เพื่อนนะ ยังไงก็เพื่อน



ช่วงนี้สมองมึนๆ งงๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สงสัยข้อมูลเริ่มเยอะเกินไป หรือไม่ก็มีอาการโดนไวรัสเล่นงาน ถ้าจะบูทจะแสกนกันใหม่ ก็ไม่ได้เพราะไม่มีเวลาพอ เลยต้องทนให้มันตื้อมันอืดต่อไปก่อน
เมมก็น้อย แรมก็ต่ำ ก็มีแต่คนพยายามจะเอาอะไรต่อมิอะไรยัดเยียดใส่กันเข้ามา เต็มใจรับหรือเปล่าไม่รู้หละ ข้อมูลที่มีใส่ๆ เข้าไปก่อนแล้วก็จากไป รอให้เราประมวลผลเองซะงั้น


อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน พยายามอย่างหนักไม่สุงสิงกับใคร นั่งหายใจค่อยๆ พยายามไม่ให้เสียงมันดังไปเข้าหูใครเขา เก็บเนื้อเก็บตัวไม่โผล่หน้าออกไปเจอใคร ก็ยังมีข้อมูลใหม่รอการบรรจุอยู่หน้าคอมจนได้ จะอะไรซะอีกล่ะ เอ็มนี่ไง เด้ง ตะดึ๊ง ตะดึ๊ง อยู่นั้น จะไม่รับก็ไม่ได้ พอเปิดหน้าจอขึ้นมาดู อ้าวเพื่อนเราเอง งั้น ... คงไม่เป็นไรมั้ง แต่ที่ไหนได้


เป็นเพื่อนที่ค่อนข้างสนิทกันมาได้สักระยะหนึ่งแล้วหละ ตอนที่เรียนด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัยก็ถือว่าคบกันได้ แต่ไม่สนิทมาก อาจจะเพราะช่วงนั้นเราทำงานพิเศษมั้ง เลยไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ เท่าไหร่ นอกจากจะไปเที่ยวถึงได้ไปด้วยกัน ช่วงที่เรียนทำงานพิเศษทุกวันจนที่บ้านเรียกว่า “งะ-กะ-จัง” อ้าว ไม่ใช่ซิ ตั้งใจจะเล่าเรื่องเพื่อน ไม่ใช่เรื่องตัวเองซะหน่อยนี่ เดี๋ยวออกนอกทางมาไกลพอสมควร กลับยังไงเนี่ยะ ... อืม ...



เพื่อนคนนี้ชื่อ “อายะ” เป็นเพื่อนที่ค่อนข้างเสมอต้นเสมอปลาย คือไม่ค่อยสนิทยังไงก็ไม่สนิทอย่างนั้น แต่ติดต่อกันตลอด มีอะไรก็ปรึกษากันตลอด แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง อายะหายหน้าหายตาไป ก็เข้าใจว่ายุ่งๆ กับงาน จนล่าสุดเมื่อช่วงกลาง ปีที่แล้วอายะก็เริ่มติดต่อแล้วก็คุยกับอุ๋ม พร้อมกับสนใจถามเรื่องเกี่ยวกับมุสลิมหลายอย่าง ไอ้เราก็ไม่รู้ลึกรู้จริงเรื่องนี้เท่าไหร่ ก็ตอบเท่าที่จะตอบได้(อายะคงลืมไปว่าอุ๋มไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะตอบทุกคำถามในโลกได้) อายะถามเรื่องการจะแต่งงานด้วย เอาละซิ เพื่อนเราถามเรื่องแต่งงาน แต่ดันมาถามอุ๋มเนี่ยะนะ เลยต้องเดือดร้อนไปถาม “มามา” ก็ให้คำตอบกันไป จากการพูดคุยอายะคบกับคนนี้ มาตั้งแต่ก่อนจะเรียนจบด้วยซ้ำ นับกันไปมาก็เกือบ 5 ปีแล้วมั้ง ไม่น่าเชื่อ เค้าคบกันนานขนาดนี้ยัยอุ๋มมันไปมุดหัวอยู่ไหน ไม่รู้วะเนี่ยะ


แล้วมันก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่าง เป็นเรื่องเป็นราว เอาตรงที่ความเหมาะสมกับ ความสมควรเริ่มมาถึงนี่แหละ ผู้ใหญ่เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว จะปล่อยให้เด็กๆ คบกันไปเรื่อยๆ แบบนี้มันก็ดูไม่เหมาะ เลยได้เวลาเตือนๆ ให้เริ่มคุยกันถึงเรื่องสำคัญนี้ซะที ตอนแรกเรื่องก็ดูจะจบลงด้วยดี แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนะ มันไม่เหมือนนิยาย อายะไม่ใช่สาวน้อยน่ารักที่จะโอนอ่อนผ่อนตามคนรักชนิดที่จะเปลี่ยนความเชื่อ เปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองยึดถือมาตั้งยี่สิบกว่าปี และอาจจะเป็นเพราะตอนที่คบกัน คิดว่า “ความรักจะชนะทุกสิ่ง” …“ความรักไม่มีอะไรมาขวางกันได้” แต่ความจริงแล้วมัน ....


