|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
Low Fidelity (ภาคสอง) - 10 อันดับหนังสือในดวงใจประจำปี 2548
อาจจะช้าไปหน่อยเพราะพลุปีใหม่ที่จุดกันมอดไปบนท้องฟ้านานแล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาส Up Blog จริง ๆ เนื่องจากช่วงนี้กำลังวิ่งวุ่นกับอะไรหลาย ๆ อย่าง รู้สึกตัวเอง Energetic ดี เลยรีบ ๆ ทำอะไรที่อยากทำตอนนี้ก่อน เดี๋ยวเกิดขี้กียจขึ้นมาก็ไม่เป็นอันทำ
หมายเหตุ - 10 อันดับนี้ไม่ได้หมายความว่า เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ปี 2548 ทั้งหมดนะขอรับ บางเล่มเก่ากึกฝุ่นจับก็มี ที่ผมหมายถึงคือ เป็นหนังสือที่ผมได้อ่านจนจบในปี 2548 ที่ผ่านมานี้ต่างหาก มาดูกันดีกว่าว่า Shadow award ปี 2548 มีอะไรบ้าง
10.) เจ้าการะเกด / แดนอรัญ แสงทอง
ผมติดใจงานเขียนแนวกระแสสำนึกของนักเขียนผู้นี้มาแต่ "เงาสีขาว" ที่ ดิบ ทึมทืบ หม่นมัว และแอบโรแมนติกเล็ก ๆ มาถึงผลงานเล่มนี้ ถึงแม้หลายคนจะบอกว่าเนื้อหาเบาบางลงจาก "เงาสีขาว" และ "อสรพิษ" (ทั้งสองเล่มนี้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศสและเป็นที่สนใจกันมาก) ลีลาการเขียนจะอ่อนลง แต่ผมก็ยังได้กลิ่นประหลาดลึกลับที่แตกต่างจากงานชิ้นก่อน ๆ จริงอยู่ที่ผมอาจไม่ชอบเล่มนี้เท่า "เงาสีขาว" (ที่เป็น Masterpiece ของเขาไปแล้ว) แต่ก็ดีพอที่ผมจะจัดให้เป็นหนังสือประทับใจประจำปี 2548 ได้
เพิมเติม : จริง ๆ แล้วเล่มที่ผมชอบที่สุดของแดนอรัญไม่ใช่ "เงาสีขาว" แต่เป็นงานเขียนสมัยที่ยังตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สู่ฝันของพิบูลศักดิ์ ละครพล อย่าง "ยามพราก" และมันเป็นหนังสือโรแมนติกเหงา ๆ ที่ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับที่เขียนเงาสีขาวได้เสียด้วย!!! ค่ดว่าเล่มนี้ได้ถูกเอามาพิมพ์ใหม่ ในชื่อ "เพลงรักคนพเนจร" หาได้ในจำนวนจำกัดครับ แต่ที่แน่ ๆ มีที่ร้าน 'เล่า' เชียงใหม่แน่นอนครับ
9.) ชูมาน / พิบูลศักดิ์ ละครพล
ผมอ่านเล่มนี้จบแล้วตายไปเลยครับ...ตายไปกับความเศร้า ที่หวานหอมแต่เป็นพิษของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ เป็นโศกนาฏกรรมความรักของชายหนุ่ม-หญิงสาว ที่มีฉากเป็นเชียงใหม่เมื่อ 2520 !! ผมยังเป็นสัมพะเวสี หาที่เกิดไม่ได้ด้วยซ้ำ (ผมเกิด 2527) แต่นอกจากเรื่องราวความรักที่ไม่หวานจนเลี่ยน ความอ่อนไหว ความตราตรึง แล้ว มันยังทำให้ผม nostalgia ไปถึงเชียงใหม่เมื่อตอนผมยังเป็นเด็ก ๆ ที่ยังไม่ใหญ่โต และ Commercialize ขนาดนี้
