|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
วิภาษวิธีของท่านนาคารชุนะ (..เกริ่นนำ..)
...นั บ เ นื่ อ ง จ า ก การปฐมสังคายนา ในยุคพระเจ้าอชาตศัตรู โดยพระมหากัสสปะเป็นประธาน หลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ 40 ปี เข้าสู่ทุติยสังคายนา ในยุคพระเจ้ากาฬาโศก โดยพระสัมภูตสาณวาสีเป็นประธาน หลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้วประมาณ 100 ปี (ทำให้แบ่งออกเป็น 2 นิกาย คือเถรวาทหรือสถีรวาท และมหาสังฆิกวาท ก่อนแตกออกเป็น 18 นิกายในภายหลัง)
จนถึงตติยสังคายนา ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน หลังพุทธปรินิพพานล่วงแล้วประมาณเกือบ 300 ปี (คือสองร้อยกว่าปี) ในคัมภีร์มหาวังสะ ให้ความสำคัญแก่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ในฐานะเป็นประธานสงฆ์ผู้ทำตติยสังคายนา แต่ในคัมภีร์อโศกอวทาน (อโศกาวทาน) ยกความสำคัญให้แก่พระอุปคุปต์ ในฐานะเป็นผู้ชักนำให้พระเจ้าอโศกเสด็จบูชาพุทธานุสสรณียสถาน (พระอุปคุปต์เป็นพระบรมโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ได้รับนิมนต์ให้ออกมาช่วยปราบมารที่จะมาทำลายพิธีฉลองพระบรมธาตุเจดีย์ของพระเจ้าอโศก (เอาไว้จะหาตำนานการปราบพญามารมาลงให้อ่าน บางคนอาจคุ้นกับชื่อของท่านและเคยได้รู้กันบ้างแล้ว (บ้างว่าท่านเป็นพระอชิตะหนุ่มซึ่งเหาะขึ้นไปรับบาตรของพระพุทธองค์สมัยยังทรงมีชีวิต ครั้งเมื่อพระน้านางถวายจีวรให้พระพุทธองค์แต่ไม่อาจรับไว้ได้ จำได้ลางๆ นะ เอาไว้มาว่ากันอีกที..)) ...และความที่พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพาน ทำให้สงฆ์ทั้งหลายแตกเป็นหลายนิกาย แต่ละฝักฝ่ายไม่มีใครแก้ความคิดเห็นทางธรรมได้เป็นที่สุด ต่างถือทิฏฐิไปด้วยภูมิความรู้ของตนว่าใช่ แตกแยกไปตามความเชื่อ ซึ่งแต่ละลัทธิมีข้อปลีกย่อยทางธรรมซึ่งมีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน
หลังตติยสังคายนาในสมัยพระเจ้าอโศก นิกายในพุทธศาสนาซึ่งแยกย่อยออกมาถึง 18 นิกายนั้น มี 4 สำนักใหญ่ๆ ที่ได้รับการยอมรับคือ 1.สถวิรวาทะ 2.สรวาสติวาทะ 3.มหาสังฆิกะ 4.สามมิตียะหรือวาตสีปุตรียะ หรือแบ่งเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ คือ สถวิรวาทะ เป็นฝ่ายหินยานหรือเถรวาท มุ่งสูทางนิพพานโดยตรง และ มหาสังฆิกะ เป็นฝ่ายมหายาน มุ่งพุทธภูมิและการช่วยเหลือสรรพสัตว์
มหาสังฆิกะมีส่วนสำคัญในการเกิดขึ้นของมหายาน ซึ่งมาธยมิกะก็ถูกมองว่าเป็นมหายานสายหนึ่ง (ในแง่หลักการศูนยตาของสำนักนี้กบายเป็นพื้นฐานของสำนักมหายานทั้งหมด) แต่ถ้าจะยอมรับว่าแนวคิดของมหาสังฆิกะมีบทบาทต่อมาธยมิกะ ก็เป็นไปได้ในช่วงหลังๆ เป็นลักษณะการซึมซับแนวคิดบางอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป (เช่นแนวคิดโพธิสัตว์หรือตรีกาย) กว่าจะวิวัฒนาการมาเป็นมหายานเต็มรูปแบบก็กินเวลามาอีกหลายร้อยปี หล่อหลอมให้มาธยมิกะเป็นส่วนหนึ่งของมหายานต่อมา ซึ่งไม่ได้มีอิทธิพลมากนักในช่วงเริ่ม