เริ่มมีการพูดคุยกันเรื่องนี้หลายครั้ง อายะได้รับการผ่อนปรนว่ายังไม่ต้องเป็นมุสลิมทันทีแต่ให้เรียนรู้เกี่ยวกับมุสลิม (คนรักของอายะเป็นมุสลิม แถมพ่อของคนรักเป็นถึงกรรมการสุเหร่าอีกด้วย) ในช่วงระยะเวลาก่อนแต่งงาน อายะต้องไปสุเหร่าเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่มุสลิมคนนึงต้องรู้


จากการพูดคุยกับอายะครั้งสุดท้าย อุ๋มคิดว่าคงได้รับข่าวดีจากเพื่อนในเร็ววัน เพราะดูอายะก็อ่อนลงไปเยอะ ไม่ออกฤทธิ์ เหมือนที่เคยคาดไว้ อายะยอมที่จะไปสุเหร่าเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ (ซึ่งคืออะไรมั่งอุ๋มก็ไม่รู้แฮะ) แล้วอายะก็ขาดการติดต่อจากเพื่อนๆ ไปอีกครั้ง คราวนี้พอจะจำได้ว่าประมาณ 4 เดือน


แล้วมาวันนี้ อายะก็ติดต่อกลับมาอีกครั้ง (เหมือนเพื่อนที่แสนดีไหม รอให้เพื่อนติดต่อมาอย่างเดียวเลย ไม่รู้เป็นไง ไม่ค่อยเป็นคนติดต่อใครก่อนสักที) แล้วเรื่องที่อายะบอกคราวนี้ก็เล่นเอาอุ๋มต้องหุบปากอึ้งไปเลย


“ไม่มีการแต่งงาน”


ทั้ง 2 คนตัดสินใจที่จะยุติความรักที่มีให้กันมาตลอด 5 ปี ในฐานะคนรักลง อุ๋มคิดว่าช่วงเวลาที่หายไปอายะคงต้องการเวลาสำหรับตัวเอง ที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่อยากให้เพื่อนมาเป็นตัวแปรในด้านความคิด แล้ววันนี้อายะก็ตัดสินใจแล้ว


“อ้าวเหรอ ... คิดว่าแต่งไปแล้วนะเนี่ยะ”


“ไม่คิดจะถามมั่งหรือไงวะ ว่าทำไมเนี่ยะ”


“เล่ามาดิ ... อยากเล่าก็เล่ามา ขี้เกียจถาม หัวยิ่งช้าๆ อยู่”


“ในบรรดาเพื่อน ฉันบอกแกคนแรกเลย รู้เปล่า”


“… แกคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง”


“เลี่ยม”


“เออ ... ด่ากันวันละนิด จิตแจ่มใส ... แค่นี้นะ ทำงาน”





ปล. 1 อายะ แต่ถ้าวันไหนเกิดเข้ามาก็อยากบอกว่าเป็นห่วงแกเหมือนกันนะ แต่คิดว่าแกคงผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ด้วยดีแหละ ไม่งั้นคงไม่มีแรงติดต่อเพื่อนหรอก


“จงแก่อย่างกล้าหาญ ก้าวขึ้นคานอย่างสมศักดิ์ศรี”



ปล. 2 ใครเรียนภาษาญี่ปุ่นมาบอกหน่อยว่า อายะ แปลว่าอะไรนะ เคยถามเจ้าของชื่อมันเหมือนกัน แต่มันก็ตอบไม่ได้ เคยแถไปมาว่า น่าจะมาจาก อารยะ ซึ่งแสดงถึงเป็นมนุษย์ซึ่งมีอารยะ และเจริญแล้ว ...
เออ ... เอาเข้าไป


ปล. 3 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามานะคะ






Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2552 7:59:06 น. 10 comments
Counter : 560 Pageviews.

