~+O> ...Violino...
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
24 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 
หนึ่งในหลายล้านคน ประสบการณ์หวัดแปลกๆ

เฮ้ย ไม่ได้เข้ามาดูซ่ะนาน เลยไม่เห็นเลยว่ามันแย่ขนาดไหนแล้ว บล๊อกเรา
อ่าน้า

ช่วงนี้เราก็ขออินเทรนอะไรกับเขานิดหน่อย ฮ่ะๆๆๆๆ
เ็ป็้นสองพันเก้ากับเขาด้วย ฮ่ะๆๆๆ อยากอินบ้าง อ่านะคนมันไม่ยอมจะเอ้าท์อะไรกับเขาซักอย่าง
เมื่อวันที่.... อืม 19 กค ที่ผ่านมา โรงเรียนเรามีการสอบแพท7 แพทภาษา
ซึ่งสอบตอนบ่ายก็
ลั้นลาๆ เช้า บ่ายๆเริ่มมีไข้ขึ้น ก็ไม่เท่าไหร่ รู้ว่าไม่อยากให้มากไปกว่านี้ก็เลยเอาเสื้อกันหนาวไปด้วย
ก่อนออกจากบ้านก็กินยาลดไข้ ไข้ก็ลดไปพักนึง
ถึงโรงเรียน โหยสิบเ็อ็ดโมงกว่าๆ
ด้วยความที่ขยัน - -* (เออ โกหกตกนรกมั๊ยเนี่ย +555)ก็เลยเอาหนังสือไปอ่านด้วย
เพราะวันจันทร์ก็จะสอบและ อ่านไปอ่านมาเริ่มมึนๆ แต่ก็คิดว่ายังไหวอยู่ ก็บอกเพื่อนอีกคนที่เพิ่งมาว่า
ไปหาอะไรเผ็ดกินกัน
ก็... ต้มยำวุ้นเส้นไปชามนึง อย่างเผ็ด พ่อเคยบอกว่าอะไรเผ็ดๆจะช่วยลดไข้
ก็เชื่อ แต่มันก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
พอถึงเวลาก็เข้าไปนั่งสอบ ภาษาจีน โหยจีนจริงๆ ตางี้ลายยยย ไม่รู้เรื่อง ไม่แน่วใจว่าหิวข้าวรึเปล่า
แต่จำได้ว่าข้อสอบหลายข้ออยู่ ทำไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไม่ค่อยจะคิดเท่าไหร่ ให้มันเสร็จๆไป
ก็นั่งสั่นๆ อยู่ที่โต๊ะ ใจก็ภาวนาว่าอาจารย์มาถามซ่ะทีเถอะว่าเป็นอะไร เพราะรู้สึกว่าปวดหัวเริ่มอยากจะร้องไห้
ยาลดไข้เมื่อตอนสิบโมงหน่อยเริ่มเหมือนจะหมดฤทธิ์ เอาตอนบ่ายนี้เสียแล้ว
ก็เลยต้องนั่งๆ ทนไปเพราะเขาไม่ให้ออกจากห้องสอบก่อน
หนาวก็หนาว ปวดหัวก็ปวดหัว
จนในที่สุด 15 นาทีสุดท้ายก็มาถึง อาจารย์เริ่มเดินเก็บข้อสอบเพราะนักเรียนทั้งหมดก็ต่างนั่งรอเวลากันกันเสียแล้ว
อาจารย์ถึงจะเริ่มสังเกตเห็น นักเรียนอย่างเราที่ยังสั่นงันงกอยู่คนเดียว อยู่ใต้พัดลม
ไม่สบายเหรอลูก เท่านั้นแหละมันอยากจะร้องไห้ออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวร้อนมากๆแล้ว
คะ พอตอบคำเดียวอาจารย์ก็พาเราลงมาอยู่ที่ห้องพยาบาลทันที
แล้วเข้าไปบอกอาจารย์อีกคนว่า "พี่เด็กมันตัวร้อนมากเลย"
