ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป (FW mail)






... ปกติแล้วเราจะเป็นคนที่เฉยชากับ Forward Mail มากๆ ถึงมากที่สุด ส่วนใหญ่ก็จะเปิดดูซะหน่อย อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง บางทีเปิดผ่านๆ แล้วก็ลบทิ้งไป และบ่อยครั้งที่เปิดมาแล้วเลื่อนไปส่วนล่างสุดของเพจ เพื่อที่จะดูว่ามีคำแช่งต่อท้ายไว้หรือเปล่า ประเภท ถ้าไม่ส่งต่อจะอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าส่งต่อจะโชคดีมหาศาล


... แต่วันนี้ ได้รับเมลล์ฉบับนี้ส่งต่อจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งค่ะ อ่านแล้วให้ความรู้สึกดี เลยอยากเอามาแบ่งปันให้คนอื่นๆ ได้เห็นบ้าง




From: ...
To: .......รายชื่อมากมายมหาศาล หนึ่งในนั้นคือเรา ^^
Subject: ลองดูโพสของเด็กคนนี้ดีกว่านะ แล้วลองดูว่าผุ้ใหญ่แบบเราสามารคิดทำอะไรได้แค่ไหน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
Date: Sat, 22 May 2010 15:32:32 +0700



... ผมรู้ดีว่าทุกคนเจ็บปวดแค่ไหน เหตุการณ์ที่ผ่านมาคนไทยทุกคนเจ็บปวดไม่แพ้กัน ทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธแค้น แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า บาดแผลของเราที่เกิดจากความโกรธแค้น ไม่มีวันถูกซ่อมแซมได้ด้วยความโกรธแค้นอย่างแน่นอน มันรังแต่จะทำให้เรากลายเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งของเกมส์ชิงอำนาจเกมนี้เท่านั้น


... เอาล่ะผมคิดว่าผมควรต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว โดยเฉพาะหลังจากได้อ่านโพสของน้องคนนี้


... ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นรักษาตัวเองจากอาการบาดเจ็บ ด้วยอาการเอ็นหัวเข่าฉีกขาด ต้องพักงานทั้งหมด ส่งผลต่อการใช้ชีวิตแบบเดิมที่คุ้นเคย กว่าจะกลับมาเดินได้อย่างเป็นปรกติต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างมากมาย ถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาก แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะบำบัดมันกลับมาให้หายเป็นปรกติอย่างเดิม แต่สำคัญกว่านั้นก็คือมันทำให้ผมมองเห็นอะไรบางอย่าง และผมอยากให้พวกเราสามารถมองเห็นมันคล้ายกับผมด้วย เพราะประเทศไทยตอนนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน และคงไปรอพึ่งใครไม่ได้อีกแล้ว


... อาการบาดเจ็บ ของผมเกิดจาการฝืนใช้แรงปะทะจนเกินกำลังของตัวเองไป ในตอนนั้นมันเป็นแค่เพียงการเล่นฟุตบอลแบบสนุกๆ แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยยอมแพ้ของตัวเอง การแย่งชิงฟุตบอลลูกเล็กๆ เพียงลูกเดียว เกือบทำผมต้องเลิกเล่นกีฬาตลอดชีวิต เสียงเส้นเอ็นหัวเข่าที่ลั่นขาดในวันนั้น ก็คงเหมือนกับเสียงลั่นของปืน ระเบิด และวินาศกรรมทั้งหมดที่เกิดตามมา ในเหตุการปะทะของคนไทยด้วยกันที่ผ่านไป การบาดเจ็บของประเทศ สายใยบางอย่างที่ขาดสะบั้นลงไปในจิตใจระหว่างคนไทยทั้งประเทศ มันก็คงไม่ต่างกัน และ "ทิฐิ" เท่านั้น คือชนวนสาเหตุ


... ตอนนี้คงไม่มี ประโยชน์ที่จะเอาแต่กล่าวโทษไปมา ว่าเราต่างล้วนบาดเจ็บและสูญเสียเพราะใคร บ้านเมืองเราตอนนี้เต็มไปด้วยคนป่วยไข้ เพียงแต่ส่วนใหญ่มองไม่ออกเท่านั้น มันเหมือนกับเต็มไปด้วยคนบ้า ซึ่งถ้าเราทำความเข้าใจให้ดี เขาคือผู้ป่วยนั่นเอง คนป่วยที่มอง ไม่เห็นล้วนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่รอบๆตัวเรา และเราเองก็แทบไม่รู้เลยว่าอาการป่วยพวกนั้นมันแอบซ่อนอยู่ภายในใจเราด้วยรึ เปล่า เพราะเราต่าง ก็มัวแต่เอาตัวรอดกันจนลืมที่จะสังเกตพวกเขาและทั้งละเลยที่จะรู้สึกตัวเอง ด้วยใช่มั้ย


... แน่นอน ไม่มีใครอยากจะยอมรับว่าตัวเองบ้าหรอกครับ


... แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีคนป่วย จำนวนหนึ่งในนั้นก็จับเด็กทารกไว้เป็นตัวประกัน พร้อมกับมีดในมือ จะด้วยเขาเครียดอะไรไม่รู้ล่ะ จะด้วยเขาเรียกร้องอะไรไม่รู้ล่ะ แต่แน่นอนว่าถ้าเขาไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นการกระทำที่เกิดจากการป่วย เขาย่อมไม่รู้สึกผิดจากกระทำเพื่อให้ คนอื่นได้รับรู้และตอบสนองเขาอย่างแน่นอน


... แต่หลังจาก นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะ โดยเฉพาะถ้าเป็นบ้านเรา หนึ่งเลย ไทยมุงที่มีทั้งคอยตะโกนห้าม ส่งเสียงก่นด่า หรือแม้แต่ดูอยู่เฉยๆด้วยความเร้าใจ ไม่นานก็จะมีเจ้าหน้าที่อาจพร้อมอาวุธปืนในมือผู้พยายามจะเข้ามาควบคุมสถานการณ์ โดยมีผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กที่ได้แต่คอยหวังว่าลูกของตนจะไม่เป็นอะไรโดยหัวใจกำลังจะแทบแหลกสลาย นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นทางการเมือง แต่ผมกำลังพยายามจะถามให้คุณลองคิดว่า ถ้าคุณเป็นใครคนหนึ่งในเหตุการณ์แบบนี้ คุณจะทำอย่างไร


... ถ้าตำรวจคน นั้นตัดสินใจยิงปืนออกไปเพื่อช่วยตัวประกัน แล้วเกิดเหตุการณ์ที่ หนึ่งยิงพลาดโดนเด็กเสียชีวิต หรือสองยิงโดนแต่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ในทันที เขาจึงปาดมีดลงบนคอเด็กก่อนตาย หรือสาม ถ้าพวกเขาไม่ได้มีคนเดียวล่ะ ตำรวจก็คงยิงไม่ทันทุกคนหรอกใช่ไหม คือสรุป ถ้าเด็กคนนั้นตาย ตำรวจคนนั้นก็คงจะโดนลงโทษอย่างมากแค่เชิญออก พักงาน หรือถ้าเส้นดีหน่อยก็คงไม่โดนอะไร พวกไทยมุงก็คงกลับบ้านไปอย่างเศร้าบ้าง อารมณ์เสียบ้าง เกลียดชังบ้าง แอบสงสารคนป่วยบ้างคละๆกันไป แต่ที่แน่ๆ คนไทยส่วนใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์ ก็มักจะพูดประโยคสุดท้ายเหมือนๆ กันว่า "ช่างมันเถอะ คงต้องทำใจ หรือไม่ก็ ไม่เกี่ยวกับเรา" คงมีแต่พ่อแม่ ของเด็กเท่านั้นที่ใจสลาย อาจจะแค่เสียใจไปตลอดชีวิต อาจจะโกรธแค้นตำรวจที่มีส่วนพลาดจนลูกเขาตาย หรืออาจจะถึงขั้นทำให้อาการป่วยที่ซ่อนอยู่เหมือนกันกับคนอื่นๆ ในตอนแรกกำเริบขึ้น พวกเขาอาจถึงขั้นอาฆาต แล้วตามแก้แค้นทุกคนที่เขาจำหน้าได้ในที่นั้น ด้วยวิธีเดียวกันหรือวิธีอื่นต่างๆนาๆ อันหลังนี้อาจจะเกินไปหน่อย แต่ผมกำลังจะบอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในเหตุการณ์นั้น แม้แต่คนที่เดินผ่านมาแล้วก็เลือกที่จะเดินจากไป ทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องต่อโศกนาฏกรรมนี้ทั้งนั้น


... อะไรคือสิ่งเร้าที่ทำให้คนป่วยตัดสินใจบ้างล่ะ เสียงที่คอยก่นด่าของไทยมุงที่กลับบ้านไปหมดแล้ว ความโกรธแค้น หรือหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่ ที่เคยถือปืนขู่เขา หรือกระทั่งเรื่องที่สำคัญกว่านั้น อะไรทำให้เขาตัดสินใจจับเด็กคนหนึ่งขึ้น มา ตรงนี้พูดไปก็จะเหมือนเป็นการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ผมกำลังจะบอกว่าทั้งที่ผ่านมาและจากนี้ต่อไปพวกเราทุกคนจะปฏิเสธความรับ ผิดชอบไม่ได้ทั้งนั้น เหตุการณ์แย่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้าจากความป่วยไข้นี้มันมีแนวโน้มว่าจะยังไม่ จบลง และอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่มีแม้แต่การเรียกร้องให้เราพอมีเวลาต่อรองกับพวกเขา ด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่เรื่องแค่เรื่องของการรอเวลาให้เรื่องราวทุกอย่างมันดี ขึ้น มันไม่ใช่หน้าที่ของใครบางคน แต่หมายถึงเราทุกคนมีหน้าที่ในการเยียวยาสังคมที่กำลังป่วยนี้ทั้งสิ้น


... อาการเส้นเอ็นที่ฉีกขาดของผมนั้น ในทางทฤษฎีแล้วร่างกายของคนเราจะมีระบบรักษาตัวเองอยู่ ในกรณีทีแค่เพียงฉีกขาดบางส่วนไม่ได้สะบั้นออกจากกัน แค่เพียงพักฟื้นแล้วคอยบริหารทำกายภาพดีๆ ไม่นานมันก็จะหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับวินัยในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของเรา แต่ในกรณีนี้มันฉีกขาดออกจากกัน ถึงแม้ระบบซ่อมแซมตัวเองจะยังอยู่ แต่มันก็จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อมันไม่สามารถจะเชื่อมกลับเข้ามาหากันได้อีกครั้ง การซ่อมของมันก็จะเกิดอยู่แค่เพียงที่ปลายของแต่ละขั้วอย่างเดียว ในไม่ช้าเมื่อมันหายจากการเจ็บปวด และเริ่มชินกับการซ่อมแซมตัวเองที่ผิดรูป ขั้วเอ็นทั้งสองนั้นก็จะค่อยหดหายไป เหลือไว้เป็นแค่รอยติ่งให้จดจำ ผมจะหายเจ็บ สามารถเดินไปได้เกือบปรกติ แต่จะเป็นแค่บุคคลที่มีร่างกายชำรุดๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถวิ่งแข่งขันกับใครได้อีกแล้ว และที่สำคัญอาการที่เรื้อรังของข้อเข่าจะคอยรบกวนผมไปจนวันตาย กับสายใยที่ ขาดสะบั้นลงไปในหัวใจของคนไทยเราก็เช่นกัน เราคงไม่อยากปล่อยให้ประเทศของเรากลายเป็นสิ่งชำรุดแบบนั้นใช่ไหม ถ้างั้นเราก็ต้องเลิกนิสัยขี้เกียจแบกรับภาระได้แล้ว ความรักและเมตตาธรรมเท่านั้นคือระบบรักษาตัวเองเพียงอย่างเดียวที่เรามีอยู่ เมตตาธรรมคือความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ปราศจากพรมแดนทั้งทางกายภาพและจิตใจ เป็นอกาลิโก จงใช้มัน เพียงแต่ว่าเราจะต้องไม่กลัวการผ่าตัด และตั้งใจให้แน่วแน่สำหรับช่วงเวลาแห่งการเยียวยาบำบัดที่จะตามมา ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะนานเท่าใด


