ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 ตุลาคม 2552
 

ม.๔ ปี ๔

ภาค ม.ปลาย
ม.๔ - รุ่นพี่รุ่นน้อง
รุ่นน้องทุกๆคน ย่อมไฝ่ฝันและเฝ้ารอเวลาที่ตัวเองจะเป็นรุ่นพี่ มีอภิสิทธิ์มากมาย ใหญ่แบบคับฟ้าคับแผ่นดิน เป็นที่กลัวเกรงและนับถือ...ว่าไปนั่น จะอย่างไรก็ตาม ม.๔ ถือเป็นเสต็ปแรกของเสต็ปเทพในการเป็นรุ่นพี่ เพราะว่าจะเป็นชั้นรุ่นที่โดนมอบหมายให้คุมเด็กม.ต้นในช่วงกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นคุมวิ่ง คุมเชียร์ทีมโรงเรียนหรือทีมบ้านตัวเองเวลามีแข่ง พูดง่ายๆคือจะเริ่มเบ่งได้ก็ตอนม.๔ เนี่ยแหละ พวกเราจะเรียกม.๔ว่า 4th Form, ม.๕ - Lower 6th Form, ม.๖ – Upper 6th Form
ผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเรียกว่า 4th Form 6th Form? แล้วก็ไอ้ 5th Form มันหายไปไหน? ที่เรียกกันเป็น Form เพราะมันเรียกกันตามระบบการศึกษาของอังกฤษครับ ในอังกฤษเขาจะเรียนกัน 13 ปี (นับจาก ป.๑ ไปจนจบม.ปลาย) โดยที่ม.๑ เขาจะนับเป็น Year 7 ต่อจาก Year 6 (ป.๖) ไปเลยโดยที่มี Year 13 เป็นชั้นสุดท้ายของม.ปลาย ก่อนที่จะไปเรียนต่อภาคอุดมศึกษา ส่วนที่ว่า 5th From มันหายไป ก็เพราะว่าโรงเรียนของผมมีถึงแค่ Year 12 ฉะนั้นก็เลยเรียก Year 12 (หรือม.๖) ว่า Upper 6th และ Year 11 ว่า Lower 6th แทน ส่วนการเป็นรุ่นพี่ไม่ได้มีอภิสิทธิ์ในการเบ่งอย่างเดียว หากแต่ว่าทางโรงเรียนจะมีบางพื้นที่ที่สงวนใว้ให้กับรุ่นพี่เท่านั้น โดยอภิสิทธิ์นั้นจะมีให้มากขึ้นตามลำดับของชั้นเรียน เท่าที่จำได้ พื้นที่ที่จำกัดไว้สำหรับรุ่นพี่ตั้งแต่ม.๔เป็นขึ้นไปมีดังนี้

ม.๔
4th Form Bench: ม้านั่งสำหรับนักเรียนชั้นม.๔ขึ้นไป ถ้ารุ่นน้องกระแดะนั่งจะโดนตบสั่งสอน

ม.๕-๖
Fountain: 6th Form เท่านั้นที่เข้าไปในบริเวณน้ำพุได้
6th Form Bench: ม้านั่งสำหรับนักเรียนชั้นม.๕ – ๖ ม.๔ ห้ามสะเออะ
6th Form Toilet: เข้าไปขี้ไม่ได้ถ้าไม่ใช่รุ่นเพ่ห์
Cubie: ในแต่ละหอของบ้าน จะจัดส่วนที่เป็นส่วนของพวกเด็ก ม.๖ ให้มีความเป็นส่วนตัว (มีประตู ตีฝ้ากั้นห้อง) พวกเราจะเรียกห้องที่ตีขึ้นมาใหม่ว่า Cubie

อภิสิทธิ์อีกอย่างที่เด็กม.๕ ม.๖ จะได้ ก็คือไข่ดาว ไข่ต้ม หรืออาหารพิเศษอย่างอื่นในช่วงอาหารเย็น แถมพวกม.๕ ม.๖จะนั่งกันตรงหัวโต๊ะ ซึ่งหมายความว่าจะได้ตักอาหารก่อน เลือกไก่ชิ้นดีๆ ตักได้หลายชิ้น ส่วนพวกรุ่นน้องส่วนใหญ่ก็ต้องรอกันไป กว่าจะถึงก็แทบจะไม่มีอะไรให้กิน ต้องรอให้คนในครัวไปตักมาให้ใหม่