แล้วอาจารย์ประจำห้องพยาบาลก็ เอามือแตะหัวฉันแล้วก็พาฉันไปนอน
"โอ๊ยตัวร้อนจัดเลย กินยามารึยังลูก"
"คะ"จะให้พูดอะไร นอนเถอะ ในใจก็คิดอย่างนั้น
"พี่แม่มันรู้ยังเนี่ย"ณ ตอนนั้นฉันไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากแม้แต่จะตอบใครบังเอิญแม่ฉันทำงานอยู่ที่โรงเรียนนี้พอดี แต่แม่ไม่รู้หรอกเพราะว่าออกจากบ้านตอนเช้าเพื่อมาเป็นกรรมการคุมสอบแต่เช้า
แต่ฉันสอบบ่ายประกอบกับตื่นสายจึงไม่ได้เจอแม่ในตอนเช้า
อาจารย์ให้ฉันกินยาพาราเม็ดนึงแล้วก็ยาสีเหลืองๆเม็ดเล็กๆ เขาว่าเ็ป็นยาลดน้ำมูก กินแล้วง่วงอะไรแบบนั้น แต่มันก็ไม่เหมือนกับจะช่วยให้ฉันง่วงหรอก เพราะมันเอาแต่ปวดหัว แต่ฉันก็พอรู้และทราบด้วยตัวเองว่าไข้มันลดลงบ้างแล้ว แม่ฉันจึงโทรตามพ่อ
พ่อถามว่าฉันจะไปไหน กลับบ้านหรือไปหาหมอ
... ใครจะลังเลเล่าวินาทีนั้น ฉันไม่ได้คิดว่าเป้น 2009 หรอก คิดแต่ว่ามันปวดหัว
ฉันเคยเป็นแบบนั้มาครั้งนึงแล้วก่อนเมื่ออาทิตย์ก่อนหน้านั้น เพราะไปค่ายกลับมา ฉันจึงไม่อยากจะเป็นแบบนั้นอีกก็เลยไปหาหมอดีกว่า
พรุ่งนี้จะได้มาสอบ....

วันอาทิตย์คลีนิคไม่เปิด...
เป็นอะไรที่แย่มาก จังหวัดบ้านฉันมีคลีนิคเยอะก็จริง แต่ไม่มีหรอกที่จะเปิดวันอาทิตย์ พ่อฉันขับรถวนไปมา จนเห้นร้านหมอเด็กที่หนึ่งซึ่งมันเปิดอยู่ และเขียนว่า โรคทั่วไปด้วย ฉันอายุมากเกินกว่าที่จะเข้าร้านหมอเด็กแล้วแต่มันไม่มีทางเลือก
ตอนนั้นหมอวัดไข้ได้ 39 ฉันไม่คิดว่าจะมากมายนักหรอกเพราะนี้วัดตอนไข้ลดแล้ว แล้วร่ายกายทั่วไปก็แค่ 37 กว่าๆเอง
หมอผู้หญิงแต่งตัว เออ... จะเรียกว่าไม่น่าจะใช่หมอก็น่าจะได้
ถามฉันว่า "แอดมิทมั๊ย"
"ไม่อ่ะคะ ทำยังไงก็ได้ให้หนูไปสอบพรุ่งนี้ได้" ยังทำเหมือนขยันอยู่ - -*
"อืมงั้นเอายาไปลองทานดูถ้ายังถ้าคืนนไข้ี้ไม่ลดก็เ้ข้าโรงพยาบาลเลยนะ"เง้อ อะไรจะขนาดนั้น แล้วหมอก็เขียนไปแอดมิทแบบอัพเดทสุดให้ คืนวันที่ 20
แต่ก็ไม่มีอะไรเกินขึ้นในคืนนั้น ฉันอยู่เฉยๆ แล้วไข้ก็สงบสุขดี มีเพียงอาการอยากจะอาเจียนเล็กน้อยๆเพราะลูกชิ้นปลา ฉันหินข้าวไปช้อนนึงเพื่อต้องการจะกินยาฉันจำได้แค่นั้นจริงๆในวันนั้น
แต่ก็ไม่ได้ไปสอบเพราะว่าไข้มันขึ้นๆลงๆ เหมือนคนเป็นไข้ปกติดีทุกอย่าง