... ในทางการแพทย์นั้นเส้นเอ็นที่ขาดมีวิธีรักษาด้วยการ reconstruction แพทย์จะทำการผ่า ตัดแบ่งเอาเส้นเอ็นที่แข็งแรงและมีความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองมาใช้ขัน สกรูเข้ากับแนวของขั้วที่ขาดจากกันแต่ละข้าง เพื่อเลี้ยงมันกลับเข้ามาหากันอีกครั้ง ที่สำคัญคือช่วงเวลาที่เหมาะสมของการผ่าตัด และการบำบัดที่ต้องใช้เวลานานอย่างค่อยเป็นค่อยไป การที่มันจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแพทย์เพียง 30% ในช่วงเวลาของการผ่าตัดรักษา หลังจากนั้นอีก 70% ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของพวกเรา หมอและนักกายภาพทำได้แค่คอยช่วยเหลือเล็กกับการให้คำแนะนำเท่านั้น


... ตอนนี้แผลที่ เกิดขึ้นกับในจิตใจของคนไทยเรามันเกิดอย่างเฉียบพลันและกำลังอยู่ในช่วงเวลา ของการอักเสบ แผลเข่าของผมในช่วงแรกก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เอ็นเส้นหนึ่งขาด มันส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นรอบๆ ไปด้วย เอ็นอีกสองเส้นที่คอยประคองด้านข้างก็ฉีก รวมถึงหมอนรองกระดูกที่เป็นแผลจากการรับน้ำหนักของตัวเอง เลือดไหลอยู่ข้างใน แตะตรงไหนก็เจ็บไปหมด หมอที่เฉพาะทางด้าน sport medicine จะไม่ทำการผ่าตัดในช่วงนี้ เพราะบาดแผลที่ยังเละอยู่ข้างในจะทำให้การกายภาพในตอนหลังทำได้ยาก อุปสรรค คือพังผืดจะเกิดเยอะเกินความจำเป็น หมายความว่าการผ่าตัดจะเร็วเกินไปก็ไม่ ได้ ช้าเกินไปก็ไม่ดี และที่สำคัญกว่านั้นคือแพทย์ที่สาย sport medicine ในบ้านเรายังคงมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่มักเจอแต่รีบผ่าเร็วไปเพราะอาจจะกลัวว่าถ้ารอนัดใหญ่คนป่วยอาจจะไป ผ่าที่อื่นรึเปล่าก็ไม่รู้ (อันนี้ไม่ได้ว่าคุณหมอนะครับเพราะถ้าเป็นจริงก็คงเป็นนโยบายของโรงพยาบาล)


... เรื่องในไทย ที่เป็นอยู่นั้นยิ่งยากกว่า คำถามก็คือใครล่ะ จะทำหน้าที่เป็นคุณหมอ ในเมื่อคนส่วนใหญ่ในตอนนี้เลือกที่จะมองหาแต่ว่าใครเป็นพวกหรือศัตรู การใช้วิธีคิดแบบนี้นอกจากเป็นอุปสรรคต่อระบบรักษาตัวเองแล้ว ที่สำคัญ มันหมายถึงว่าเราจะกลายเป็นเพียงคู่กรณี เป็นเพียงแค่คนละขั้วเอ็นทั้งสองที่ไม่มีวันกลับไปเชื่อมกับอีกฝ่ายได้ด้วย ตัวมันเอง ผู้มีอำนาจคนไหน ที่จะมีความเป็นกลางจริงๆ เป็นผู้รักษาเชี่ยวชาญเฉพาะทางจริงๆ และที่สำคัญ มีเสียงที่ดังพอที่ทุกๆ คนจะรับฟังจริงๆ ตอนนี้ในสายตาผมมันมืดมนมาก คงจะทำได้แค่เพียงฝากความหวังริบหรี่เอาไว้กับความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ แห่งความดีงาม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดำรงอยู่ในรูปนามใดก็ตาม


... พวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ประชาชนตัวเล็ก เป็นองค์ประกอบเล็กๆ ของเซลล์ เส้นใย กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ที่รวมร่างสร้างตัวกันขึ้นเป็นร่างกายที่เรียกว่าประเทศชาติ จะเป็นไปได้มั้ยที่จะมีคนหัวใจบริสุทธิ์ อย่างเด็กที่โพสความเห็นคนนี้ ซักล้านสองล้านคน(ซึ่งไม่รู้ว่าจะพอรึเปล่า) ลุกขึ้นมาเป็นสายใยเพื่อเชื่อมหัวใจคนไทยให้กลับเข้ามาหากันอีกครั้ง ผู้ใหญ่อย่างพวกเราจะทำอะไรได้บ้างนอกจากคอยแต่แสดงความเห็น ด้วยอารมณ์ที่โกรธแค้นและโศกเศร้า แล้วจบด้วยการที่บอกว่าช่างมันเถอะ เดี๋ยวมันก็คงกลับมาดีเอง การใช้เอ็นเทียม เอ็นหมู เอ็นไก่ฯลฯ ในการรักษาคงไม่มีทางได้ผลดีอย่างการใช้เอ็นในร่างกายแท้ๆ ของตัวเราเองแน่นอน แล้วถ้ามีหมอเฉพาะทางที่สามารถรักษาผ่าตัดให้เราได้จริง หลังจากนั้น นิสัยคนไทยแบบเรา จะมีวินัยมากแค่ไหนกับช่วงเวลาแห่งการบำบัดฟื้นฟูที่ยาวนาน ไม่รู้ว่านานเท่าไร ไม่รู้แม้กระทั้งว่าชั่วชีวิตของเราจะพอมั้ยด้วยซ้ำ คนไทยมีนิสัยที่ดีงามหลายอย่างมากจนทั่วโลกล่าวขาน แต่นิสัยชอบรักษาหน้ากับไม่ชอบแบกหน้ารับผิดชอบเรื่องซับซ้อน คือนิสัยเสียสองอย่างที่พาประเทศเรามาถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดในประวัติ ศาสตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะในเหตุการณ์นี้ทำ อย่างไรคนไทยเราจึงจะก้าวข้ามมันพ้นนิสัยพวกนี้ไป ส่วนหมอที่จะผ่าตัดนั้นผมไม่อยากจะใช้คำพูดว่าฝากความหวังไว้กับพระเจ้าเลย แต่คงทำได้แค่นั้นจริงๆ


... อยากบอกน้องคนนี้ว่า "อย่าพึ่งหมดศรัทธาในตัวเอง ตัวพี่เองและเชื่อว่าคนอีกจำนวนไม่น้อยที่รับรู้ความรู้สึกอันบริสุทธิ์นี้ และจะพยายามเต็มที่แม้จะทำได้เพียงเป็นเซลล์ของใยของเอ็นเส้นเล็กๆ สำหรับการ reconstruction ครั้งนี้ก็ตาม ความมืดบางครั้ง มันไม่เสถียรกันเอง ต่อสู้ฟาดฟันกันเอง ก็ปล่อยมันไป บางครั้งการต่อสู้ของพวกมันแกล้งปล่อยพลังงานบางอย่างออกมาหลอกเราให้หลงนึก ว่าเป็นแสงสว่างก็จงตั้งสติ แม้บางครั้งตามทฤษฎีสัมพัทธภาพแล้วความมืดอาจมี อำนาจในการกักขังแสง แต่แสงไม่มีวันเข้าไปรวมอยู่เป็นเนื้อเดียวกับความมืดได้ จงยึดมั่นในแนวทางแห่งแสงสว่าง แม้จะริบหรี่ก็จงอย่าได้ละทิ้งมัน"


... หลังจากใช้เวลาในการบำบัดตัวเองอยู่นาน ตอนนี้ผมเริ่มกลับมาวิ่งเบาๆ ได้อีกครั้งแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกซักพักเพื่อที่จะกลับไปเล่นกีฬาได้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับความหวังที่ผมมีต่อประเทศไทยในฐานะมนุษย์ชาติคนหนึ่ง ผมเชื่อมั่นว่าความรักและเมตตาธรรมอยู่เหนือกำแพงทุกรูปแบบ อคติทุกด้าน ความเชื่อทุกชนิด และเชื่อว่าสิ่งนี้จะยังอยู่กับคนไทยตลอดไป





... ไม่อยากจะบอกว่าวันนี้ต้องมาทำหนึ่งในสิ่งที่รังเกียจซะเองอย่างฟอร์เวิร์ดเมลล์นี่ เลย


...คงพูดได้แค่ว่า ช่วยส่งต่อหน่อยนะส่งแค่เท่าที่ความรักของพวกคุณมีก็พอ...








เมื่อเราอ่านเมลล์นี้จบแล้ว อยากบอกแค่ว่า "อย่ารดน้ำให้เมล็ดพันธุ์ความเกลียดชัง"








Create Date : 22 พฤษภาคม 2553
Last Update : 22 พฤษภาคม 2553 20:38:52 น. 10 comments
Counter : 674 Pageviews.

