หยุดยาว ๆ ถึง 7 วันชักทำตัวไม่ถูกว่าจะทำอะไร ก่อนหลังดี
เพราะถวิลหาวันหยุดแบบนี้มาเนิ่นนาน ถึงขั้นใฝ่ฝันก็ไม่เวอร์หรอก
เริ่มแรก...กลับบ้านในกรุงเทพตามสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่ (ก็ไม่มีบ้านที่ต่างจังหวัดให้กลับเนอะ) หลังจากนั้นพาตัวและหัวใจกลับสู่ที่พัก...บ่มฝันต่อไป
วันนี้ออกไปหาอาหารใส่ท้องช่วงบ่าย ใจบินไปอยู่ร้านหนังสือ ทั้งที่กายกำลังน้ำตาสอรออาหารอยู่ ไม่ได้คาดหวังว่าจะซื้อด้วยซ้ำไป เพราะตั้งแต่อยู่เบื้องหลังงานหนังสือก็ห่างจากการซื้อหนังสือประจำเดือนมาเนิ่นนานแค่คิดเฉย ๆ ว่ามีอะไรออกใหม่บ้างพอทานอาหารเสร็จ สองเท้าเลยพาไปหยุดที่ร้านนายอินทร์
กวาดตาดูอยู่หลายมุม สะดุดตากับหนังสือคลาสสิคของเดล คาร์เนกี้ออกที 3 เล่ม น่าอ่านทั้งนั้น แต่อดใจไว้ซื้อที่หลัง ราคาแม้ไม่สูงมากแต่ก็ไม่ควรใจอ่อน มีหนังสือใหม่ ๆ ที่ไม่ได้เร้าใจ เร้าอารมณ์อะไรมาก จับ อ่านแล้วผ่านเลย
แต่เล่มหนึ่งที่จับแล้วไม่ผ่านเลยคือ "ระยะทางอันห่างใกล้" นิ้วกลมและพิมปายเขียน จากสำนักพิมพ์วงกลม ให้อารมณ์ บรรยากาศเป็นจดหมายที่สองเพื่อนหนุ่มสาวเขียนถึงกัน น่ารักดี ถ้อยคำในนั้นโดนใจ โดนความรู้สึกอย่างแรง ทั้งโปรยปกหน้า เนื้อหาข้างใน โปรยปกหลังเขาพูดประมาณว่า
...ชายหนุ่มที่เซเว่นไม่มีให้ซื้อ...
จริง ๆตั้งใจไว้ตั้งแต่วางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะแล้วว่าจะเขียนไปคุยด้วยดี ๆ แต่อดไม่ได้ พ่งรู้ไหม เรียกอาการแบบนี้ว่า "ปฏิกิริยาแจ็ค นิโคลสัน" หากเคยดูหนังเรื่อง As good as it gets คงเข้าใจนะว่าเราหมายถึงอะไร หากไม่เคยดู บอกสั้น ๆ ให้ฟังก็ได้ว่ามันเป็นอาการ "ปากหมา" ของพระเอก (ลุงแจ็ค) เวลาที่เขินอายคนที่เขามีใจให้ พอเขินหนัก ๆ เข้า แทนที่จะพูดด้วยถ้อยคำหวาน ๆ อย่างที่ควร ก็กลับกลายเป็นคำกระแหนะกระแหนนแดกดันไปเสียนี่
หญิงสาวนัตย์ตามูราคามิ
หลับตาแล้วนึกภาพตามนะเอ๋ ฉันรินชาอุ่น ๆ ให้เธอแก้วหนึ่ง
แถมยังยื่นหัวฟังที่มีเพลง I will remember ของซาราห์ แมคคลาเลนกำลังบรรเลงอยู่ให้เธอด้วย เรานั่งใต้ต้นไม้ในวันที่ไม่มีคำว่าเดดไลน์และรู้แน่แก่ใจว่าเราสามารถใจดีได้เท่ากับโหดร้ายเป็นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่แล้วเราก็เลือกที่จะทิ้งอย่างหลังไปมากกว่า ซึ่งยอมให้ใครสักคนพล่ามถึงสิ่งที่เขาเชื่อ ณ วินาทีนั้นเธออยากเป็นแค่ผู้ชายที่อบอุ่นและลงตัว
สะดุดใจแต่ยังไม่ซื้อ วางไว้ที่เดิม ตั้งใจจะเดินกลับแบบไร้เยื่อใย คล้ายหนังสือเล่มนี้ไม่ได้กระซิบอ้อนวอนให้ซื้อมาอ่าน ลงลิฟท์นึกว่าจะผ่านด่านไปโดยง่าย ข้างล่างยังมีร้านหนังสืออีก เท้าเจ้ากรรมหยุดชะงักกับชื่อหนังสือถัดมา