 
พูดยากมากๆเลยครับเรื่องนี้ พี่ปู่รู้ดี (งงดิว่าทำไม อิๆ อยากรู้ต้องตอบเป็นการส่วนตัว)

แต่คิดว่า อาโออิ เอ๊ย อายะ น่าจะตัดสินใจถูกแล้วหากเป็นการจขะต้องทำในสิ่งที่มีศรัทธาไม่เพียงพอ

ความรักอาจชนะทุกสิ่งรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ความรักควรรักษาไว้ให้เนิ่นนานครับ


ปล. หากจะนำคำคมนี้ไปใช้ให้เแจ้งเจ้าของลิขสิทธิ์คือพี่ปู่ทุกครั้ง มิฉะนั้นจะดำเนินการตามที่กฎลูกเสือบัญญัติไว้สูงสุด


โดย: อุปนิกขิต วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:2:14:52 น.  

 
... ขอบคุณสำหรับเมนท์ดีๆ ค่ะปู


... อุ๋มก็คิดว่าอายะตัดสินใจได้ดีที่สุดแล้วสำหรับเรื่องนี้ หากศรัทธาไม่เีพียงพอที่จะทำอะไร ก็อย่าทำดีกว่า ไม่งั้นทำไปก็ไม่ได้ดี


... ถ้าอุ๋มจะหยิบคำคมของปู่ไปใช้ จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าค่ะ (กลัวโดนจัดการด้วยกฏลูกเสือ)


โดย: SIMAKHA วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:7:51:13 น.  

 
สวัสดีครับคุณอุ๋ม สบายดีหรือป่าว
ช่วงนี้ระยองหมอกลงมากเลย

แต่เป็นหมอกพิษอะ
รถคันใหญ่ แต่ขี่ง่ายนะครับ


โดย: f18hornet วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:8:24:43 น.  

 
คำคงคำคมที่ไหนกั๊น พี่ปู่พูดเรื่อยเปื่อยจ้า

อ้าว อายะ เปนภาษาญี่ปุ่นจริงด้วยรึนี่ แหะๆ


โดย: อุปนิกขิต วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:03:29 น.  

 
เป็นเรื่องที่ดี ครบถ้วนกระบวนความ สาระทางไอที มิตรภาพ แลไปถึง ภาษาศาสตร์ งานชิ้นนี้ผู้เขียนอาจจะสื่อให้เห็นถึงภาพอัตลักษณ์ที่ครบถ้วนความสนใจที่ผู้เขียนมี มิติชัดตื้นและชัดลึกจึงเกิดหลากหลายมุมให้สัมผัส ความเป็นนัยยะ อาจจะจ้องอยู่ที่ อายะ ซึ่งผู้อ่านพยายามจะให้เป็น อาโออิ แบบท่านอุปนิกขิต

ชายใดเห็นอาโออิแล้วไม่อยากปอง ย่อมเหินห่างความเป็นชาย (คอมโมเดล อาฟอนโซ่ หน้า 108 บันทัดที่ 3)

อายะเป็นคำญี่ปุ่นแท้ ๆ และมีความหมายแน่นอน แต่มิอาจแปลได้เพราะผู้อ่านเรียนไม่ถึง แต่มันมาจากการควบรวมคำสองคำคือ ตัว อะ กับ ยะ อาจจะมีตัวลากเสียงมาคั่น เพราะภาษาญี่ปุ่นไม่มี เสียงยาวอย่าง "อา" จะมีก็แต่ "อะ"

เทียบเสียงได้จาก วรรค "อะ" อะ อิ อุ เอะ โอะ ตรงนี้เลยพิจารณาได้ว่า อาจเกิดจากความคุ้นเคยเรียกแบบไทยว่า อายะ ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องออกเสียงว่า อะยะ

ถ้า "อา" ต้องมีตัวลากเสียง

เมื่อพูดถึงตัว "อา" ก็ต้องพูดถึงคำว่า "อาอิ" หรือ "ไอ" ที่แปลว่าความรัก บล็อกนี้ไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยก็มิบังควร เพราะมีเรื่องความรักเกี่ยวข้องด้วย เราสังเกตุไหม คำว่า "รัก" ในภาษาญี่ปุ่นก็มาจากอักษรสองตัว คือ "อะ" กับ "อิ" จึงกลายเป็นรัก

รักแท้แม้เกิดได้จากคนเดียว แต่ก็ต้องมีอีกคนเกี่ยวข้อง (ลุงเผดิม บ้านโคกอีแร้ง กล่าวไว้)

เช่นนั้น คำรักจึงโดดเดี่ยวไม่ได้ คนเราอาจรักตัวเองได้ อะไรได้ แต่มันเป็นความรักแบบโดด ความรักแบบที่องค์การสัตว์เลี้ยงโลกรับรองคือ ความรักที่เกิดจากสายใจ เมตตา ของคนหนึ่งที่มีต่อคนหนึ่งและถ้ามีฝ่ายจะได้ตอบแทนหรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่ความรักล้วนแล้วมีสองคน