การเป็นรุ่นพี่ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายนะครับ เพราะว่าไม่ใช่รุ่นน้องจะกลัวรุ่นพี่ทุกคน พวกที่ไม่ค่อยจะมี personality แบบผมค่อนข้างจะโดนท้าทายจากรุ่นน้องค่อนข้างบ่อย อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้เป็นพวกบ้าพลัง หรือไปวุ่นวายกับรุ่นน้องมากเท่าไหร่ ก็เลยไม่น่าดูน่าเกรงขามอะไรนัก หากว่าเราไปแกล้งเด็กมากเกินไป รุ่นน้องมันอาจจะฟ้องเรากับครู, รุ่นพี่, หรือ Prefects ได้ซึ่งหมายความว่างานเข้าแน่นอน แต่ถ้าเราไม่เข้มเลย รุ่นน้องจะไม่กลัวและปีนเปลียวโชว์เพื่อนๆมัน แสดงให้ดูว่าข้าเจ๋ง ลำบากครับ เป็นคนดีเกินเราก็จะแย่เอง บ้าอำนาจเกินไปก็งานเข้าได้เหมือนกัน

แต่ถึงยังไงก็ตามนักเรียนโรงเรียนนี้จะปลูกฝังให้รุ่นน้องเคารพรุ่นพี่โดยรุ่นพี่และเหล่าครูๆ ใช่ครับพวกครูก็สนับสนุนระบบรุ่นพี่รุ่นน้องนี้ เพียงแต่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับการลงโทษที่รุนแรงเช่นตบหน้า และการใช้อำนาจในทางผิดๆเช่นการไถเงินหรือ extortion ผมเคยโดนรุ่นน้องปีนเกลียวอยู่สองสามครั้ง แต่ที่จำได้แม่นๆคือตอนอยู่ม.๔ ครั้งนึงและตอนม.๖ อีกครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่ผมช่วยคุมรุ่นน้องเชียร์ทีมบาสโรงเรียนที่แข่งอยู่กับโรงเรียนอื่นที่มาเยือน การคุมเชียร์ก็คล้ายๆเป็นพี่ว้ากนั่นแหละ มันต้องเข้มๆหน่อย ระหว่างที่เชียร์กันอยู่ดีๆผมก็ได้ยินคนเรียกชื่อล้อ (เพื่อนๆที่โน่นเขาตั้งฉายาให้ว่า Bhantos มาจาก Bhanchod เพราะว่าผมเสียงใหญ่ เลยล้อว่าพูดไม่ชัด ส่วนความหมาย Bhanchod เชิญไปปรึกษาอากู๋เองครับ มันเป็นคำด่า) เสียงมันก็มาจากพวกรุ่นน้องที่ผมคุมเชียร์อยู่นั่นแหละ แต่ว่าผมก็คิดว่าหูมันคงจะฝาด เลยไม่ได้ว่าอะไร อั่นแน่พอไม่ว่าอะไรเจ้านี่ก็ได้ใจแป๊บเดียวก็เอาอีก คราวนี้เต็มหูเลยเพราะรอฟังอยู่แล้ว หันควับไปก็ทำหน้าเหรอหรากันใหญ่ มีขำกันด้วย อืม..สนุกเนอะเอ้าไหนๆก็เล่นกันซึ่งๆหน้าอย่างนี้ จะไม่ทำอะไรเดี๋ยวจะเสียน้ำใจ อุตส่าห์เชิญชวนกันซะขนาดนี้ ว่าแล้วก็เลยเข้าไปถามว่าเมื่อกี้ใครเรียก? เอ้า!แอ๊ปแบ้วกันใหญ่ ไม่มีใครยอมรับ ได้ครับเดี๋ยวจัดให้เอง ว่าแล้วก็ชี้ไปที่พวกรุ่นน้องไล่ตั้งแต่ม.๓ยันป.๖ ว่า “๑ ๒ ๓ ๔ ๕...๑๐ เอ็ง สิบคนไปหาข้าที่ห้องม.๔ หลังแข่งจบ”