แต่เพราะไอ้ไข้แบบประหลาดๆ ที่ชอบขึ้นมาตอนเย็นก็ทำให้ฉันไม่ได้ไปสอบกับใครเขาทั้งอาทิตย์เลย
ฉันไปหาหมออีกทีวันศุกร์ 24 เพราะไข้ที่ขึ้นๆลงๆ อาการไอจนฉันรู้สึกเหมือนปวดหลัง ไม่มีสะเลส เขียนไงเนี่ย T^T ไอ้ปวดหลังฉันแอบสรุปเอาเองว่าฉันนอนมากจนปวดหลังฉันโดนเจาะเลือด แต่ไม่พบว่าจะเป็นไข้เลือออกอย่างที่หมอว่าเอาไว้ ว่าจะเป็น ฉันกลับบ้านพร้อม"โอเซลทามีเวีย" ที่ฉันไม่รู้เลยในเวลานั้นว่าเอาไว้ทำอะไร รู้แค่ว่ามันสีสวยดี ส้มกับสีไข้ไก่คู่กัน ตอนนั้รู้แค่ว่ามันเขียนว่า ทามมิฟลู เป็นภา่ษาอังฤษอยู่ข้างกล่องด้วย ใครจะไปรู้ ไม่ค่อยจะสนใจ ไม่สนใจด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร คิดได้แค่ ประเทศไทยคนเป็นสิบล้าน "กรูจะเป็นหนึ่งในนั้นเรอะ"
แล้วเรื่องก็เกิดขึ้น....

คืนนั้นฉันนอนอยู่หน้าประตูบ้าน(หลังจากที่ป่วยแม่สั่งให้ฉันมานอนในห้องนั่งเล่นซึ่งอยู่ใกลักับทุกห้อง ฉันจึงต้องนอนข้างประตู) ด้วยความที่มันไม่ใช่ห้องมันจึงไม่มีอะไรจะกันยุง แม่จึงเอามุ้งเด็กมาให้ฉัน ฉันยอมนอนแต่โดยดี แต่ก็ไอคอกแคกๆ ทั้งคืน ตอนนั้นจำได้ว่าฉันนอนคุยโทรศัพท์อยู่ เพียงแวบเดียวที่เหลือบตาพลิกตัวไปมองบนมุ้ง หญิงแก้คนนึงยืนอยู่บนหัวฉัน สมองประมวลผลทันทีในบ้านมีกันสีคนพ่อแม่น้้องฉัน ไม่มีผู้หญิงคนนี้ฉันร้องเรียกคนที่อยู่ในโทรศัพท์แม่พ่อแต่ก็ไม่มีใครรู้สึกตัว ฉันเองก็ขยับตัวไม่ได้วินาทีเดียวฉันก็นึกได้ว่าควรจะสวดอะไรซักอย่างมือขวาๆ เอื้ิอมมาใกล้ๆหน้าฉันคิดได้อยู่อย่างนึงนึกโกรธคนในโทรศัพท์นักที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับฉันเลย ทั้งๆที่แกก็คุยอยู่กับฉันแท้ รอบแรกฉันรู้สึกว่าฉันจะจำตอนจบของนโมตะสะไม่ได้ รอบที่สองฉันรวบรวมสมาธิใหม่ ถึงจะจบเขาก็ไม่ไป ฉันไม่ได้บ้าแล้วก็ไม่ได้ฝันจริงๆ ขณะที่ฉันกำลังอิติปิโส ไม่ทันจะเริ่มได้ดี นิ้วชี้และนิ้วกลางของหญิงแก่ก็สัมผัสมาตรงแก้มฉัน แล้วเธอก็หายไป หล่อนสัมผัสมันจริงๆ ไม่นานฉันก็ได้ยินคนในโทรศัพท์เรียกฉันงุงงิ้งๆ ฉันไม่กล้าบอกกับใครทั้งนั้นในตอนนั้น เพราะดึกและมืดอยู่พอสมควรมีเพียงแสงจันทร์ที่สาดผ่านไปนิดหน่อยเท่านั้น
เช้าวันรุ้งขึ้นฉันถามพ่อว่าบ้านเรามีผู้หญิงแ่ก่มั๊ย ฉันได้ความว่าไม่มี
แม่ว่าคงเป็นเจ้าที่ ฉันที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้นักก็ได้แต่ถอนหายใจ ไหนๆ แต่ก่อนปากดีว่าเจอจะขอหวย ทีงี้เจอจริงๆจะสวดมนตต์ก็ยังไม่ได้เรื่องเลยประสาอะไรกับขอหวย
วันั้นฉันก็เลยทำบุญใส่บาตรไปให้
เฮ้ย นอกเรื่องและ


เช้าวันที่ 27 ฉันตื่นเช้าแต่งชุดนักเรียน ไปหาหมอก่อนแ้วค่อยไปโรงเรียนแม่ว่าอย่างนั้น และตอนแปดโมงพวกเราก็ไปถึงคลีนิค ทันทีที่ถึงหมอสั่งให้ฉันแอมิททันที วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้นอนโรงพยาบาล ฉันพูดจริงๆว่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกันนะ
ฉันถูกส่งตัวไปฉุกเฉินเพื่อไปเอ๊กสเรย์ปอด แต่เพราะฉันอายุเกินที่หมอเด็กจะสั่งได้ทำให้ฉันต้องไปต่อคิว ที่ที่มีแต่ผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด(หวดอะไรก็ไม่รู้) พอพ้นจากตรงนั้นมาได้ฉันได้ใบสีชมพูที่มีประวัติฉันอยู่
วันที่ฉันเข้าโรงพยาบาลวันแรกเป็นวันที่ฉันอายุ 17 ปี 7 เดือน 27 วัน และวันนี้ก็เป็นวันที่27 พอดี ฉันแอบประทับใจเลขนี้อยู่เล็กเหมือนกัน ฉันเริ่มรู้ทันทีว่าอาการฉันไม่ค่อยจะสู้ดีนกฉันเหนื่อยง่ายและหอบ เดินนิดหน่อยฉันก็เริ่มรู้สึกแย่แล้ว ฉันจึงต้องนั่งรถเข็น ไม่นานนักก็เอ๊กเรย์เสร็จ ฉันก็เข้าไปในห้องรวมที่มีแต่ผู้ป่วยหวัด(อะไรก็ไม่รู้)เต็มไปหมด ฉันแอบเหลืบมองที่เตียง เตียงที่ 17 เหอะๆ นั่นทำให้ฉันงัดมือถืออกมาบันทึกเรื่องแปลกๆไว้ อะไรๆ ก็เจ็ด แต่ฉันอยู่เตียงนี้ไม่นานก็ถูกย้ายไปเตียงที่11 เพราะว่าเตียงที่17 ไม่มีสายออกซินเจน ตอนนั้นออกซิเจนในเลือดฉันเริ่มน้อยจับได้เพียง 91-92เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ฉันเริ่มเดินในระยะร้อยสองร้อยเมตรไม่ได้ และทำอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่พูดฉันก็รู้สึกว่าเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมาจากรูขุมขนบนใบหน้า ฉันทำเพียงแค่นอน และสูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น เขาเอาเข็มเล็กๆมาทิ่มที่มือด้านซ้ายเพื่อให้น้ำเกลือ ห้องรวมไม่มีห้องน้ำให้ฉัน เวลาเย็นฉันบอกแม่ว่า แม่อยากเข้าห้องน้ำ