การแต่งงานเหมือนเป็นการบอกถึงฤดูกาลผสมพันธ์เท่านั้น เป็นการแห่เรียกคนให้มาดู ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อยกเว้นของชนชั้นกรรมาชีพที่เหงื่อออกตาง่ามนิ้วและหลังทุกวัน ด้วยความรักเกิดแค่คนสองคนก็เป็นเรื่องของคนสองคน หากแต่การจัดหรือการบอกนั้นนอกจากมองว่าเป็นการประกาศว่าจะผสมพันธ์แล้ว ยังมองได้ถึงการให้เกียรติกันด้วย การเอาลูกเขามา ก็ต้องให้เกียรติพ่อแม่

ดังนั้นการจัดงานแต่งงานอาจไม่จำเป็นถ้ามีการบอกกล่าวผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว

คนมิอาจเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ได้ (คำรณ สมบูรญานนท์ วรรค 5 เมนต์ที่ 6 เวบกังสดาลมหากาฬวิลิศมาหรา)

ดังนั้นจึงอยู่ที่ความพอใจ การให้เกียรติและความรัก

เมื่อมีโลก ต้องมีรัก เพราะความรักค้ำจุนโลก

เราเชื่อเช่นนั้น


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:43:40 น.  

 
^
^

... โฮ๊ะ ... เฮียเรามีความรู้ภาษาญี่ปุ่นถึงขั้นนี้ยังมิสามารถตอบได้

... งั้น อายะ ก็ อายะ ซิ เรียกมันมาหลายปี ไม่ยักกะคิดสงสัยมาก่อน เพิ่งมานั่งนึกว่าทำไมเราช้าไปซะทุกอย่างวะเนี่ยะ

... เฮียพยัคฆ์ เมนท์ทียาวกว่ายัยหนูเขียนเรื่องเองซะอีกนะเนี่ยะ

... ขอบคุณมากเฮีย เฮียรู้จักหนูดีมากเลยอะ แบบว่าวิเคราะห์จากเรื่องที่เขียนออกมาได้เป็นรูปเป็นร่างจริงๆ ให้ตายเหอะ ไม่เคยคิดว่าจะมีใครเข้าใจหนูได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ยะ ถ้าไม่ใช่คนจากพิษโลกด้วยกันคงดูกันไม่ออก


โดย: SIMAKHA วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:45:12 น.  

 


คุ้นกะอายะมากเลย...

แต่เป็นอายะ อุเอโตะ คนนี้น่ะนะ...


โดย: ทากชมพู วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:19:21:35 น.  

 
แม่นละเจ้า

เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน

ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์...หุหุ


ส่วน "อายะ" นี่บ่ฮู้เจ้าว่าแปลว่าหยัง...^^"


โดย: แม่นู๋มี่ วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:22:23 น.  

 
ตกลงหนูคิดตกหรือยังว่าอยากไปไหน ลองมองที่อื่น ๆ ดูก็ได้นะ ถ้าเป็นเขตทหารเรือ เฮียพอแนะนำได้นะจ๊ะ

แต่วางแพลนตั้งแต่ กุมภา เลยรึ... ไป พฤษภา นี่นา ค่อย ๆ ดูก็ได้ เผื่อมีอย่างอื่นอีก แต่เฮียว่า พฤษภา เนี่ย ไปทะเล กับ แม่น้ำ นี่เหมาะแล้ว


โดย: พยัคฆ์ร้ายแห่งคลองบางหลวง วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:18:17:57 น.  

 
แวะมาทักทายกันในวันศุกร์วันสุดสัปดาห์
ขอให้มีความสุขกับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ด้วยนะครับ
และหากมีโอกาสไปเที่ยววันหยุดนี้ หวังว่าคงจะได้ไปเก็บเกี่ยวสัก 1 มหัศจรรย์เวียงพิงค์ หรือจะไปเก็บเกี่ยวให้ครบ 7 มหัศจรรย์เวียงพิงค์นี้เลยก็ได้ครับ ส่วนตัวเองไปเก็บมาแล้ว 1 มหัศจรรย์ และก็คงเก็บไม่ครบทั้ง 7 มหัศจรรย์แน่นอน เอาเท่าที่ได้ล่ะ


โดย: ถปรร วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:21:14:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SIMAKHA
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




... คนธรรมดา เดินดิน ...

... ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้ง ...

... จะขอลุกทุกครั้งที่ล้ม ...

*****Color Codes ป้ามด*****

: Users Online
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
4 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add SIMAKHA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.