|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
กลยุทธที่ 3 ของ "คุณชอบอ่าน"
คุณน้องส้มเด็กดีโพสต์ 9/1/47 ห้องสินธร.........
------------------------------------------------------------------------
กลยุทธ์ที่ 3 ไม่ต้องรีบยามทะยาน ไม่ควรสะท้านยามตระหนก
การลงทุนสมัยนี้ จะตัดสินใจทำอะไร สามารถทำได้รวดเร็วกว่าสมัยก่อนมาก ยิ่งคนที่มีเครื่องมืออย่างพวก Notebook ด้วย ยิ่งทำตามใจได้อย่างเร็วมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ บางที่กดผิดกดถูก ซื้อกลายเป็นขาย (อ้นนี้ผมก็เคยเป็นและเสียหายมากด้วยครับ) หรือขายกลายเป็นซื้อ (อันนี้ยังพอแก้ตัวได้ เพราะปกติจะตั้งขายสูงไว้ก่อน แต่บางทีก็แย่เหมือนกันถ้าตั้งขายที่ราคารับซื้อเลย) ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ มักเกิดจากการรีบเร่งตัดสินใจ ซึ่งรีบทั้งตอนขายและตอนซื้อ
ไม่ต้องรีบยามทะยาน จึงเป็นกลยุทธ์เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการขายได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของกลยุทธ์นะครับ ในความหมายที่แท้จริงคือ เมื่อหุ้นตัวใดอยู่ในวงจรขาขึ้น สมควรต้องทำการบ้านเพิ่มให้มากขึ้น คือดูว่าที่ขึ้น ขึ้นเพราะอะไร เช่น หากขึ้นเพราะผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดมากๆ ในวันแรกที่ประกาศหรือก่อนนั้นสักวันสองวัน(สำหรับผู้ที่มีข่าววงใน) หุ้นจะขึ้นไปด้วยอัตราเร่งที่รวดเร็ว หากเฝ้าดูอยู่ ท่านอาจรีบขาย ณ.จุดที่คิดว่าสูงที่สุด หรือเมื่อหุ้นตัวนั้นย่อลงมาสัก 2-3 เสตป เพราะคิดว่าจะรับกลับตอนหลังอีกครั้ง แต่ก็มีหลายๆครั้ง ที่ท่านไม่อาจรับกลับได้ นอกจากนี้สมควรต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่า ธุรกิจนั้นกำลังเป็นธุรกิจดาวรุ่งหรือไม่ ค่า P/E ของธุรกิจเป็นอย่างไร (ยิ่งถ้า P/E ยังต่ำ โอกาสที่จะขึ้นต่อเรี่อยๆสักระยะ ก็จะมีสูงมากขึ้นด้วยครับ)
ไม่ควรสะท้านยามตระหนก ก็สามารถป้องกันความผิดพลาดกรณีต้องการขายได้เช่นกัน และไม่ใช่จุดประสงค์หลักของกลยุทธ์เข่นกัน ในกรณีที่ตลาดเกิด Panic เช่น รับข่าวที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น หุ้นทั้งกระดานแทบจะร่วงรับข่าวกันหมด ท่านยิ่งสมควรต้องทำการบ้านหนักขึ้นเป็นสองเท่า ต้องดูให้รู้ว่า ธุรกิจที่ท่านลงทุน ได้รับผลกระทบจากข่าวนั้นเพียงใด ในบางครั้ง การเกิด Panic กลับกลายเป็นผลดีต่อหุ้นบางตัว เพราะขณะที่คนกลุ่มใหญ่กำลังตระหนกตกใจ อาจมีหลายๆคนขายหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากข่าวนั้น แต่ด้วยอารามตกใจ ก็ขายทิ้งโดยไม่คิด (หรืออาจจะคิดว่าเดี่ยวรับกลับใหม่ในราคาที่ต่ำกว่าที่ถืออยู่) แต่ถ้าท่านรู้ว่าจะเกิดประโยชน์ ก็อาจจะเป็นจังหวะที่ดีในการรับหุ้นเข้าพอร์ทเพิ่มอีก แต่สำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ การ Cut Loss ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับหุ้นที่อยู่กลางๆมีพื้นฐานดี การหาจังหวะรับที่คน Panic กันมากที่สุด เพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง และรอขายในจังหวะที่หาย Panic (Rebound) บางครั้งก็สามารถ Save Loss คืนมาได้มากเหมือนกันครับ
สิ่งที่จะสนับสนุนให้ผู้นำกลยุทธ์นี้ ไปปฏิบัติให้ได้ผลสำเร็จ ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจในธุรกิจที่ท่านลงทุนอยู่ด้วยนะครับ ปกติผมจะไม่ Cut Loss ก่อนเฉลี่ย แต่จะ Keep Profit ก่อนที่จะ Loss นะครับ (ถ้าราคาที่สะสมไว้เอื้ออำนวยนะครับ) และที่สำคัญอย่างมากที่สุดก็คือ สติ ครับ จะทำให้เราได้กำไรมากขึ้นยามหุ้นทะยาน (อาจไม่ใช่กำไรสูงสุดนะครับ) และขาดทุนน้อยลงยามหุ้นเกิดแรงขายเนื่องจากการตื่นตระหนก
ปล. ดูท่าวันนี้ผมอาจสะสมหุ้นได้อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรืออาจสะสมเพิ่มไม่ได้เลย 5555
จากคุณ : ชอบอ่าน
Create Date : 21 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 10 เมษายน 2551 15:15:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 220 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|