สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 
หล่อนคงบ้าไปแล้ว

เรื่องสั้น หล่อนคงบ้าไปแล้ว
โดย สุภารัตถะ


บ่ายจัดของวันศุกร์สิบสาม ซึ่งพี่สาวของหล่อนนัดผมไว้

พวกกรวดดินถูกแรงกดทับร่างให้แหลกยับลงไปอีก เสียงล้อรถบดเบียดอัดไปตามถนนลูกรังด้วยความจำใจ ด้วยน้ำหนักของคนถึงห้าคนภายในรถ มันกำลังมุ่งหน้าเข้ามาเทียบจอดที่ลานหน้าตึกใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมพัดกรูมาจนใบไม้สั่นไหวสะท้าน หล่อนคงถูกพามาแล้ว ตามการนัดหมายของผม ผมรู้หรอกว่า หล่อนไม่ได้ต้องการมาหาผมเอง เพราะคนโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ เป็นแม่กับพี่สาวของหล่อน แต่มารู้เอาว่า ตัวหล่อนเองก็ไม่ได้มีอะไรไม่พอใจที่ต้องมาหาผมแม้แต่น้อย ก็ตอนเจอหล่อนแล้ว

ผมแอบยืนมองข้างบานกระจกหน้าต่างชั้นสี่อย่างจดจ่อ เมื่อรถหยุดสนิทนิ่งดี พี่สาวพี่เขยพร้อมลูกสาวและแม่ของหล่อนทยอยออกจากรถกันจนครบ แต่อีกนานเท่าไหร่กัน หล่อนถึงจะยอมออกมา แม้แต่ช่วงเวลาแบบนี้ ผมก็ต้องสังเกตเพื่อเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ด้วย หล่อนช้าจนผมต้องตั้งสมมุติฐานเอาว่า มีอาการต่อต้านการมาครั้งนี้มากน้อยขนาดไหน ยิ่งช้ามาก ก็แสดงว่าต่อต้านมาก แต่พอเห็นหล่อนโขยกเขยกออกมาจากรถ จึงรู้ว่าผมคาดคะเนผิด ที่แท้ขาเจ็บ ท่าทางเจ็บมากดูจากหน้าตาของหล่อน ขณะพี่สาวแร่เข้ามาช่วยพยุง เดี๋ยวพวกเขาคงใช้เวลาอีกสักเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นมาถึงห้องทำงานผม

หล่อนค่อยๆ กะเผลกเข้ามาในห้องตรวจคนไข้เพียงลำพัง พวกญาติๆ รออยู่ข้างนอก ไม่มีใครตามเข้ามาด้วย ก็จริง ไม่จำเป็นต้องให้ใครช่วยนี่ ทางร่างกาย ก็ขาของหล่อนนั่น คงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ ส่วนทางใจ หล่อนก็คงไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พวกคนอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ กับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ทางอารมณ์ เพราะต้องใช้ชีวิตไกลธรรมชาติและวุ่นวายกับการแข่งขันทำมาหารับประทานซึ่งต้องเผชิญหนักหน่วง ส่วนผมก็แค่จิตแพทย์รับปรึกษาและแก้ไขปัญหาทางจิต เปิดคลีนิคไม่ได้ใหญ่โต ไม่ใช่โรงพยาบาลคนบ้า

“สวัสดีค่ะ” หล่อนยกมือไหว้ทักทายตามธรรมเนียมไทย

ส่วนผมก็รับไหว้ตอบ “สวัสดีครับ เชิญนั่ง ตามสบายนะครับ”

“ดิฉัน ถูกขอร้องให้มาพบคุณหมอนะคะ” รีบชิงพูดก่อนเดินมาถึงเก้าอี้เสียอีก น้ำเสียงเนิบนาบราบเรียบแต่เน้นหนัก คล้ายออกตัว ถึงเหตุผลกลใดทำให้หล่อนต้องมา อาจเป็นการแสดงเจตจำนงบางประการ ว่าไม่ใช่เป็นหล่อนเองที่ต้องการความช่วยเหลือ กระนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ กับการถูกเชิญหรือถูกบังคับให้ต้องมาหาผม หล่อนยิ้มน้อยๆ ด้วยซ้ำ เป็นรอยยิ้มที่สวยเหมือนกัน และผมไม่คิดว่านั่นเป็นการท้าทาย

พวกคนไข้ก็มีหลายแบบอย่างนี้แหละ

บ้างก็มาเอง ต้องการความช่วยเหลือเป็นบ้าเป็นหลัง ต้องการใครก็ได้มารับฟังปัญหา เป็นเพื่อนปลุกปลอบใจ เห็นใจ บางปัญหาก็ไร้สาระกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าคุณไม่ใช่หมอและเก็บเงินค่ารักษาให้เขามั่นใจ พวกเขาก็แค่อาจจะขอบคุณกับคำแนะนำซึ้งใจราวแสนประเสริฐ และเบื่อหน่ายมันในคราวต่อๆ ไป จนอาจกราดเกรี้ยวใส่คุณกลับโดยการสอนคุณแทน ขนาดเก็บเงินอย่างผม ก็ยังไม่วายโดนเข้านิดๆ หน่อยๆ

บ้างก็ถูกพามา และเห็นว่า คนอื่นๆ ช่างโง่เง่าเต่าตุ่น กับโลกแคบๆ ของตัวเองเท่านั้น พวกเขาปรกติดี และไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่คนอื่นๆ นี่ซิปรกติดีพอหรือเปล่า ท่าทางหล่อนจะเป็นแบบหลัง ผมดูออกหรอกน่า

“ครับ.. คุณกาหลา” ทันทีเมื่อหล่อนนั่งเรียบร้อย คราวนี้ผมทักเพื่อเริ่มเข้าเรื่อง

“ถือเสียว่า เรามาคุยกันเล่นๆ ก็แล้วกัน ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวลไปล่วงหน้า” พูดให้หล่อนผ่อนคลายและสบายใจที่สุด เป็นนัยด้วยว่า ผมรู้แล้วหละว่าหล่อนถูกขอร้องให้มา แน่นอน หล่อนไม่ได้มีเรื่องกลุ้มใจอะไรจนต้องถ่อสังขารมาเอง ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ผมแสดงท่าอย่างเป็นกันเอง แต่ดูหล่อนกลับยิ่งฉงนฉงายหนักเข้าไปอีก

“ดิฉันไม่มีเรื่องอะไรน่าวิตกขนาดนั้นหรอกมังคะ” ออกตัวอีกแล้ว พูดจาตอบสนองด้วยการโต้ตอบได้ดีทีเดียว แต่ผมรู้ หล่อนคงสงสัยแม่กับพี่สาว ว่าอาจจะมาพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของหล่อนเองให้ผมฟังหละซิ ผมถึงได้ทักทายเข้าแบบนั้น นั่นไง วิตกไปล่วงหน้าแล้วยังปฏิเสธ คนส่วนใหญ่ก็บ้ากันคนละนิดละหน่อยทั้งนั้น บางคนออกอาการเพี้ยนมากเอาการ แต่การคิดการพูดฉลาดกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ หากคุณต้องคุยกับคนเหล่านี้ คงต้องทึ่งที่พวกเขาสามารถตอบสนองและมีความเข้าใจจัดอยู่ในขั้นลึกซึ้ง ก็แค่มีความผิดปรกติแอบซ่อนอยู่ ต่างจากพวกขังตัวเองในโลกส่วนตัว ไม่รับรู้โลกภายนอก สื่อสารกับใครไม่ได้

ผมพยายามสังเกตต่อไป ใช่ เพราะอาจมีบางอย่างเป็นจุดเริ่มที่คาดไม่ถึงได้ สภาพของหล่อนก็น่าจับตา เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงยีนส์เก่า และรองเท้าก็เก่ามากด้วย แม้จะดูไม่แปลกประหลาด หล่อนก็ควรแต่งกายให้ดีกว่านี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การออกมาพบปะใครโดยการแต่งกายเหมาะสมถือว่าเป็นการให้เกียรติกันอย่างหนึ่ง นี่ถ้าเพื่อนฝูงของหล่อนมาเห็นในสภาพเช่นนี้ ถ้าปรกติดีก็ควรจะอายบ้างหละน่า หล่อนคงเก็บตัวจนไม่เคยออกมาเจอะเจอใครเลย อย่างน้อยเสื้อผ้าก็เป็นหน้าเป็นตาของผู้คน ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง คนเรามองกันที่เปลือกก่อนไม่ใช่หรือ?? นี่เป็นอีกปมหนึ่งที่ผมไม่ควรปล่อยปละละเลย