มาธยมิกะอาจไม่ได้เกิดขึ้น ถ้าสำนักพุทธอื่นๆ ปฏิเสธความมีอยู่ทั้งหลายของธรรม ปฏิเสธความจริงของบุคคล เห็นว่าบุคคลที่รวมของขันธ์ห้า ไม่มีอยู่จริง แต่ธรรมที่รองรับความเป็นบุคคล เช่น ธาตุ ขันธ์ อายตนะ จิต หรือนิพพาน กลับว่ามีอยู่ ลักษณะดังกล่าว เป็นประเด็นที่ภายหลังมหายานใช้โจมตีคำสอนพุทธฝ่ายดั้งเดิม เพราะสอนให้เห็นความว่างในบุคคล (ปุคคลศูนยตา) แต่ไม่สอนให้เห็นความว่างในธรรม (ธรรมศูนยตา) การยอมรับโดยขาดความพิจารณารอบคอบ เป็นการเชื่อตามกันมาอย่างเหนียวแน่น โดยปราศจากการตั้งคำถาม ว่าเชื่อแล้วดีอย่างไร หลุดพ้นอย่างไร เข้ากับคำสอนของพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ ท่านนาคารชุนะ คือบุคคลแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับคำสอนของพุทธศาสนาในยุคของท่าน เป้าหมายคือ ต้องการชี้ให้เห็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับการกับการอธิบายคำสอนของบางสำนักโดยเฉพาะสรวาสติวาทะและเสาตานติกะ โดยวิธีตั้งคำถามและค้นหาคำตอบนี้เรียกว่า วิภาษวิธี
...... แล้วจะมาต่อ.. **คิดถึง ปุชฉา-วิสัชนา หรือโกอานของเซนขึ้นมาทันใดนะ **ศูนยตาในเซน จขบ.คิดว่า ต้องเกี่ยวข้องกันกับศูนยตาของท่านนาคารชุนะ เพราะเป็นสายมหายาน ซึ่งน่าจะมีรากเดียวกันที่มาจากฝ่ายมหาสังฆิกวาทที่แอบกำเนิดขึ้นลับๆ มาตั้งแต่ปฐมสังคายนา และมาแยกนิกายกันออกอย่างเด่นชัดในสังคายนาครั้งที่สองและสาม โดยฝ่ายมหาสังฆิกวาทหรือมหายานเน้นพุทธภูมิ ส่วนฝ่ายสถีรวาทหรือหินยานคงมีความเชื่อในข้อปลีกย่อยที่เห็นต่างกันไปซึ่งจะเน้นอรหันตภูมิเป็นหลัก ง่ายๆ เลยก็คือ ท่านมหากัสสปะ องค์ประธานสงฆ์ในปฐมสังคายนา น่าจะมีผลต่อระบบทางความคิดสืบมาถึงการสังคายครั้งที่ 2 และ 3 ในฝ่ายมหาสังฆิกวาท เชื่อมมาจนถึงท่านนาคารชุนะ ซึ่งพัฒนามาในความเป็นมาธยมิกะ ก่อนจะกลายเป็นมหายานสมบูรณ์แบบ จนถึงช่วงที่อินเดียมีปัญหาเรื่องสงครามภายใน ท่านตักม้อจึงเดินทางไปจีนเพื่อเผยแพร่ศาสนา คาดว่าท่านอาจจะนำเอาวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรเข้าไปเผยแพร่ด้วย หากไม่ใช่จากคัมภีร์ก็ต้องมาจากแนวคิดของท่านเอง และกลายมาเป็นศูนยตาสายเซนแบบจีนที่รุ่งเรืองมากในยุคท่านเว่ยหล่าง (แบบว่าอย่าเชื่อกันมาก จขบ.สันนิษฐานเอาตามความน่าจะเป็นไปได้) ***สรุปมาเหลือนิดเดียว แต่อ่านมาจากหนังสือ 3 เล่ม คือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ของท่านเสถียรโพธินันทะ อโศกาวทาน เรียบเรียงโดยอาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ และนาคารชุนะ ของคุณสุมาลี มหณรงค์ชัย.. ออกตัวว่าเอามาจากหนังสือ 3 เล่ม จะได้ไม่งงว่า ทำไมเขียนศัทพ์นิกายต่างๆ ไม่ยักจะเหมือนกัน
Create Date : 08 เมษายน 2549 |
|
8 comments |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 13:22:44 น. |
Counter : 1619 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Mr.Vop 8 เมษายน 2549 16:31:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 13 เมษายน 2549 14:14:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: สุภาฯ IP: 210.246.64.176 14 เมษายน 2549 1:30:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: สุภาฯ IP: 210.246.64.58 17 เมษายน 2549 4:18:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 19 เมษายน 2549 7:20:16 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
มาเยี่ยมบ้าน