Jutst who will you be -ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน ของมาเรีย ชไรเวอร์ อดีตผู้สื่อข่าวทีวี BBC Nwes เธอลังเลและปฏิเสธที่จะกล่าวสุนทรพจน์ให้หลานเมื่อเขาจบชั้นมัธยมปลาย ไม่รู้จะพูดอะไรให้เด็กฟัง แต่เมื่อทบทวนแล้ว
เธอตัดสินใจพูดและตอกย้ำให้รู้ว่าตัวตนของคุณเป็นใคร อันเป็นแรงบันดาลใจของหนังสือ Jutst who will you be เราเลยไม่กลับแล้ว หันหลังกลับก้าวขึ้นลิฟท์แล้วไปหยุดในร้านชั้นบนที่เพิ่งลงมาแบบไม่แยแสเมื่อไม่กี่นาทีก่อน คราวนี้สายตาสอดส่ายหาหนังสือทั้งสามเล่ม เมื่อได้แล้วกำลังจะเดินไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ แต่สายตาดันไปสะดุดอีกเล่ม The Go Give- ยิ่งให้ยิ่งได้ ของบ็อบ เบิร์ทและเดวิด มานน์ หากไม่ใช่เพราะคำโปรยหน้าปกที่อ่านแล้วใจสั่นไหว ไร้แรงต้านทาน เราคงเฉยเมยต่อมันไปแล้ว แต่อีกนั่นแหละรัศมีออร่าของเล่มนี้เจิดจรัสอีกจนได้ เราหยิบมันขึ้นมาอ่านคำโปรย "นับตั้งแต่เรื่อง Who Moved My Cheese? เป็นต้นมา ผมก็ไม่สนุกกับนิยายแนวสอนใจเรื่องใดเท่าเรื่องนี้ เพื่อตัวเองแล้ว คุณควรอ่านยิ่งให้ยิ่งได้ และแบ่งปันสารในหนังสือแก่ผู้ที่มีความสำคัญที่สุดต่อคุณ มันเป็นหนังสือแสนสวยงามที่จะสัมผัสจิตวิญญาณของคุณและเป็นแรงดลใจ (ขอใช้คำว่าแรงบันดาลใจดีกว่า) ให้หัวใจคุณ หนังสือเล่มนี้อารมณ์น่าจะคล้ายกับ The Present ของจอห์นสัน สเปนเซอร์ เป็นเรื่องชายหนุ่มกับสถานการณ์การทำงาน ชีวิต เป้าหมาย....นั่นแหละเพราะแนวความคิดคล้ายคลึง ยิ่งตอกย้ำให้ต้องอ่าน
สรุปทนเสียงกระซิบรบเร้าจากเจ้า 3 เล่มนี้ไม่ไหว เลยต้องควักเงินซื้อ เอาวุ้ย ไหน ๆ ก็ไม่ซื้อปล่อย นับตั้งแต่อยู่เบื้องหลังงานหนังสือ ซื้อดีกว่า เลยซื้อเสียเลยหอบหนังสือที่อยู่ในความคิดถึงกลับห้อง และตั้งใจว่าจะอ่านให้จบให้ได้อย่างน้อยสุดซักเล่มก็ยังดีคืนนี้...เราผู้ซึ่งไม่เคยหวั่นไหวต่อ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า กระเป๋า แต่กับหนังสือในร้านเหมือนหัวใจจะถูกแผดเผาหากไม่ได้มาครอบครอง ทุกครั้งที่เดินชมหนังสือในร้านไม่ใช่การซื้อผัก ซื้อปลา แต่จะใช้เวลาเลือกอ่านจนเกิดความต้องการอย่างถึงที่สุดและเกินจะหักห้ามใจ (ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกเดือนหรอก) แล้วจะตัดสินใจซื้อ เพราะการอ่านมักเปิดโลก เปิดสมอง เปิดหัวใจ และการเดินเข้าร้านหนังสือแต่ละครั้งสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ หัวใจที่ได้รับการจุดประกาย เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจมากมายกลับไปทุกครั้ง