Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
23 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

พาคนแก่เที่ยวสวิส - เยอรมัน วันที่8 Nuremburg - Munich



เราเริ่มโปรแกรมวันนี้เวลา 8.52 เพราะเราเดินทางด้วย Bayern ticket โดยซื้อตั๋วกับคนขาย เลยต้องเสียเงินเพิ่มอีก 2 Euro เลย น่าแปลกมากที่สถานีรถไฟมิวนิคไม่มีตู้ขายตั๋ว Bayern ticket (หรือคนขายตั๋วหลอกก็ไม่รู้) แล้วเราก็ซื้ออาหารเช้าเตรียมพร้อมเที่ยว โดยวันนี้เราจะนั่งรถไฟหัวกระสุน หรือ ICE ซึ่งเป็นรถไฟที่ดีที่สุด เร็วที่สุด และแพงที่สุดของเยอรมันเลยนะเนี่ย(เป็นคำบอกเล่าของคนเยอรมันที่นั่งข้าง ๆ เรา ออกแนวปลอบใจนิดหน่อย) ภายในรถหรูมากเลย เสียดายไม่ได้เข้าไปสำรวจห้องน้ำ รถไฟขบวนนี้วิ่งไปถึง Frankfurt โดยสถานีแรกที่แวะจอดคือ Nuremburg ใช้เวลาเพียง 70 นาที (บวกลบนิดหน่อย จำไม่ได้แล้ว)

รถไฟหรูที่นั่งวันนี้



พวกเรานั่งกันอย่างสบายใจจนกระทั่งนายตรวจตั๋วเดินมาขอดูตั๋ว เราก็ยื่นไปให้ดูอย่างมั่นใจ ทีนี้หละ เรื่องน่าตกใจก็เกิดขึ้น นายตรวจบอกว่าตั๋วเราใช้ไม่ได้ พร้อมทั้งชี้ภาษาเยอรมันที่เขียนเอาไว้บนตั๋วให้เราอ่าน เฮ่อ คงอ่านออกหรอกนะ อ่านออกอยู่คำเดียวว่า ICE แต่อย่างอื่นหน่ะม่ายรุเฟร้ย แล้วร้ายไปกว่านั้น รถไฟขบวนที่เรานั่งนั้น วิ่งรวดเดียวถึง Nuremburg เลย ไม่หยุดจอดระหว่างทาง อุตส่าห์จะขอลงกลางทางซะหน่อย สรุปแล้วเราเลยต้อง(จำใจ)เสียค่ารถไฟไปคนละ 49.5 Euro โดนค่าปรับไป 1.85 Euro ใจร้ายจริง ๆ

เอาตั๋วรถไฟที่แพงที่สุดในชีวิตมาเป็นที่ระลึก



ขอแก้ตัวสำหรับความเฟอะฟะเช้านี้หน่อยนึง คือว่าเราได้พยายามศึกษาข้อมูลการใช้ตั๋วแล้วนะ แต่ Website ของเค้าเป็นภาษาเยอรมัน แล้วตั๋วก็พิมพ์ภาษาเยอรมันเท่านั้น อ่านไม่ออกอีกต่างหาก เศร้าจริง ๆ วันนี้เลยเป็นวันที่หดหู่สุด ๆ ด้วยความเสียดายเงิน จำได้ว่าผู้โดยสารอื่น ๆ แถว ๆ นั้นส่งสายตาแสดงความเห็นใจ(กึ่ง ๆสมเพชเล็กน้อย)มาให้เรา และก็มีชาวเยอรมันที่นั่งข้าง ๆ เป็นคู่สามีภรรยากัน ก็พยายามชวนคุย คาดว่าเห็นหน้าเหวอ ๆ เศร้า ๆ ของพวกเราเลยสงสารชวนคุย แล้วก็ปลอบใจ