แม่เ็้ป็นคนพาฉันเดินไปโดยไม่มีสายอออกซิเจน แม่บอกให้ฉันเดินช้าๆแต่ด้วยความที่ฉันปุบปับๆ และเคยชินแต่ไม่เจียมสังขาร ฉันก็เดินตามปกติ แต่วานาทีที่อยู่ในห้องน้ำฉันแทบอยากจะบอกกับตัวเองจังทำไมแกมันปัญญาอ่อนอย่างนี้นะ จะเดินยังไม่มีปัญญา ฉันพยุงตัวเองออกจากห้องน้ำ ฉันรู้สึกว่าแม่รู้สึกแย่กว่าฉันเสียอีก แม่เตือนฉันให้เดินช้าๆในระยะทางสั้นๆ ฉันส่ายหัวไม่ไหวจริงๆ จะช้าได้ยังไงกัน อากาศกำลังจะหมดแล้ว เพียงระยะแค่หัวมุมเดียวก็ทำให้เหงื่อชุ่มหลังฉันหยดลงมาตามเส้นผม อีกอึดใจเดียว ถ้าฉันไม่มีออกซิเจนฉันคงจะตายอยู่ตรงนั้นแน่ ยิ่งอยากได้เร็วเท่าไหร่มันก็ทำให้ฉันเดินเร็วขึ้นเท่าันั้น แม่ก็เหมือนจะฉุดฉันไม่อยู่ ฉันรู้ว่าแม่คงจะทรมารมากกว่าฉันในตอนนั้นที่ไขว่คว้าหาออกซิเจนเสียอีก แต่ได้แต่มองแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีหมอมาดูจากบ่ายจนเที่ยงคืน จากสายออกซิเจนเปลี่ยนเป็นที่คลอบจมูก ฉันหายใจไม่ทัน ออกซิเจนในเลือกน้อยลงเรื่อยๆทั้งๆที่มีสายออกซิเจนอยู่ วินาทีนั้นฉันรู้ด้วยตัวเองได้ว่าฉันกำลังแย่แล้้ว
แม่ยังไม่เห็นตรงจุดนั้น ฉันกินข้าวได้น้อยลงในตอนเย็นเพราะฉันเหนื่อยที่จะเคี้ยว ไม่ใช่เพราะไม่หิว ถ้าแม่รู้ว่าวินาทีนั้นฉันแย่ขนาดนั้น แต่ไม่มีหมอซักคนที่จะเยียวยาความหวังที่เกือบจะสุดท้ายของแม่ แม่คงจะขาดใจเสียตรงนั้น ตอนนั้นมีคนถามว่าฉันกลัวตายมั๊ย วินาทีแรกที่รู้ว่าเริ่มหายใจด้วยตัวเองไม่ค่อยจะได้ฉันกลัว เสียจนน้ำตาไหล มันจะทำไงดีน้า แม่ก็เป็นห่วง แต่ก็แอบคติดติดตลก ยังไม่ได้เรียนคณะที่ชอบเลยจะรีบไปไหน แต่สงสารแม่มากกว่าที่เป็นกังลขั้นมากถึงมากที่สุด


รออ่านตอนสองต่อดีกว่านิ อิอิ


Create Date : 24 สิงหาคม 2552
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 9:56:20 น. 0 comments
Counter : 245 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

karinne
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โชคชะตา...ทำให้เราสองคนมาพบกัน ท่ามกลางผู้คนนับล้าน และ โชคชะตา...ก็ทำให้ราสองคนจากกัน โดยไม่ทันรู้ตัว < style> table {background-color: transparent;border-style: none;border-spacing: none;}td {border: none;border-color: none;background: none;}< /style>
Friends' blogs
[Add karinne's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.