"ชูมาน" เป็นเรื่องที่ สนพ. a book เลือกเอามาพิมพ์ใหม่ โดยผมอ่านเบื้องหลังท้ายเล่มแล้ว ได้มีการคัดเลือกจากสองเล่มที่ชั่งใจอยู่คือ "ชูมาน" กับ "ขอความรักบ้างได้ไหม" ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ล้วนจบแบบโศกนาฏกรรม แต่เรื่องหลังรุนแรงเรื่องแรก (เค้าว่าไว้ในนั้น)
แต่สำหรับผมแล้ว "ชูมาน" ติดตรึง และทุรนทุรายกว่า ถึงได้บอกว่าผมตายไปเลย....กับอันดับเก้านี้
8.) เจ้าหงิญ / บินหลา สันกาลาคีรี
ถือเป็นปรากฏการณ์นึงเลยครับสำหรับปีนี้ จะเรียกว่าเป็นซีไรท์หักมุมก็ได้ ด้วยความฉงนฉงาย อยากรู้ว่ากรรมการจะมาไม้ไหนหว่า... ผมเลยลองไปซื้อมาอ่านดู สารภาพว่าไม่เคยอ่าน บินหลา มาก่อนเลยสักเล่มเดียว พออ่านเรื่องแรกของเล่มนี้จบ ซื้อเลย-ซื้อทันที จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดพอดี เลยถือซะว่าเล่มนี้เป็นของขวัญวันเกิดที่เราซื้อให้ตัวเองซะเลย
แต่พอหลังจากซื้อมาก็ทยอยอ่านไปทีละเรื่องสองเรื่อง ก็รู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนเลยที่ประทับใจเท่าเรื่องแรก จะมีบ้างอย่างเรื่องเก้าอี้ดนตรี หรือเรื่องเจ้าหญิงดื้อ ๆ ที่เริ่มต้นเรื่องด้วยการบอกว่า เมื่อเจ้าหญิงกับเจ้าชายแต่งงานแล้ว มันยังไม่จบหรอก พวกเขายังจะมีครอบครัวต่อไป แล้วก็กลายเป็นราชากับราชินี ซื่อราชากับราชินีในเรื่องนี้ แยกกันอยู่จนทำให้เจ้าหญิงเป็นเด็กมีปัญหา...แค่นี้ผมก็ฮากลิ้งแล้วครับ นึกภาพเจ้าหญิงเจ้าชายในนิทานตอนเด็ก ๆ กลายเป็นไม่เบื่อไม้เมากันยามแก่ตัวมา... เอ่อ ก็จริงนะ เมื่อตอนเด็ก ๆ เรารู้จักแต่คำว่า "แล้วก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขชั่วกาลนาน" แล้วก็ฝันหวานกันไป ไม่รู้เสียเลย ว่าในโลกความจริงแล้วชีวิตคู่มันเจออะไรหลายรสกว่านั้น
ขออันดับแปดให้ละกันนะ
7.) ทัชมาฮาลบนดาวอังคาร / ทินกร หุตางกูร
นอกจาก เงาสีขาว , หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว แล้วหนังสือของผู้เขียนคนนี้เคยเปลี่ยนชีวิตผมมาแล้ว... ตั้งแต่ "คนไต่ลวดบนดาวสีฟ้า" มาจนถึง short lists ซีไรท์ ปี 2546 อย่าง "โลกของจอม" ที่ดันถูกหาว่าเป็นบทความไปซะได้
มาปีนี้ ทินกร หุตางกูร นักเขียนคนโปรด มากับปกสีแดงกุหลาบ กับรูปเด็กผู้หญิงจับมือเด็กผู้ชายบนปก และคำโปรยบนนั้น ทำให้ผมตื่นเต้นมากว่า นักเขียนคนนี้จะเขียนเรื่องราวความรักในสไตล์ของเขาออกมาในรูปแบบไหน
พอผมได้อ่านแล้ว หลายเรื่องอย่าง "ฟ้าไร้ดาว" กับ "ทัชมาฮาล" นั้น ทรงพลังมาก ราวเป็น maintrack ในอัลบั้มเพลง ที่พร้อมตัดออกซิงเกิ้ล (จริง ๆ แล้ว สองเรื่องที่กล่าวมาเคยออกมาแล้วในหนังสือรวมนักเขียนที่ชื่อ "สนามหญ้า")
กลวิธีการเขียนที่เต็มไปด้วย Reference เข้ามาสอดรับอารมณ์ของเรื่องนั้นก็ยังทำได้กลมกลืน (ถ้าหนังสือของเขาเป็น Website คงมี hyperlink เต็มไปหมดแน่ ๆ) ความรู้สึกส่วนใหญ่ในเรื่องก็ไม่พ้นความเศร้า ความเหงา ความแปลกแยก ประเด็นสังคมที่ชวนฉุกคิด (แต่ตรงนี้อ่อนพลังน้อยลงกว่าสองเล่มแรก) และที่สำคัญอีกความรู้สึกหนึ่งคือความรักสีหม่น ๆ ในโลกที่ไม่เหมือนสวนสนุก
6.) หอมกลิ่นภูเขา / สร้อยแก้ว คำมาลา
นี้ก็นักเขียนอีกคนครับที่ผมเป็นปลื้ม เล่มแรกที่ผมอ่านคือ "ความอ่อนไหวของชีวิต" นั้น ขออนุญาตใช้คำนี้อีกครั้ง "ผมตายไปเลย...." ในเล่มนี้ของเธอ จะเป็นบทความ เกี่ยวกับความนึกคิด ความรู้สึก ของคนที่ผ่านโลกของกิจกรรมเพื่อสังคมมา ส่วนหนึ่งก็พูดถึงชีวิตของเธอเอง
ผมอ่านเล่มนี้แล้วนึกภาพของผู้หญิงนักกิจกรรมคนหนึ่ง ที่พยายามทำตัวให้เล็ก อ่อนน้อม ขณะเดียวกันก็สดใส มาเล่าเรื่องผ่านเสียงกระซิบของขุนเขา ผ่านความหอมของกาลเวลามาให้ฟัง
(หมายเหตุ - เล่มนี้ผมหารูปปกไม่เจอคร้าบบบบ)
5. H2O - ปรากฎการณ์แตกตัวของน้ำบนแผ่นกระดาษ/ อนุสรณ์ ติปยานนท์
นอกจากมุราคามิแล้ว คนที่ผมรู้สึกว่าเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็ดูมีมนตร์ขลังได้ ก็คือ อุปสรณ์ ติปยานนท์ นี้แหละครับ
ผมอ่าน "ลอนดอนกับความลับในรอยจูบ" ของเขายังไม่จบ เล่มนี้เลยยังคงติดค้างอยู่ในใจ ผมสารภาพว่าไม่ได้อ่านตามลำดับ ผมอ่านเรื่องแรกจบ ก็ข้ามไปอ่าน Iberry เลย แล้วก็ชอบมากเสีบด้วย ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น สำคัญมากที่บรรยากาศของเรื่อง อ่านแล้วเหมือนมีละอองไอน้ำมาเกาะที่แว่นยังไงอย่างงั้น
เป็นรวมเรื่องสั้นที่เขียนถึงได้ยากมากครับ แต่หลายคนคงรู้แล้วว่า เป็นรวมเรื่องสั้นที่มีแรงบรรดาลใจมาจากความประทับใจของผู้เขียนที่มีต่อน้ำ และน้ำที่เองที่ก่อให้เกิดชีวืต ชีวิตที่ก่อให้เกิดเรื่องราวไม่อาจคาดเดา เช่นในหลาย ๆ เรื่องของเล่มนี้
(ไว้มาต่อ 5 เล่มหลังใน Comment ครับ)
Create Date : 06 มกราคม 2549 |
|
26 comments |
Last Update : 8 มกราคม 2549 2:45:21 น. |
Counter : 1281 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เจ้าหญิงวีนัส (ohvenus ) 9 มกราคม 2549 0:42:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: HTK IP: 203.113.39.7 9 มกราคม 2549 23:12:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยาคูลท์ 10 มกราคม 2549 1:18:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: grappa 10 มกราคม 2549 22:40:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: HTK IP: 203.113.39.13 11 มกราคม 2549 0:11:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: อนารยชนโรแมนติค IP: 61.91.100.140 11 มกราคม 2549 19:24:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: keyzer 11 มกราคม 2549 23:09:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: เจ้าหญิงวีนัส (ohvenus ) 12 มกราคม 2549 3:16:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 12 มกราคม 2549 5:23:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: HTK IP: 203.113.38.11 12 มกราคม 2549 20:25:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: ShadowServant IP: 203.188.11.17 13 มกราคม 2549 2:12:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่บอล IP: 61.91.97.63 21 มกราคม 2549 1:03:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไออุ่นของขุนเขา IP: 203.188.49.231 19 กุมภาพันธ์ 2549 16:11:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
4.) นาร์ซิสซัส กับ โกลดมุนด์ / เฮอร์มาน เฮสเส / แปลโดย สดใส
ผมได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสหยิบออกมาจากห้องสมุดคณะวิจิตรศิลป์ ก็ช่วงกลางปีนี้เอง แล้วก็ลงมืออ่าน ในทีแรกผมประทับใจบรรยากาศของโรงเรียนพระที่นาร์ซิสซัส กับโกลด์มุนด์ ได้เจอกันในเรื่อง จนกระทั่ง ความรู้สึกของผมก็จับจดอยู่กับการเล่นกับความคิดของตัวละครสองตัว กับการผจญภัยค้นหาตัวตนภายในอันเต็มไปด้วยบทเรียนของโกลด์มุนด์
ครับ เรื่องนี้ว่าด้วยการเดินทางเข้าถึงตัวตนภายในของคนสองคนผู้มีธรรมชาติของชีวิตอยู่คนละขั้ว นาร์ซิสซัสเต็มไปด้วยระบบคิด มีระเบียบ อยู่กับการใช้ความนึกคิดภายใน ใต้หลังคาวัดที่เขาเรียนอยู่และเป็นอาจารย์ในปัจจุบัน ขณะที่ โกลด์มุนด์ นั้นมีวิญญาณของนักผจญภัย ผู้ต้องหนีออกไปนอกหลังคาวัด เริงเล่นและเจ็บปวดอยู่กับโลกภายนอกอันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ความผันผวนมากมาย กลายเป็นศิลปินบ้าง กลายเป็นคนจรบ้าง และในบ้างครั้งก็กลายเป็นอาชญากร!!
นาร์ซิสซัส ชื่อเขาฃวนให้นึกถึง นาร์ซิส ตามตำนานกรีก ผู้หลงเงาในบ่อน้ำของตน (ซึ่งนาร์ซิสซัสเองก็ดูเหมือนชายผู้หลงในปัญญาตน) ขณะที่ ชื่อของโกลด์มุนด์ นั้นแปลว่า ปากทองคำ ซึ่งลิ้มรสอันหอมหวานของความหนุ่มสาวในฤดูร้อน จวบไปจนถึงความเจ็บปวด ทารุณ ของฤดูหนาว
ชายผู้สวมรองเท้าคนละใบ แต่มุ่งไปยังทางเดียวกัน
ที่สุดแล้ว...ผมไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ว่าใครจะบรรลุอะไรหรือไม่
เพราะลำพังเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาระหว่างการเดินทาง ของโกลด์มุนด์ และจิตวิญญาณของนาร์ซิสซัส ที่ซึมซับได้จากหน้ากระดาษนั้น ก็งดงามพออยู่แล้ว
(หมายเหตุ - เล่มนี้ผมหาปกเป็นฉบับแปลไม่มี)
3.) กล่องไปรษณีย์สีแดง / อภิชาติ เพชรลีลา
คงเป็นหนังสือที่พูดถึงกันมากที่สุดของปีนี้เชียว...
จริง ๆ หนังสือเล่มนี้ เคยมีคนแนะนำให้ผมอ่านแต่สองปีที่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่ได้จับมันขึ้นมาอ่านจริง ๆ จัง ๆ สักที เคยอ่าน(เล่มที่ยังไม่พิมพ์ใหม่) ผ่าน ๆ ไปเป็นโปสการ์ดฉบับหนึ่ง แล้วผมก็จำชื่อตัวละครตัวหนึ่งได้ดีเลยที ตัวละครที่ชื่อ "ดากานดา" และในตอนนั้น ไข่ย้อยของเรื่อง ใช้นามปากกาว่า นกขาหัก
ผมหลบไปอ่าน นู่น..."อยากให้ลมหนาวหวนมาอีกครั้ง" (ใครเรียน มช. , อยากเรียน, กำลังจะเรียน , หรือจบไปแล้วก็ตาม ผมอยากให้ลองอ่านเรื่องนี้ดูสักครั้ง เพราะ เป็นเรื่องที่เขียนถึง มช. ได้งดงาม-ประทับใจมาก) แล้วก็คลั่งเป็นบ้าเป้นหลัง คนอะไร ไม่ใช่คนเชียงใหม่แท้ ๆ แต่เขียนเรื่องราวใน มช. หับฉากหลาย ๆ ฉากในเชียงใหม่ได้สวยจับใจ จนตอนนี้ผมไม่กล้าหยิบเล่มนี้มาอ่าน เพราะกลัวคิดถึง มช. จนไม่กล้าเรียนจบ (เป็นเอาขนาดนั้น)
แต่พอหนังเรื่อง "เพื่อนสนิท" เข้ามาปีนี้ ทำให้ผมคิดเอาเรื่อง "กล่องไปรษณีย์สีแดง" กลับมาอ่านดูอีกครั้ง ลำพังหนัง (ที่บกพร่องไปหลายที่อยู่) ก็กินใจผมพอแล้ว พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ ขอครับ...ขออีกครั้งเดียว "ผม-ตาย-ไป-เลย" (คงคิดว่าตัวเองเป็นนกฟินิกซ์ ตายแล้ว-ตายอีก)
จะว่าน่ารัก ก็น่ารัก (บรรยากาศของเรื่องน่ารักกว่า ลมหนาวฯ ที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าครับ) จะว่าชวนคำนึงหาก็ใช่ จะว่าเศร้าก็เศร้าจับจิต
ขอฉันทาคติกับเรื่องนี้สักครั้งครับ
(หมายเหตุ - วันนี้ผมเพิ่งเจอดากานดา สมัยมัธยมมาใน Space and Time ที่ไม่ควรจะเจอกันเลย คำแรกที่มันทักผมคือ "มาหาสาวคณะ***" เหรอ ทั้ง ๆ ที่ผมมางานแบบจริงจัง น่าตบจริง ๆ ยัยคนนี้ ไม่เปลี่ยนไปเลย...)
2.) ลิ้นชักที่เลิกใช้ / วัน ณ จันทรธาร
จริง ๆ ถ้าผมเป็นกรรมการซีไรท์ ผมคงให้ เล่มนี้เข้าวิน
ฉันทาคติ แน่นอน ร้อยเปอร์เซนต์ ถูกต้องนะค้าบบบบบบ
จริง ๆ คือ ผมชอบเรื่องสั้นในเรื่องนี้มาก ๆ เลย สองเรื่องคือ "โรแมนติคยุคสดท้าย" กับ "มีแต่พวกมัน" ซึ่งสองเรื่องนี้ดีมากเกินพอ ที่จะกลบเรื่องอื่น ๆ อีกหลาย ๆ เรื่องที่ยัง ธรรมดา หรือไม่มีพลังมากพอ ทั้งสองเรื่องที่กล่าวมา เรื่องแรกนั้น แอบพูดถึงแง่มุมด้านมืดของนักกิจกรรมเพื่อสังคม ประเด็นสตรีนิยม ประเด็นของเด็กกิจกรรมยุคต่อไป และยังพูดถึงได้ในอีกหลาย ๆ แง่ ทั้งที่หากอ่านเผิน ๆ มันก็จะเป็นเพียงเรื่องความรักไม่สมหวังอีเรื่องเท่านั้น แต่ภายใต้การเล่าเรื่องที่ชวนติดตาม เรื่องราวความสัมพันธ์ธรรมดา ๆ มันแฝงแนวความคิดหลาย ๆ อย่างเอาไว้ โดยที่ผู้อ่านอาจเผลอเอาไปคิดโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้
ส่วนอีกเรื่องพูดถึงปัญหาของค่ายอาสาฯ ปัจจุบันที่ไม่อาจทำให้เกิดสิ่งที่มากไปกว่า ความสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่นนั้นแบบชั่วคราว เมื่อกลับออกมาสู่เมือง ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับกลายมาเป็นกำแพงกั้นระหว่าง พวกเรากับพวกมัน มี Us and Them กันเหมือนเดิม
ทั้งหมดนี้ถูกเล่าออกมาในรูปแบบของเรื่องรักไม่สมหวัง (กึ่งเขย่าขวัญ-กับความหวาดระแวงของนางเอก) อีกหนึ่งเรื่อง!!!
เป็นหนังสือที่ดูธรรมดา แต่มหัศจรรย์ดีจริง ๆ ครับ