เรามาถึง Nuremburg ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากเกิดเรื่องเศร้า ก่อนลงจากรถไฟก็มีการล่ำลากับผู้โดยสารรอบ ๆ เล็กน้อย เพราะเรื่องตั๋วนี่เอง ทำให้คนที่นั่งแถบ ๆ นั้นรู้จักเราเกือบหมดเลย เวลาลงเลยมีคนส่งยิ้มอำลาเยอะหน่อย เฮ้อ เมืองนี้เป็นที่ตั้งฐานหลักของพวกนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วันนี้เราก็เลยกะจะไป Nasi Document Center แล้วก็เที่ยวบริเวณตัวเมือง ตามที่อ่านหนังสือมา เราคาดว่าจะซื้อตั๋ว Take five คือสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ของเมืองได้ 5 ครั้ง ราคาก็ถูกไปนิดหน่อย (ถ้าไม่ได้ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์มากก็ซื้อแยกดีกว่า แต่เราเลือกซื้อเพราะไปกัน 3 คน เข้าพิพิธภัณฑ์นาซีทีเดียวก็ 3 หนแล้ว) ตั๋วราคา 19 Euro เฉลี่ยตกครั้งละ 4 Euro แต่ถ้าไปซื้อตั๋วแยกต่างหาก แต่ละที่ราคาประมาณ 5-6 Euro

หน้าตาของตั๋ว ถ่ายพ่วงกับตั๋วเข้าชมพระราชวัง Kaiserburg



Nasi Document Center



เดินดู Nasi Document Center อยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงได้ นี่ขนาดเดินผ่าน ๆ ไม่ได้ตั้งใจอ่านเลยนะเนี่ย ถ้าคนที่สนใจคงต้องใช้เวลาทั้งวันหรือมากกว่านั้นเลย ข้อมูลละเอียดมาก ๆ เพราะขาดเราเองก็สนใจศึกษาประวัติศาสตร์เหมือนกัน เข้ามาที่นี่แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่เราเคยรู้มานั้นช่างน้อยนิดเหมือนไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย ที่นี่มีการลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียดยิบมาก ๆ เลย ที่เราเลือกไปเพราะว่าตัวตึกรูปร่างประหลาดดี และภายในพิพิธภัณฑ์ก็จัดได้ดีมาก ๆ การนำเสนอทำได้น่าสนใจ มีทั้งบอร์ด รูปภาพ มี Audio Guide บรรยายเป็นจุด ๆ ตามหมายเลขที่เรากด และถ้าเราเดินผ่านบริเวณที่มีการฉายหนัง ตัว Audio Guide ก็จะไปจูนเสียงกับหนังที่กำลังฉายอยู่ได้ด้วย ส่วนใหญ่เราก็ไม่ได้ฟังคำบรรยายของรูปภาพเท่าไหร่หรอก มันเยอะแล้วก็ละเอียดมาก ส่วนใหญ่จะไปนั่งดูหนังซะมากกว่า

ภาพถ่ายมุมสูงของตัวฐานทัพนาซี ที่วันนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์



เดินสมองบวมออกมาจากพิพิธภัณฑ์ เราก็นั่งรถรางสายเดิมย้อนกลับมาที่ตัวเมือง Nuremburg เราคงจะเที่ยวแต่ในส่วนตัวเมืองเก่า ไม่ได้ออกไปไกลนัก ก่อนอื่นต้องหาข้าวกลางวันกินก่อน เราไปกินไส้กรอกของชาว Nuremburg ซะหน่อย ร้านอยู่ข้าง ๆ โบสถ์ St. Lawrence มีคนต่อคิวยาวตลอดเวลา ปิ้งขายแทบไม่ทัน



ส่วนโบสถ์ St. Lawrence นั้น เราได้แต่ยืนมอง ไม่กล้าเข้าไป เพราะมีป้ายประกาศขอบริจาคเงินค่าเข้าชมอย่างน้อยคนละ 1 Euro ดั๊นเอาเศษตังค์ทั้งหมดที่มีไปใช้หมดแล้ว เหลือแต่แบงค์ 50 Euro จะหย่อนไปทำบุญก็กลัวจะได้บาปกลับมา เพราะตังค์มันเยอะอยู่ เสียดายอ่ะ เพิ่งโดนจ่ายไป 150 Euro เมื่อเช้ายังทำใจไม่ได้ เลยตัดใจ ไม่เข้าก็ได้ ไว้มีเศษตังค์ก่อนค่อยย้อนกลับมา แล้วก็ไม่ได้ย้อนมาจริง ๆ ด้วย เสียดายจัง



