หรือนิกายหมวกแดง" ต่อมาพระศานตรักษิต ได้กลับทิเบตเพื่อปฏิบัติศาสนกิจครั้งจนมรณภาพที่นั่น

ท่านได้แปลพระคัมภีร์ และเป็นอุชฌาย์บวชให้แก่ชายหนุ่มทิเบต 5 คน เพื่อวางรากฐานการบวชสายทิเบต ตามพระราชดำริขอพระเจ้าตริสองเดซัน อุปสมบทกรรมที่นั่นมีพระนิกายสรวาทสติวาทร่วมด้วย 12 รูป พระภิกษุ 5 รูป ที่ได้รับการอุปสมบทนั้น

ได้เผยแผ่หลักธรรมประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าอุชฌาย์ คือท่านศานตรักษิตเป็นอนุรักษ์นิยม และมีพระนิกายสรวาทที่มีหลักธรรมเหมือนกับเถรวาทมากที่สุดในบรรดาที่ใช้คัมภีร์สันสกฤต จึงทำให้มีปัญญาชนที่สนใจหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ไม่เจือไสยศาสตร์เข้ามาบวชถึง 300 คน


การร่ายรำชุดดำ

พุทธศาสนาในยุคนี้ได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์ทิเบตเป็นอย่างดี บางองค์เป็นนักปราชญ์รอบรู้พุทธธรรมลึกซึ้ง คือ พระเจ้าเสนาเล ซึ่งทรงสละราชสมบัติออกผนวชเป็นภิกษุ ใน พ.ศ.1357 ได้มีการทำพจนานุกรมภาษาสันสกฤต-ทิเบต และในรัชสมัยของพระเจ้าราลปาเชน (พ.ศ.1359) มีการเขียนประวัติศาสตร์ทิเบตเป็นฉบับแรก

กษัตริย์พระองค์นี้ทรงมีพระราชศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงกับสยายพระเกศารองเป็นอาสนะให้พระสงฆ์นั่งล้อมแสดงธรรมถวายพระองค์ พระสงฆ์ได้รับสิทธิพิเศษเป็นราชครู มีพระรูปหนึ่งมีผู้ถวายอาหารเจ็ดครอบครัว มีการลงโทษผู้ที่ไม่เคารพพระสงฆ์ สุดท้ายมีการลอบปลงพระชนม์

เนื่องจากพระองค์ทรงแต่งตั้งชาวพุทธให้ดำรงตำแหน่งทางการบริหาร หรือสนับสนุนพุทธศาสนาเกินไป จากนั้น พระเจ้าลางทรมาที่ทรงถือลัทธิบอนก็ครองราชย์ พระองค์ทรงตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่อพุทธศาสนาอยู่หลายปี ได้ทำลายวัดวาอารามที่สำคัญสองแห่งในนครลาซา กำจัดพระสงฆ์โดยให้ลาสิกขา

ต่อมามีพระสงฆ์แต่งตัวด้วยชุดดำ ทาม้าสีดำ สวมหมวกสีดำเข้ามาปะปนกับประชาชน ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าลางทรมาสำเร็จ เป็นที่มาของฉากร่ายรำของพระทิเบตเรียกว่า การร่ายรำชุดหมวกดำ ถือว่าสิ้นสุดการทำลายล้างพุทธศาสนา คราวนี้พระสงฆ์ที่หนีภัยกลับทิเบตมีอำนาจเข้มแข็งกว่าเดิม


พระทีปังกรศรีชญาณ (อตีศะ)

ใน พ.ศ.1600 ถือว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนาจากอินเดียเข้าสู่ทิเบตโดยตรง ประดิษฐานมั่นคง เป็นศาสนาประจำชาติครั้งใหญ่สุดท้าย และมีนิกายแตกแยกออกไปมาก โดยมีพระทีปังกรศรีชญาณ หรือ พระอติศะ จากมหาวิทยาลัยวิกรมศาลาในแคว้นพิหาร ได้เข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนาในทิเบต

ชาวทิเบตจึงนับถือพระอตีศะรองจากพระปัทมสัภวะ โดยมีชื่อเรียกว่า "โจโวเจ" ซึ่งมีความหมายว่า ท่านอาจารย์ที่เคารพ คำสอนของท่านเป็นแบบโยคาจารที่ผสมผสานกันระหว่างมหายาน และหินยาน บังคับให้พระสงฆ์ถือพรหมจรรย์ และไม่สนับสนุนไสยศาสตร์


