การดูลมในอาณาปานสติเพื่อวสีฌาณ แนวทางที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นแนวทางการฝึกฝน บันทึกกรรมฐาน ของผู้เขียนที่ปฏิบัติได้ เข้าใจได้ พอจะมีปัญญาอย่างปุถุชนเข้าถึงได้แบบงูๆปลาๆเท่านั้น ไม่ใช่ทางตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน แต่เป็นของแถมที่ได้มาจากการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนเท่านั้น ขอผู้เยี่ยมชมโปรดแยกแยะถูก-ผิด จริง-เท็จในทุกคำและทุกขั้นตอนของการฝึกปฏิบัตินี้ของข้าพเจ้าด้วย
แต่หากธรรมนี้ใช้ได้จริงให้ประโยชน์ได้จริง ถูกต้องตามจริง ขอให้ท่านทั้งหลายรู้ไว้เลยว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้นล้ำลึกมากมีผลได้หลายทาง และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เพียงแค่เราปฏิบัติถูกตรงเท่านั้น
หากบิดเบือนประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แล้วจงรู้ไว้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไม่ใช้ธรรมจากพระโอษฐ์แต่เป้นธรรมที่ข้าพเจ้านำมาปฏิบัติสังเกตุพลิกแพลงใช้ ไม่ได้ถูกตามตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และขอพระรัตนตรัย รวมทั้งผุ้รู้ทุกท่าน อดโทษให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
อานาปานสติ มีหลายระดับ การเข้าถึงอานาปานสตินี้มีคุณมาก เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา จะสุขวิปัสสโก, วิชชา ๓, วิชา ๓ ฉฬภิญโญ, ปฏิสัมภิทาญาณ ก็อยู่ในอานาปานสตินี้ด้วย อยู่ที่เราเจริญอานาปานสติแบบใด
- อานาปานสติในทางของฌาณสมาธิที่ผู้เขียนรู้เห็น เดิมแล้วก็คือ วสีสมาธิ วสีฌาณ ตั้งแต่เริ่มทำสมาธิ เดินเข้าอุปจาระฌาณ ยกจิตเข้าองค์ธรรมในฌาณ, ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ, ตติยฌาณ, จตุตถฌาณ ตลอดไปจนถึงฌาณ ๘ และ ๙ นี่คือในทางของผู้เข้าฌาณ อภิญญา ส่วนการเลื่อนขึ้นฌาณ ๕-๙ ก็ต้องอาศัยกสินฌาณ นิมิตทางลม กสินลม แสงในฌาณ
- และเป็นวิปัสสนาในทางของผู้เอาวิปัสนาที่ผู้เขียนรู้เห็น วิปัสนานั้นไม่ได้เกิดจากคิดเอาก็ต้องอาศัยรู้ลมหายใจเข้าสมาธิ เข้ากายพิจารณาลมสังขาร ม้างกายแยกอาการ ๓๒ ลงธาตุกรรมฐานเห็นอนัตตา ป่าช้า ๙ อสภะ ๑๐ เห็นอนิจจัง เข้าเวทนา เข้าจิต เข้าธรรม ด้วยเหตุดังนี้จึงมีสมาธิก่อนพิจารณาวิปัสสนาเสมอ หรือ ต้องมีสมาธิควบคู่วิปัสสนากันไปในทุกครั้ง เพราะสมาธิทำให้จิตจดจ่อตั้งมั่น ตัดความคิด ปรุงแต่งอยู่ในปัจจุบัน มีสติคลุมเป้นเบื้องหน้าด้วยสัมมาสติ รู้เห็นตามจริง - ในส่วนที่ผู้เขียนกำลังจะเขียนถึงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งองค์ประกอบหนึ่งในการฝึกเอาวสีฌาณจาดกอานาปานสติ จดจำได้ กำหนดหมายรู้ได้(สัญญา) ตลอดจน มนสติการเข้าฌาณได้ด้วยใจน้อมไปในสภาวะธรรมนั้นๆ มีการฝึกและพิจารณาเบื้องต้นดังนี้
1. ดูลมหายใจเข้ายาวหรือสั้น ดูลมหายใจออกยาวหรือสั้น - เพื่อรู้ว่าขณะที่จิตเราเริ่มนิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น ลมหายใจมีลักษณ์อย่างไร ลมหายใจนั้นสั้นหรือยาว แรงหรือเบา
2. เมื่อจิตละเอียดขึ้น นิ่งขึ้น สงบขึ้น น้อมเข้าสมาธิ ลมหายใจเป็นอย่างไร - จิตเราจับสภาวะใดของลมหายใจ..ต้นลมหายใจเข้า-ต้นลมหายใจออก หรือ ตามลมหายใจที่เคลื่อนเข้าจากต้นลมไปจนสุดปลายลม-ตามลมหายใจที่เคลื่อนออกจากต้นลมไปจนสุดปลายลม หรือ จิตทำความรู้ลมเคลื่อนเข้า..จิตจับที่ปลายลมหายใจเข้า-จิตทำความรุ้ลมเคลื่อนออก..จิตจับที่ปลายลมหายใจออก หรือ จิตจับนิมิตใดตามลมหายใจเข้า-จิตจับนิมิตใดตามลมหายใจออก หรือ เกิดนิมิตทางลมหายใจเข้า-ออกเเมื่อจิตเคลื่อเข้าสมาธิ - ลมหายใจมีลักษณะอย่างไร ละเอียดอ่อนบางเบาเหมือนแทบไม่หายใจแต่รู้ว่ามีลมเคลื่อนหล่อเลี้ยงกายอยู่ หรือ ลมหายใจแรง ลมหายใจยาวหรือสั้น (สังเกตุที่ปลายลมหายใจ ดูปลายลมหายใจเข้า ปลายลมหายใจออก จะเข้าใจสภาวะกายสังขาร คือ ลมหายใจที่น้อมเข้าสมาธิ) หรือ ลักษณะนิมิตและการจับนิมิตของจิตเป็นอย่างไร กล่าวคือ ..นิมิตมีลักษณะอย่างไร อาการของนิมิตเป็นแบบไหน อาการของจิตที่จับนิมิตในตอนนั้นเป็นอย่างไร อารมณ์ของจิตต่อนิมิตเป็นไฉน จิตจับนิมิตแบบใด จับในเบื้องหน้า จับเป็นพื้นกว้าง หรือ จิตจับนิมิตเบื้องหน้าไว้ มีใจหน่ายออกจากนิมิตเบื้องหน้า หรือ จิตจับนิมิตเบื้องหน้าไว้ มีใจน้อมออกไปสู่ความว่าง ความสงบ ความไม่มี หรือจิตเห็นนิมิตเบื้องหน้าอยู่นั้นด้วยความไม่มีอะไรเป้นที่ว่าง โล่ง เป็นที่สบาย เป้นสิ่งไม่มี แล้วน้อมใจออกยกจิตขึ้นไปในความไม่มี
3. เมื่อถึงสมาธิจิตอยู่ที่ลมหายใจ หรือทิ้งลมหายใจ หรือคงลมหายใจไว้ หรือจิตจับที่นิมิตอื่นใดเฉพาะหน้า ไม่สนกาย ไม่สนสิ่งภายนอก ไม่สนลมหายใจ ไม่ใช้ความคิดแล้ว กล่าวคือ..ในสภาวะนั้นๆมีลักษณะอาการอย่างไร
. . . . . . . . . . . . .
ต่อ......
Create Date : 20 มกราคม 2567 |
Last Update : 20 มกราคม 2567 7:28:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 66 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|