เดินผ่านจุดสำคัญ ๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ก็เป็นการเดินผ่าน ๆ ในที่สุดเราก็แยกทางกันเดิน โดยดิฉันคนเดียวเดินไปดูพิพิธภัณฑ์ต่อ จะได้ใช้บัตร Take Five ให้ครบ และปล่อยแม่และน้าเดินเที่ยวตลาดที่จตุรัสกลางเมืองไป(ช่วงนั้นก็ตลาดวายแล้วหล่ะ)

โบสถ์ Frauenkirche



Beautiful Fountain



จุดหมายต่อไปคือพระราชวัง Kaiserburg ต้องเดินขึ้นทางที่ชันมาก ๆ ทำมุมราว ๆ 45องศาได้ แฮ่กไปเลย ดีนะที่มาคนเดียว ไม่งั้นลูกทัวร์บ่นแน่ ๆ เลย

วิวระหว่างทาง





ขึ้นมาถึงแล้ว



วิวเมืองเบื้องล่าง



พอขึ้นไปถึงปรากฎว่าบัตร Take five ใช้ไม่ได้ เพราะเป็น State Museum ตั๋ว Take five ใช้ได้กับพิพิธภัณฑ์ของเมือง Nuremburg เท่านั้น เฮ้อ วันนี้เป็นอะไรเนี่ย ดวงไม่ถูกกะตั๋วถูกเลยเรา ก็เลยปลงๆ ถอดใจเดินกลับดีกว่า ไม่เที่ยวแระ ไม่อยากเสียตังค์อีกแล้ว พอตัดสินใจหมุนตัวเดินกลับ เจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วอยู่ก็ถามขึ้นว่ามาจากไหน จากจีนหรือเปล่า (เอ คิดอะไรอยู่เนี่ย) พอเราบอกว่ามาจาก Thailand เท่านั้นแหละ คุณพี่แกยิ้มกว้างให้ แล้วบอกให้รอก่อน พร้อมกับไปเรียกหัวหน้าให้เดินมา บอกว่าเรามาจากเมืองไทย ตาหัวหน้าก็รี่เข้ามาทักทายเป็นภาษาไทยทันทีเชียว บอกว่าเค้าเพิ่งกลับมาจากเมืองไทย ไปเกาะสมุยมาสนุกมาก ๆ พูดภาษาไทยได้ด้วย แล้วก็ถอดเสื้อตัวนอกออกโชว์เสื้อยืดเบียร์ช้างอีกต่างหาก แล้วก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีมาก ๆ เพราะเค้าบอกว่า ประทับใจเมืองไทยและคนไทยมาก ๆ เอาเป็นว่า เค้าให้เราเข้าชมพระราชวังนี้เลย ไม่ต้องซื้อตั๋ว ให้เดินตามเค้ามา แล้วเราก็เดินต้อย ๆ ตามคุณเจ้าหน้าที่ไป ระหว่างทาง ไม่มีคนเลย ชักหวั่น ๆ ใจแฮะ ชอบเมืองไทยแล้วชอบสาวไทยด้วยป่าวหว่า (คิดไปโน่น แต่บรรยากาศมันน่าคิดจิง ๆ นะ ถึงแม้ว่าหน้าตาของเราจะไม่น่าชวนให้ชอบก็ตาม)

แล้วก็ถึงมุมอับที่ไม่มีใครเดินผ่านเลยแม้แต่คนเดียว เจอเข้ากับประตูทึบ ๆ บานหนึ่งซึ่งต้องไขกุญแจเข้าไปด้วย ใจตอนนั้นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว กะจะบอกว่า ไม่เข้าไปดูแล้วก็ได้ จาหาแม่อ่ะ หงิง ๆ ปรากฏว่า พอประตูเปิดออกมา มีคนอยู่ในนั้นเต็มไปหมดเลย เฮ้อ ช้านคิดอะไรไปไกลขนาดน้าน ที่เค้าพาเรามาคนเดียว เพราะที่นี่เปิดให้เข้าไปชมภายในเป็นรอบ ๆ และเนื่องจากเสียเวลาเรื่องบัตรอยู่นาน ทำให้ไม่ทันรอบที่เข้าชม เลยไม่มีคนเดินให้เห็นนั่นเอง