“คุณหมอคะ…” เสียงดังจนผมตกใจ แถมบอกว่าเรียกผมหลายครั้งแล้ว

“อ้อ.. เมื่อครู่ เราพูดกันถึงไหน” ผมลืมขอโทษหล่อนด้วยซ้ำ ที่มัวจ่อมจมไปกับเรื่องซึ่งต้องสังเกต

“คุณหมอยังไม่ได้พูดหรอกค่ะ แต่ดิฉันเป็นคนพูดว่า ดิฉันไม่น่าจะมีเรื่องอะไรต้องกังวล แค่นั้นเอง” คลี่ยิ้มขันหลังพูดจบ ส่งประกายออกมาถึงแววตาที่ดูถูกผมพิกล สาบานว่าไม่ได้คิดไปเอง ผมถอยหายใจ ดูซิ การแต่งตัวหล่อนก็ไม่ยี่หระ หรือสนใจตัวเองเอาบ้างเสียเลย มันส่อความผิดสังเกตอะไรสักอย่างเด่นชัด เป็นอีกรายละเอียดสำคัญที่ผมต้องสืบค้นต่อไป

“คงไม่ถือว่าเป็นการละลาบละล้วงนะครับ ถ้าจะถามว่า ทำไมคุณแม่และพี่สาวคุณ ถึงอยากให้คุณมาคุยกับผม” เร่งทำเวลาขึ้นอีก เข้าเรื่องต่อแบบไม่อ้อมค้อม พยายามจับผิดหล่อนให้ได้มากที่สุด

“กลัวดิฉันเป็นชู้กับพี่เขยมังคะ” หัวเราะร่วน ผมอึ้งไปนิด ก่อนร่วมหัวเราะชนิดขอไปที ต้องเดาทางให้ออกว่าหล่อนพูดเล่นแน่นอนใช่ไหม หล่อนเริ่มหยิบปากกาบนโต๊ะมาหมุนเล่น คงดีใจที่ได้แกล้งผม ผมอดทนพอหรอกน่า แม่คุณ เพลินดูหล่อนหมุนปากการอบนิ้วหัวแม่มือไปเรื่อยๆ

“ก็แค่อยากเก็บตัว ขี้เกียจพบใคร ขาดการติดต่อเพื่อนฝูง เบื่อทุกอย่างในโลก ดิฉันว่าใครๆ ก็น่าจะเป็นแบบนี้นะ เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงๆ หนึ่ง ขี้เกียจดูหนัง ขี้เกียจฟังเพลง ขี้เกียจอ่านหนังสือ อะไรทำนองนี้” หน้าตาหล่อนเหมือนแก่ไปถนัดใจ นั่นไง พูดความในใจออกมาจนได้ ผมบอกแล้ว ผมอดทนพอ ที่สุดก็สารภาพออกมาแล้ว พวกไม่มีความหวังในชีวิต ไม่มีแรงปรารถนา แล้วก็อาจฆ่าตัวตายได้ แม่และพี่สาวของหล่อนรายงานผมไว้หมดแล้ว ครานี้กลายเป็นผมที่ยิ้มมุมปาก หรี่ตาเล็กน้อย ผมกำลังไปได้สวย ทุกอย่างเข้าทาง ถ้าผมใจเย็นพอ..

“คุณควรจะคิดถึงคนที่รักคุณบ้างนะครับ เช่น แม่ และก็ เอ่อ..พี่สาวของคุณ..ความอบอุ่นในครอบครัวจะทำให้คุณดีขึ้น” ผมเริ่มเร็วเกินไปหรือเปล่านะ ใจร้อนเกินไปเสียแล้ว คำแนะนำที่ดี หากผิดช่วงเวลา มันจะลดทอนอำนาจ หรืออาจถึงกับเป็นผลร้าย แต่ผมไม่ควรกังวลเกินไป ใช่ ไม่ควรจริงๆ