กำเนิดนิกายเกลุก

หลังจากนั้นปลายยุคนี้ ท่านสองขะปะ (พ.ศ.1918) ซึ่งเป็นนักปฏิรูปผู้ยิ่งใหญ่ของทิเบต ได้อาศัยหลักคำสอนนี้แล้วตั้งนิกาย "นิกายเกลุก หรือเกลุกปะ หรือหมวกเหลือง" ขึ้น นิกายนี้องค์ดาไลลามะปัจจุบันสังกัดอยู่ และมีอิทธิพลในภาคกลางของทิเบต

ท่านได้ชำระหลักพุทธธรรมให้บริสุทธิ์จากลัทธิพิธีต่างๆ มีการรวบรวมคัมภีร์ที่ได้แปลแล้วนั้นออกเป็น 2 หมวด คือ พุทธพจน์ 100 เล่ม และอรรถกถา 225 เล่ม คัมภีร์เหล่านี้เรียกว่าพระไตรปิฎก หรือคัมภีร์พระพุทธศาสนาฉบับทิเบต ซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบัน


ยุคมองโกล

ใน พ.ศ.2089-2130 มีกษัตริย์มองโกลนามว่า อัลตัลข่าน ได้พบกับประมุขสงฆ์ของนิกายเกลุกที่ชื่อว่า สอดนัมยาโส แล้วเลื่อมใส เนื่องจากท่านสืบเชื้อสายมาจากนิกายสักยะ และพักโมดรุ ซึ่งเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในทิเบต

มีการดัดแปลงวัดที่นิกายอื่นอ่อนแอในการปกครอง และทิ้งให้ร้างให้เป็นวัดนิกายเกลุก (หมวกเหลือง) นิกายนี้เรียบง่าย เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ชาวบ้านจึงนิยมมาก

อีกอย่างหนึ่งกษัตริย์มองโกลทรงเชื่อว่าประมุขสงฆ์นี้เคยเป้นอาจารย์ของพระองค์ในชาติก่อน เมื่อพระองค์เสวยพระชาติเป็นกุบไลข่าน จึงถวายตำแหล่ง "ทะเล" แต่ทิเบตออกเสียงเป็น "ทะไล" (Dalai) ในความหมายของไทยก็คือทะเลเช่นกัน

(คำว่าทะไลลามะ "ทะไล" เป็นภาษามองโกลแปลว่า ทะเล หรือ กว้างใหญ่ "ลามะ" หมายถึง พระหรือคฤหัสถ์ที่มีความรู้ความชำนาญ แต่ชาวทิเบตนิยมใช้คำว่า "คยาวา ริมโปเช" คือ ชัยรัตนะ)

นับว่าเป็นต้นกำเนิดทะไลลามะครั้งแรก และท่านสอดนัมวังยาโสก็ได้ถวายตำแหน่ง "ธรรมราชาทรงความบริสุทธิ์" แก่อัลตันข่านเป็นการตอบแทน ท่านสอดนัมวังยาโสถือว่าตนเองเป็นทะไลลามะองค์ที่ 3 เพราะท่านได้ถวายตำแหน่งย้อนขึ้นไปแก่อวตารในสองชาติแรกของท่านด้วย

ในขณะที่ท่านมีพระชนม์ชีพท่านได้สร้างวัดพระพุทธรูปหนึ่งพันองค์ ได้เผยแผ่พระศาสนาสู่มองโกเลีย และทิเบตตะวันออกซึ่งเคยเป็นดินแดนอิทธิพลของลัทธิบอน จนท่านได้ตำแหน่งพิเศษจากราชวงศ์หมิงของจีน ถึงยุคทะไลลามะองค์ที่ 4 นิกายหมวกเหลืองก็ยังเจริญรุ่งเรืองเพราะมีทหารมองโกลหนุนหลังอยู่


ยุคทะไลลามะครองอำนาจ

ในยุคของโลซัง กยัตโส ทะไลลามะองค์ที่ 5 (พ.ศ.2158-2223) ชาวมองโกลในทิเบตไม่มีเอกภาพ ทำให้เจ้าเมืองซังอัน ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งของทิเบตชิงบัลลังก์ลาซาไปได้

ทะไลลามะองค์นี้ซึ่งมีมองโกลสนับสนุน จึงขอความช่วยเหลือไปยัง กุชรีข่าน ผู้นำมองโกลให้มายึดอำนาจคืนสำเร็จ และมอบอำนาจการปกครองทิเบตทั้งหมด คือฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักรให้แก่ทะไลลามะ และเป็นครั้งแรกที่ทะไลลามะได้อำนาจสูงสุดทั้งหมด