เราก็เดินเข้ากลุ่มไปอย่างรวดเร็ว เพราะมาช้า แล้วก็เข้ามาขัดจังหวะการพูดของไกด์อีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เราคนเดียวที่มาช้า แต่คุณเจ้าหน้าที่คนนั้นก็พาคนเข้ามาอีกเป็นระยะ ๆ ภายในพระราชวังนี้ ไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไรมากนัก ไกด์ทำหน้าที่บรรยายได้อย่างละเอียดมาก (เดาเอานะ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง เค้าบรรยายเป็นภาษาเยอรมัน) ด้วยความที่เราฟังไม่รู้เรื่องเลย ทำให้รู้สึกเบื่อ จะแอบเดินออกไปก่อนก็ไม่ได้ เพราะอาจหลงทางได้ เพราะแต่ละห้องมีการใส่กุญแจไว้ (ไม่รู้จะล๊อคทำไม ไม่เห็นมีของมีค่าเลย) คุณไกด์จะไขกุญแจให้เข้าไปดูทีละห้อง และก็จะเป็นทางออกจากปราสาทด้วย ก็เลยโดนขังอยู่ 1 ชั่วโมง เลยเวลานัดมาแล้วอีกต่างหาก และแล้ว เราก็ได้ปล่อยตัวออกไปจากปราสาทกลับไปหาแม่แล้ว เย้

แล้วเราก็เดินลากสังขารโทรม ๆ กลับมาหาลูกทัวร์ เพื่อจะชวนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ Albredt Durer House เพราะเหลือตั๋วเข้าได้อีก 2 ใบ ที่นี่เป็นบ้านของศิลปินคนดังของเมือง Nuremberg เมื่อ 500 กว่าปีก่อน โดยมีภรรยาของ Albredt Durer เป็นผู้พาชมบ้าน อย่าตกใจไปค่ะ เธอเป็น Audio Guide ค่ะ ไม่ได้มีสัมผัสที่ 6 นะจ๊ะ แล้วก็เหมือนพิพิธภัณฑ์ในเมืองนี้ที่เราเจอมา เธอบรรยายได้ละเอียดละออมากค่ะ เลยแอบข้าม ๆ ไปหลายตอนอยู่ ที่นี่เป็นบ้านที่น่ารัก แล้วก็น่าอยู่มากแต่แปลกดีที่มีครัวอยู่ข้างบนบ้านและอยู่ติดกับห้องนอนเลย ส่วนชั้นบนสุดของบ้านจะเป็น studio สำหรับทำงานศิลปะของเจ้าของบ้าน ซึ่งก็มีศิลปะหลายแขนง แล้วก็มีห้องฉายหนังที่เล่าถึงชีวประวัติของ Albredt Durer ด้วย ซึ่งหนังจะฉายวนไปเรื่อย ๆ พอเราเข้าไปดู Audio Guide ก็จะจูนเข้ากับเสียงในหนัง นั่งดูได้ทันทีเลย

ในห้องทานอาหาร โดยมีภรรยาเจ้าของบ้านยืนต้อนรับอยู่


เครื่องทำงานพิมพ์ของเจ้าของบ้าน ยังใช้ได้อยู่



เฮ้อ หมดภาระกิจที่ต้องใช้ตั๋ว Take five แล้ว กลับดีกว่า ไม่รู้ขากลับเราจะเจอกกับอะไรอีก เพราะเรานั่ง ICE ซึ่งเป็นรถไฟด่วนสายตรงไม่ได้ซะแล้ว พอมาดูตารางรถที่สถานีปรากฎว่าเกือบทั้งหมดมีแต่ ICE เข้ามิวนิคหมดเลย ถ้านั่งแบบหวานเย็นต้องรอนานอยู่ เพราะไม่ได้มีทุกชั่วโมงแบบ ICE แล้วก็ไม่ได้วิ่งตรง จะต้องไปแวะตามเมืองรายทางด้วย ใช้เวลาตั้งแต่ 2 ชั่วโมงขึ้นไป เฮ้อ ของแพงก็ดีอย่างงี้แหละ