“พวกเขาก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนี่” ตอบด้วยดวงตาจริงใจ บิงโก !! จริงอย่างที่ผมเดา หล่อนไม่มีภาระ ว่างเปล่าเกินไป คนเราไม่มีหลักอะไรให้ยึดจับเลย อาจจะเคว้งคว้างจนล่องลอย ความผิดหวังยังไม่น่ากลัวเท่าการไม่มีความหวัง ผมควรหาที่มั่น หรือแรงดลใจให้กับหล่อน

“อย่างนั้น ก็หน้าที่การงานของคุณ” ถ้าหล่อนมีจุดหมาย อาจจะดีขึ้น มันควรจะเป็นงานที่เรียกร้องความสนใจ งานที่หล่อนรักและทุ่มเทได้สุดชีวิต เพื่อให้เห็นตัวเองมีค่า แต่หล่อนกลับยักไหล่

“ฉันก็ช่วยงานทางบ้าน พวกเขาทำกันเองได้ ไม่มีฉัน ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้” หล่อนเริ่มเปลี่ยนสรรพนามให้กะทัดรัดขึ้น อาจสะดวกขึ้นทางอารมณ์ หรือเป็นการแสดงว่าไม่พอใจผม??

“อย่างนั้น ก็หาอาชีพอื่นที่น่าสนใจ” คราวนี้ผมเริ่มเอาปากกาขึ้นมาหมุนบ้าง การสนทนายาวนาน ทำให้ความสนใจเบนออกบ้าง ผมเริ่มคิดถึงเรื่องแฟนของหล่อน คิดไปไกลถึงบทบนเตียงระหว่างหล่อนกับแฟน ไม่ซิ อาจกับผมต่างหาก อ๊ะ.. ไม่ใช่ หมายถึงว่า ผมควรจะถามหล่อนเรื่องนี้ดีไหม?? คนเราก็แบบนี้ สนใจกันแล้วก็ชังกัน ความเบื่อชนะทุกสิ่ง..

“ฉันทำมาเยอะแล้ว”

“ทำอะไร..ผมไม่เข้าใจ” ผมงง !! ว่าหล่อนกำลังพูดเรื่องอะไร ผมคงเหม่อไปไกลอีกแล้ว

“ก็คุณแนะว่า ฉันควรจะหาอาชีพน่าสนใจอย่างอื่นทำ”

“อ่า.. ใช่ ใช่ คุณทำอะไรมาเยอะ ผมหมายถึง คุณทำอะไรมาเยอะ ผมไม่เข้าใจ” รีบกลบเกลื่อนและหาทางแก้ไขสถานการณ์จนได้อีก ผมรอดตัว แต่ว่าผมควรจะถามเรื่องแฟนของหล่อนดีหรือเปล่า?? จะได้รู้ลู่ทางของหล่อนมากขึ้น หล่อนอาจเคยรักใครแล้วก็ไม่สมหวัง ความรักไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด แล้วหล่อนยังไล่ล่าหารักอยู่ หรือว่าเซ็งมันสุดทน...

“ก็พวกอาสาสมัครเพื่อสังคม งานองค์กรกู้ชาติ ลูกจ้างบริษัท แม่ค้า ทำมาเยอะ แต่ก็เพียงแค่.. ยังรู้สึกเบื่อ.. มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ หรืออาจไม่สามารถมีอะไรมากกว่านี้” หล่อนเลิกคิ้วสูง เหมือนถามผม ไม่น่ะ เหมือนถามตัวหล่อนเองมากกว่า อืม อาชีพอะไรก็น่าเบื่อ ก็ผมเอง ยังเบื่อจะเป็นจิตแพทย์เลย เบื่อจนแทบอ้วก กับปัญหาบ้าบอของมนุษย์ แต่ไม่มีใครมาพูดกันแบบนั้นกันหรอก ผมเลือกที่จะนิ่งมากกว่าพูดเรื่องที่คิด คนเราควรมีสติ พูดจาตามอำเภอใจ มีแต่พวกเสียสติหรือสิ้นคิดเท่านั้น ที่กล้าทำ หรือไม่ก็พวกเพ้อเจ้อ คิดไปเรื่อยพูดไปเรื่อย.. ผมมีความสุขมากกว่าที่ได้ช่วยเพื่อนร่วมโลก?? ผมมีจุดหมาย..