 
พี่ดีใจที่มีคนเห็นความสำคัญ.... ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณแทนทุกคน...


โดย: ทะเลดาว IP: 118.172.90.255 วันที่: 22 พฤษภาคม 2553 เวลา:20:58:35 น.  

 
... เราต้องช่วยกันนะคะ บ้านเรา สังคมเรา จะได้น่าอยู่ขึ้น

... ด่าใครไปก็เท่านั้น เริ่มที่ตัวเราก่อนดีกว่า

... ตอนนี้กำลังพยายามฆ่าตัดตอนความคิดไม่ดีในจิตใจตัวเองอยู่

... "รักเมืองไทยที่สุด กลับมาเหมือนเดิมเถอนะที่รัก" ... อิอิ


โดย: SIMAKHA วันที่: 22 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:16:43 น.  

 
ประเทศไทยยังไหวอยู่นะ
ถ้าเราช่วยกันสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมา ต่อต้านเชื้อแห่งความเกลียดชังได้ทัน
..สู้ๆ เข้าล่ะทุกคน ^^


โดย: ปิดทองข้างหลังเพื่อพระที่สมบูรณ์ IP: 117.47.70.237 วันที่: 22 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:31:40 น.  

 
... เรามาเริ่มต้นด้วยกันเถอะนะ

... สร้างภูมิคุ้มกันให้จิตใจเราปลอดเชื้อกันดีกว่า


โดย: SIMAKHA วันที่: 22 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:28:35 น.  

 
อยากให้ความเป็นธรรมกลับมา

ลงโทษทั้งสองฝ่าย

ใครผิด ให้ลงโทษให้หมด ตั้งแต่ครั้งก่อนๆด้วย

แล้วคนไทยอาจกลับมารักกันดังเดิม...


โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:48:05 น.  

 
ป.ล คิดถึงน้องอุ๋มเช่นกัน


โดย: นักล่าน้ำตก วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:48:36 น.  

 
รักฟุค เด้กหลายมิติ


โดย: jack IP: 124.157.184.18 วันที่: 23 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:30:33 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

อ่านแล้วน้ำตาไหล (ยืมคุณเอื้องผึ้งจันทร์ผามา)

จากแพทย์ผู้ที่ได้รับใช้ใกล้ชิด เล่าให้ฟังว่า
ภาพที่พ่อนั่งเหม่อลอยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นเวลานานเหมือนจะร้องไห้นั้น
ณ ที่ตรงนั้นกับเวลาที่ยาวนาน
พ่อพูดออกมาประโยคเดียวว่า

" เราไปทำอะไรให้เขาเจ็บช้ำ
หรือ คนไทยเหล่านั้นถึงได้
โกรธ เกลียดเราขนาดนี้ "

ผู้อยู่ใกล้ชิดพ่อน้ำตาไหลพราก
เพราะสงสารพ่อที่ทำทุกอย่าง ทั้งชีวิตพ่อ
เพื่อ คนไทยมาตลอด
พ่อไม่เคยคิดทำร้ายคนไทยเลยแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่พ่อได้รับจากคนไทยกลุ่มนั้น
คือ???


โดย: โบว์กี้ (นู๋ตุ่ม..ใจร้อน ) วันที่: 25 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:46:03 น.  

 
แวะมาอ่าน สิ่งดีๆค่ะ...

คิดถึงนะค่ะ...แล้วก็จะมาอวดว่า ปลายปีนี้จะได้เห็นคอนโดเล็กๆ (รูหนูแห่งใหม่)ของเราแล้วนะ

ถ้าเสร็จแล้วจะมาตามไปดูน๊า...ตามที่สัญญากับหนูอุ๋มไว้


โดย: NuHring วันที่: 29 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:13:42 น.  

 
สิ่งดี ๆ อย่างนี้ควรมีมานาน

สังคมแตกต่างสุดขั้ว
หัวใจบอบช้ำเกินเยียวยา...

จะพยายาม...


โดย: ไกลเกินใจสายเกินแก้ วันที่: 31 พฤษภาคม 2553 เวลา:5:43:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SIMAKHA
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




... คนธรรมดา เดินดิน ...

... ไม่ว่าจะล้มกี่ครั้ง ...

... จะขอลุกทุกครั้งที่ล้ม ...

*****Color Codes ป้ามด*****

: Users Online
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add SIMAKHA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.