วันที่เรานั่งรถไฟหวานเย็นกลับมิวนิคเป็นวันศุกร์ จึงมีผู้โดยสารขึ้นรถไฟกันแน่นขนัด จนบางช่วงต้องยืนเลยทีเดียว เป็นเพราะขบวนที่เรานั่งนี้เป็นขบวนที่วิ่งตรงเข้ามิวนิค และใช้เวลาน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับนั่งขบวนอื่นในช่วงเวลานี้ เฮ้อ เป็นการบีบทางอ้อมให้ขึ้น ICE นะเนี่ย แต่เพื่อของถูก คณะเรานั่งเรื่อยเปื่อนเฉื่อยแฉะได้ค่ะ ถือว่าเป็นการนั่งรถเที่ยวชมวิว

กลับมาถึงมิวนิคก็ค่ำแล้ว แต่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่เลย เลยหาข้าวเย็นกิน โดยมื้อนี้สมาชิกโดยหัวหน้าทัวร์นั่นเอง เรียกร้องอยากกินข้าวมาก ปกติก็เป็นพวกไม่ชอบกินข้าวนะ แต่มันผ่านไปเกือบ 10 วันแล้วที่ไม่มีข้าวตกท้อง กินแต่ขนมปัง เลยอยากแหลือเกินจนต้องไปซื้อข้าวแขกกิน เป็นข้าวผัดน้ำมันรสชาดจืดชืด ข้าวก็แข็งเหลือหลาย แต่ก็กินหมดด้วยความคิดถึงข้าวที่บ้าน เสร็จแล้วก็ออกมาเริงราตรีต่อ ก็นั่งรถรางเที่ยววนไปวนมา ต่อรถเมลล์บ้างไปเรื่อย ๆ จนสุดท้าย กระโดดลงป้ายผิด โดนรถรางมาทิ้งไว้กลางถนนเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แล้วรถรางที่จะต้องวิ่งสวนมาเพื่อเข้าเมืองไม่รู้ว่าหมดไปแล้วหรือยกเลิกมาเส้นทางนี้ก็ไม่รู้ เพราะช่วงนี้มิวนิคมีการซ่อมถนนอยู่เกือบทั้งเมือง เส้นทางเดินรถโดยเฉพาะรถรางบางสายเปลี่ยนไปหมด แถมยังเขียนเป็นภาษาเยอรมันอีกต่างหาก เดินไปก็เริ่มเครียด เพราะมันเปลี่ยวมาก นอกจากจะไม่มีคนเดินผ่านแล้ว ตรงป้ายรถนั้นก็ดันมีผูหญิงที่ดูไม่ออกอว่าสติไม่ดีหรือเมายานั่งมองเราอยู่อย่างสนใจ เลยตัดสินใจเดินหนีดีกว่า ก็เลยเดินผ่านมาจนหาสถานีรถไฟเจอ ก็เลยได้นั่งรถไฟมาลง Karlsplatz แล้วค่อยเดินกลับที่พัก หมดไปอีก 1 วันรันทด




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2550
3 comments
Last Update : 23 ตุลาคม 2550 9:33:42 น.
Counter : 1102 Pageviews.

 

ขอไปเที่ยวด้วยคนนะคะ

 

โดย: Complicatedgirl 23 ตุลาคม 2550 16:54:23 น.  

 

ขอตามไปเที่ยวด้วยอีกคนค่ะ

 

โดย: คราม IP: 125.24.201.212 23 ตุลาคม 2550 20:17:18 น.  

 

......ไปที่นี่มาเหมือนกันครับเมื่อปีที่แล้วกับปี04 ครั้งแรกไปเที่ยว ครั้งที่2พาเพื่อนไปเที่ยว......

 

โดย: jetsada.999 26 ตุลาคม 2550 9:31:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นู๋Poopy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




http://fastwebcounter.com
Friends' blogs
[Add นู๋Poopy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.