จากนั้นท่านก็ได้ย้ายที่ประทับที่พระราชวังโปตาลา นครลาซา ชาวทิเบตมีความเชื่อว่าทะไลลามะเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์ผู้กรุณา และเชื่อว่าปันเชนลามะ ผู้มีอำนาจรองจากทะไลลามะเป็นอวตารของพระอมิตาภะ

แต่ทะไลลามะนั่งสมาธิแบบเนียงมา พลอยทำให้นิกายเนียงมาเจริญไปด้วย แต่นิกายโจนังหลังจากท่านตารนาถ ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์มีชื่อเสียงแล้วถูกยึดวัดทั้งหมด ถือว่านิกายเกลุกพัฒนารุ่งเรืองตามคำสอนของพระนาครชุน พระอสังคะ เป็นต้น

แม้ลัทธิบอนก็ยังนำไปพัฒนาตนเองของตนเอง จนทะไลลามะสวรรคต ชาวทิเบตจึงถวายพระนามว่า "มหาปัญจะ" เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แม้พระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้วยังมีผู้อ้างว่า ทะไลลามะเสด็จเข้าสมาธิระยะยาว แล้วสำเร็จราชการแทนพระองค์

โดยปิดข่าวการสวรรคตนานถึง 13 ปี เพื่องานฟื้นฟูวังโปตาลาต่อไป จากนั้นมีการแต่งตั้งทะไลลามะองค์ที่ 6 แต่พระองค์โปรดการแต่งกวี และสนใจผู้หญิง ไม่สนใจบริหารประเทศ จึงถูกเนรเทศไปจีนแต่สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง


จีนคอมมิวนิสต์ยึดทิเบต

จนถึง พ.ศ.2351-2401 คาลซังกยัตโส ได้ขึ้นเป็นทะไลลามะองค์ที่ 7 โดยการสนับสนุนของราชวงศ์ชิงของจีน ซึ่งจีนเคยมีบทบาทต่อตำแหน่งปันเชนลามะ หรือ บัณฑิตเซ็นโป แปลว่านักวิชาการใหญ่

จากนั้นมีสงครามกลางเมือง ฝ่ายทะไลลามะแพ้ต้องหนีภัยจากเมือง ทำให้นิกายเกลุกอับอายครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากนั้นมามีผู้สำเร็จราชการเป็นลามะเกลุก มีรัฐมนตรีเป็นลามะและฆราวาสด้วย

ทะไลลามะอีก 4 พระองค์ต่อมาก็มีพระชนม์สั้นทั้งหมด บางองค์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์ จนถึง องค์ทะไลลามะองค์ที่ 14 เข้ามาบริหารประเทศ ทรงหลีกเลี่ยงติดต่อกับอังกฤษ โดยอาศัยจีนติดต่อกับรัสเซีย จนมีความผันผวนทางการเมือง

องค์ทะไลลามะจึงลี้ภัยไปจีน เมื่อจีนรุกรานก็ลี้ภัยไปอินเดีย เมื่อจีนปฏิวัติท่านก็กลับทิเบต แล้วมีความสัมพันธ์กับอังกฤษ จากนั้นเหล่ามิชชันนารีชาวคริสต์เข้าไป ความสัมพันธ์กับอินเดียค่อยๆ เลือนลางไป พระสงฆ์จากที่เคยมาจากอินเดียก็เสื่อมไป

ต่อมาทิเบตก็ปิดประเทศโดดเดี่ยว พอใจกับอำนาจที่นิกายเกลุกดำรงอยู่ติดต่อกันจนสวรรคตในปี พ.ศ.2476 ก็มีผู้สำเร็จราชการปกครองประเทศ สิบแปดปีต่อมาจีนแดงยึดทิเบต ภิกษุลดลงอย่างมาก

เนื่องจากจีนให้ลงทะเบียน ตามรายงานของวัดเดรปังบอกว่า มีพระสงฆ์จำนวน 7,700-10,000 รูป เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2502 รัฐบาลทิเบตสลายตัว มีคณะกรรมการคณะหนึ่งขึ้นมาบริหาร โดยมีปันเชนลามะเป็นประมุข