“คุณต้องเข้าใจนะครับ ว่าคนเรามีความเบื่อกันเป็นธรรมดา แต่ความเบื่อมันก็จะหายไป และเราก็จะสนุกกับงานใหม่ งานทำให้เรามีคุณค่า” หวังว่าผมคงไม่ได้โกหกหล่อน

“ฉันเข้าใจ..” เสียงเหนื่อยหน่ายของหล่อน แสดงความเบื่อจะคุยกับผมด้วย แต่เดี๋ยว..ความเบื่อก็จะหายไป ผมปลอบใจตัวเอง หากหล่อนไม่รู้จักเก็บอารมณ์แบบนี้ ใครๆ ก็ต้องหาว่าหล่อนเป็นบ้าจนได้ จะมาเที่ยวแสดงความเบื่อต่อหน้าใครๆ ตามอำเภอใจ มันเสียมารยาท

ผมพักช่วง ขอน้ำเย็นจากแม่บ้าน มันอาจช่วยหล่อน ผมด้วย ให้ดีขึ้นบ้าง ผมคงเหนื่อยเกินไป ตอนเช้าก็เจอคนไข้ พวกซึมเซาเบื่อโลกเหมือนหล่อน หมู่นี้ ทำไมมีแต่คนไข้ประเภทนี้กันนะ พวกเขาดิ้นรนกันมาแทบล้มประดาตาย แล้วจู่ๆ ทำไมมาเบื่อกันเอาเสียง่ายๆ

“คุณเข้าใจไหมครับ โลกนี้ เราพูดกันถึงแต่ความสำเร็จ ความพากเพียร ความขยันอดทน ไม่ท้อถอย ประมาณว่า สู้แล้วรวย แบบนั้น” ผมบอกในสิ่งควรบอก เห็นมาเยอะแล้ว พวกเบื่อหน่ายท้อแท้และซึมเซา หมดแรงดิ้นรนกับโลก ยิ่งถ้าอยู่ห่างครอบครัว เปอร์เซ็นต์ขี้เกียจมีชีวิตสูง ผมจึงควรให้กำลังใจหล่อนในทางที่ถูก เราทุกคนเกิดมาเพื่อต่อสู้นี่นา แต่สู้กับอะไร เพื่ออะไร ปัญหาต้องขบคิดกันเอาเอง

สำหรับทางโลกแล้ว ถ้าคนยังอยู่ในภวตัณหา อยากมีอยากเป็น อยากเป็นนั่นเป็นนี่ แล้วทุ่มเทตะเกียกตะกายไปสู่ความฝันและความหวัง ถ้าไม่ผิดหวังจนไม่เป็นผู้เป็นคน มีคนรอบข้างสนับสนุนให้กำลังใจ ก็ไม่มีปัญหา ล้มๆ ลุกๆ อย่างไรก็เถอะ ผมเห็นรวยมาเยอะแล้ว คนพวกนี้ไม่เคยหยุดฝัน มีแรงปรารถนาเป็นตัวขับเคลื่อนไปข้างหน้า มนุษย์เราเชิดชูความฝัน

แต่กับไอ้พวกอยู่ในสภาพวิภวตัณหา ไม่อยากมีอยากเป็น แบบนี้น่าห่วงกว่า ขนาดหน้าที่การงานดี มีชื่อเสียง ยังดับชีวิตตัวเองได้น่าอนาถ พวกนักเขียนดังๆ ระดับโนเบลนั่นประไร พวกเขาไม่ใช่พวกมีความรู้สูงหรอกหรือ ยังฆ่าตัวตายได้ โรคซึมเซาไร้หวัง ขาดแรงจูงใจในการมีชีวิต มันน่าหวาดหวั่น ขนาดคนที่รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอก ยังต้านแทบไม่ไหว แต่บรรดาคนพวกนั้นจะไปรู้อะไรซึ้งล่ะ ความตายน่ะ มีเอาไว้ให้ระลึกถึงความไม่ประมาทในชีวิต ทำให้รู้จักเสียสละได้ง่ายขึ้น ยินยอมบางอย่างกับคนอื่นได้ง่ายขึ้น เข้าใจช่วงเวลามีชีวิตอันแสนสั้นว่ามันสำคัญเพียงใด ความตายไม่ได้มีไว้ให้โหยหา มนุษย์นี่ก็แปลก รักชีวิตตัวเองเสียจนทำร้ายชีวิตคนอื่นโดยไม่คิด บทอยากตายขึ้นมา ก็ลืมว่าเคยหวงแหนชีวิตตัวเองขนาดไหน