ปัจจุบัน

ทะไลลามะองค์ที่ 14 เทนซิน เกียตโซทะไลลามะองค์ที่ 14 ท่านเทนซิน กยัตโส ได้ลี้ภัยไปที่ ธรรมศาลา เชิงเขาหิมาลัย รัฐหิมาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย และจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของทิเบตที่นี่

ต่อมาก็เป็นศูนย์รวมใจชาวทิเบตในต่างแดน ชาวทิเบตในจีน ช่วงแรกทำถนนทำถนนทำให้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศ จนบางคนเป็นวัณโรค บางคนเป็นโรคทางเดินหายใจ

ต่อมาก็มาค้าขายเสื้อผ้าที่อินเดีย และได้ขยายไปตั้งนิคมอยู่ที่รัฐไมซอร์ ประเทศอินเดีย ในยุคนี้มีการเผยแผ่พุทธศาสนาแบบทิเบตไปทั่วโลกทั้ง 4 นิกาย ได้แก่ นิกายเนียงมา นิกายกาจู นิกายสักยะ และนิกายเกลุก

ในอเมริกา มีชาวพุทธทิเบตประมาณ 5 ล้านคนและส่วนใหญ่เป็นของนิกายหมวกเหลือง ทะไลลามะยังต่อสู้เพื่อเอกราชของตนโดนสันติวิธี พร้อมกับรักษาจิตวิญญาณของชาวพุทธไว้อย่างมั่งคง


เรื่องของภิกษุณี

ในทิเบตไม่เคยมีการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์ในประวัติศาสตร์ มีแต่พระภิกษุสงฆ์ หรือลามะ และสามเณรีเท่านั้น ดังที่ ปีเตอร์ สกีลลิง ผู้เชี่ยวชาญทิเบต และบาลีสันสกฤต ชี้แจงว่า

"ในหิมาวันตประเทศ ได้มีภิกษุนิกายมูลสรวาทสติวาทินเข้ามาเผยแผ่หลักธรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 (ประมาณ พ.ศ.1300) แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าได้จัดพิธีอุปสมบทภิกษุณีสงฆ์เลย"

ทั้งนี้เพราะเหตุผลทางภูมิศาสตร์ การเดินทางไปทิเบตนั้นยากลำบากมากตามที่องค์ทะไลลามะกล่าวไว้ทำให้การบรรพชาอุปสมบทภิกษุณีที่ต้องมีปวัตตินี และกรรมวาจาจารย์ รวมทั้งภิกษุณีสงฆ์ และภิกษุสงฆ์อีกฝ่ายละ 10 รูป ในการบวชภิกษุณีอย่างน้อยต้องมี 22 รูปขึ้นไป จึงจะทำพิธีอุปสมบทกรรมได้ แต่สามเณรีในทิเบตมีมานานแล้ว ทั้งมีระบบการศึกษาพุทธธรรมที่เข้มข้นอีกด้วย

แม้องค์ดาไลลามะที่ 14 แห่งทิเบต ที่ลี้ภัยในอินเดียในปัจจุบัน ยังได้กล่าวไว้ในคราวประชุมศากยธิดา สมาคมสตรีของชาวพุทธนานาชาติครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2530 ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย

"เนื่องจากการเดินทางในอดีตลำบากมากภิกษุณีจึงไม่สามรถเดินทางไปทิเบตได้ และเพราะไม่มีภิกษุณีวงศ์ในทิเบต พระสงฆ์ทิเบตจึงไม่ต้องอาบัติข้อที่เกี่ยวกับภิกษุณีตลอดไป นี้ถือว่าเป็นอานิสงส์ที่เราได้จากการไม่มีภิกษุณีในทิเบต"


ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


สิริสวัสดิ์จันทรวาร สิริมานรมณีย์ ที่มาอ่านอุดมมงคลนี้ค่ะ




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 21 เมษายน 2553 20:09:48 น.
Counter : 2330 Pageviews.


sirivinit
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 224 คน [?]





/



2558

2556

2555

น้ำใจจากคุณ krittut 2554

2553


สิริสวัสดิ์วรวาร
เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์นะคะ ยินดีต้อนรับ
สู่บล็อกของคนใฝ่รู้ สำหรับผู้ใส่ใจใฝ่รู้ค่ะ

เชิญอ่านตามสบายนะคะ
มีดีๆให้คุณได้ทราบหลากหลายค่ะ

๑ - ๑/๑ ฉันรักในหลวง
๒.๓.๑๐.๑๕.๓๐.๒๔.๕๙.๖๓.๙๐.ธรรมะ
๔ - ๔/๑ รวมพลคนดัง
๕. ศาสนาพุทธสุดประเสริฐ
๖. ความรู้ทั่วไปในศาสนาพุทธ
๗. ๑๖. ประวัติศาสตร์
๘ - ๙/๑ ไม้ดอก ไม้ใบ
๑๑ - ๑๑/๑ เกม
๑๒.๓๗.๔๐-๔๓.๕๓.๗๕.๘๖.ศิลปะเทศ
๑๔ - ๑๔/๑. ๒๐๘. ข่าวคนดังเทศ
๑๘. ๑๙. ๒๒. ราชวงศ์ไทย
๒๐.๑๑๖-๑๑๖/๒ ๑๙๐-๑๙๐/๘ ละคร ทีวี
๒๑. ๓๑. ๒๐๘. ราชวงศ์เทศ
๒๔. นักเขียนไทย
๒๔/๑. กลอนชั้นบรมครู
๒๙/๑-๒๙/๔โปสการ์ดจากเพื่อนบล็อก
๓๓. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
๓๙.๑๘๑-๑๘๑/๗ สุธาโภชน์รสเลิศล้ำ
๔๑.๔๒.๕๐.๕๘.๖๐.๖๑.๘๖.มหาวิหาร
๕๗. ปราสาท พระราชวัง คฤหาสน์เทศ
๖๒. วัด
๖๕ - ๖๕/๑ การ์ตูน
๖๕/๒. นิทานเซน
๖๗. ความตายมาพรากให้จากไป
๖๙ - ๖๙/๒ สารพัดสัตว์
๗๔. สุนัข
๗๖. อุทยานสวรรค์
๗๗. ซูเปอร์แมน - แบทแมน
๗๘ - ๘๓. แสตมป์สะสม
๘๕-๘๕/๑ หนังสือสะสม
๘๗ - ๘๗/๒ ๒๑๕ ข่าวกีฬา
๘๙. ๘๙/๑ จีนแผ่นดินใหญ่
๙๐/๑ .ทิเบต
๙๑. จันทร์สูริย์ดารา
๙๒. สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
๙๓ - ๙๓/๒ ภาพยนตร์
๙๔ - ๙๔/๓ ยานยนต์
๙๕ - ๙๕/๑ ดูดวง
๙๖ - ๙๖/๑ . ๒๑๑ วิทยาศาสตร์
๙๗ - ๙๗/๑.๒๐๙ แวดวงวรรณกรรม
๙๘. ภาพพุทธประวัติ
๙๙. ๑๒๗ - ๑๒๗/๑ ดนตรี
๑๐๑. ป้าย R สะสม
๑๐๒. บัตรภาพตราไปรฯสะสม
๑๐๓. DIY
๑๐๗/๑ เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น
๑๐๘ - ๑๐๘/๑ หนังสือ
๑๑๓ - ๑๑๓/๑ บ้านสวย
๑๑๕. พระเครื่อง
๑๒๐. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๒๓. เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ
๑๒๕. เหรียญที่ระลึก
๑๒๕/๑ เหรียญสะสมต่างประเทศ
๑๒๕/๒ เหรียญที่ระลึกจังหวัด
๑๒๕/๓ ธนบัตรที่ระลึก
๑๒๕/๔ บัตรโทรศัพท์
๑๒๕/๕ กล่องไม้ขีด และอื่นๆ
๑๓๑.เรื่องสั้นชั้นครู"เจียวต้าย"
๑๖๔.บล็อกพิเศษ วันเดียวอั๊พ 100
เอนทรี่ ให้คุณป้า"ร่มไม้เย็น"ชม
๑๙๐/๓ เรื่องย่อละคร
๑๙๓. คดีเขาพระวิหาร
๒๑๒. ศิลปะ
๒๑๗. วิถีแห่งอำนาจ บูเช็กเทียน
๒๑๗/๑.วิถีแห่งอำนาจ เจงกิสข่าน
๒๑๗/๒.วิถีแห่งอำนาจ จูหยวนจาง
๒๑๗/๓.วิถีแห่งอำนาจ ซูสีไทเฮา
๒๑๗/๔.วิถีแห่งอำนาจ หงซิ่วฉวน
๒๑๗/๕.วิถีแห่งอำนาจ แฮรี่ พอตเตอร์

ข่าวทั่วไปล่าสุด บล็อกล่างสุดค่ะ

เปิดบล็อก 1 มกราคม 2552



free counters
08.27 - 250811

207 flags collected 300316



Friends' blogs
[Add sirivinit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.