“คุณไม่ควรคิดอะไรในทางลบ ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า คิดดูซิ คนลำบากกว่าคุณมีอีกตั้งเท่าไหร่ คนแขนขาขาด ตาบอด คนยากคนจน พวกเขายังดิ้นรนที่จะสู้ สู้เพื่อจะรอด บางทีเราก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองนะครับ คิดถึงคนที่รักเรา..” ผมต้องหยุดชะงักกลางคัน เพราะหล่อนถอนหายใจแรงทั้งๆ ที่ผมกำลังพูดอยู่ ทำน่าเกลียดชะมัด หล่อนขยับตัวอย่างเหนื่อยหน่าย เบือนหน้าจากผมไปอย่างซังกะตาย ทำไมล่ะ หล่อนคงฟังเรื่องทำนองนี้มาเยอะแล้วกระมัง อย่างนั้น หล่อนก็เป็นกรณีศึกษาซึ่งยากมากๆ สำหรับผมแล้ว เหมือนพวกดื้อยา ใช่ หล่อนคงรู้เรื่องที่ผมพูดดีอยู่ หรือรู้มามากจนนับไม่ถ้วนด้วยซ้ำ หล่อนอาจไม่ต้องการคำแนะนำอย่างนี้อีก มันไม่ดึงดูดพอ คงเบื่อฟังจะแย่

“ผมว่า คุณเข้าวัดไปเลยดีกว่า ปฏิบัติธรรมไปเลยดีไหม.. เอาจริงเอาจังไปเลย” เป็นคำแนะนำใหม่ของผม ซึ่งประหลาดสุดแล้วในชีวิตการเป็นหมอโรคจิต แน่ใจว่า หล่อนไม่ใช่คนประเภทที่จะแนะนำ ให้ไปสังสรรค์ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมเพื่อสังคม คิดสินค้าโอทอป หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ คิดถึงใครที่ลำบากยากแค้นกว่า หรือสาธยายให้เห็นความงามของเมล็ดพันธุ์เล็กๆ แตกผลิเป็นต้นน้อยๆ น่ารัก พร้อมดิ้นรนจะเป็นไม้สูงใหญ่ที่แผ่ร่มเงาอย่างสง่างาม

“หึ หึ เข้าวัด..” หล่อนแค่นหัวเราะ อย่างกับว่าเคยไปมา และมันคงแย่เอาการ ใช่ ก็วัดล้วนแต่เป็นที่พักพิงของคนมีปัญหา วัดกลายเป็นแหล่งรวมคนไม่ปรกติ คงวุ่นวายน่าดูพิลึก มันไม่สัปปายะพอ ไม่สงัดเงียบ ผมเองก็รู้ดีอยู่มิใช่หรือ งั้นบอกให้หล่อนเข้าป่าไปเลยซิ..

“หมอเข้าใจไหม มันไม่ใช่แค่บางเรื่องที่ฉันเบื่อ ฉันเบื่อทุกเรื่อง ไม่อยากมีครอบครัว ไม่อยากแต่งตัว ไม่อยากสังคมกับใคร ไม่อยากเข้าวัด ไม่อยากเป็นคน ไม่อยากไปสวรรค์ ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น ฉันแค่อยากอยู่เงียบๆ ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร…” หล่อนหวีดร้อง ราวเสียสติ

“คุณหมอคะ คนไข้มาถึงแล้วค่ะ พี่สาวเธอให้เรียนถามว่า จะให้คนไข้เข้ามาคนเดียว หรือต้องให้เธอเข้ามาเป็นเพื่อนคะ”

เสียงพยาบาลผู้ช่วย ทำผมสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์

“เสื้อผ้าคุณหมอยังไม่ค่อยเรียบร้อยนักนะคะ อย่าลืมเปลี่ยนรองเท้าด้วยค่ะ ดิฉันว่า ไม่ควรลากแตะต่อหน้าคนไข้หรอก” เธอเตือนผมอีกแล้ว



Create Date : 12 ธันวาคม 2548
Last Update : 10 มิถุนายน 2549 9:44:25 น. 0 comments
Counter : 598 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.