หลังจากที่การแข่งบาสจบไปแล้วพวกรุ่นน้องทั้งสิบก็มาที่ห้องเรียนม.๔ ตามที่ผมบอกไว้ ความจริงแล้วผมจำเสียงคนที่มันเรียกผมได้แหละ แต่ว่าอยากให้ยอมรับเอง เมื่อมากันครบผมก็ถามอีกครั้งว่าใครเป็นคนเรียก ให้ยอมรับมาซะ คนอื่นจะได้ไม่ซวยไปด้วย รอไปสักพักก็แน่ใจว่าไอ้คนที่ซ่าส์คงไม่ยอมรับ และแน่นอนที่สุดว่าเพื่อนๆมันจะไม่หักหลังชี้ตัวเพื่อน ผมก็เลยจัดการตบพวกรุ่นน้องทีละคน คนละสามที ไล่จากป.๖ขึ้นไป เด็กเล็กผมก็ตบเบาหน่อย ส่วนพวกม.๒ขึ้นไป ผมตบจนเซ บางคนก็ลงไปนั่งพับกับพื้น จนกระทั่งเหลือไอ้ตัวดีกับเพื่อนๆม.๓ของมันซึ่งก็เหลือแค่สามสี่คนแล้วเท่านั้น อ้ายเวรนี่ก็ดันอยากหล่อขึ้นมาทันที พี่แกเล่นบทพระเอกยอมรับขึ้นมาเฉยว่ามันเป็นคนพูดเอง โอ้โหน้อง รอให้เพื่อนๆโดนซัดไปแล้วซะหกเจ็ดคน เพิ่งจะมาหล่อได้ เลยจัดไปสี่ห้าดอก เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้มือผมหนักเอาการ คุณๆท่านๆคงคิดว่ารุ่นน้องพวกนี้คงไปฟ้องครูแน่ๆที่โดนซัดไปซะขนาดนี้ แต่จริงๆแล้วไม่เลยครับไม่มีใครไปฟ้อง ทำไมนะหรอ? ขืนไปฟ้องครูว่าโดนรุ่นพี่ทำโทษเพราะโดนจับได้ว่าไปหลอกด่า จะโดนครูตบซ้ำนะสิ

เหตุการณ์อีกครั้งเกิดขึ้นตอนที่อยู่ม.๖ เป็นช่วงที่โรงเรียนเริ่มตั้งกฎห้ามเด็กโตตบตีเด็กเล็กเพราะต้องการลดความรุนแรงในโรงเรียน ตอนนั้นมีเด็กม.๑อยู่คนที่เหมือนจะว่าเป็นลูกคนใหญ่คนโตจากที่ไหนมาไม่ทราบได้ แต่ว่าค่อนข้างซ่าและกร่างพอควร มีอยู่บ่ายวันนึงผมเดินผ่านเด็กกลุ่มนี้ แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง! ไอ้ตัวเล็กนี่มันเรียกชื่อล้อผม ผมแทบจะไม่เชื่อหูเพราะว่ามันอยู่แค่ม.๑ ฤจะหาญกล้าท้าม.๖ เลยทำหูทวนลม คิดว่าหูน่าจะฝาด แต่ไม่เลยอ้ายตูดหมึกนั่นไม่รอช้าที่จะโชว์พาวกับเพื่อน แล้วก็เรียกผมอีกครั้ง...อืมคราวนี้ชัวร์แล้ว ก็เลยไปหาแล้วถามว่าหาเรื่องทำไมอ้ายหนู เจ้าตัวน้อยก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรแล้วตีหน้าเซ่อ แหม่อะไรมันจะกวนทีนได้ใจ คิดว่าโรงเรียนเขาออกกฎไม่ให้ตบแล้วนึกว่าจะไม่กล้าหรอ? แต่ติดที่ว่าเค้าตัวเล็กมาก จะใส่เต็มแรงสงสัยมันสลบแน่ๆ เอาวะออมแรงหน่อยเดี๋ยวคอหักแล้วจะยาว พอตอนจะตบไอ้เวรนี้มีการมาขู่อีก ว่าถ้าตบมันมันจะไปฟ้องครู...แสบไหมครับพี่น้อง พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เลยไม่คิดหน้าคิดหลัง จัดไปหนึ่งดอก

เสร็จปุ๊บมันก็รีบวิ่งไปที่หอมัน แน่นอนว่าไปฟ้องครูแน่ๆ ผมก็ยืนรออยู่แป๊บนึงไอ้ตัวดีก็วิ่งมาบอกว่าครูเรียกให้ไปหาพร้อมยักคิ้วให้ว่า “เอ็งเสร็จแน่” เมื่อผมไปพบกับครูและเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด เขาก็หันไปถามขาโจ๋ ว่าจริงหรือ? พ่อคนเก่งของเราก็ตอบทันทีว่า “ใช่ครับ ผมโดนเขาตบแค่เพราะว่าเรียกว่า Bhantos แค่นี้เอง” สิ้นคำพูดของพ่อคนเก่งก็ตามด้วยเสียง “เปี้ยงงงงงงงงงง!” สองสามทีติดกัน ใช่ครับครูเขาตบพ่อคนเก่งของเราเสียจนเซติดผนังเลย แล้วครูก็สั่งสอนบอกให้รุ่นน้องม.๑คนนั้นเคารพรุ่นพี่ อย่าไปกวนทีน นี่เป็นโชคดีที่ผมไม่ใช่พวกบ้าพลัง ไม่งั้นคงจะโดนเรียกขึ้นไปบนหอแล้วปิดห้องสกรัมเรียบร้อย เมื่อสั่งสอนกันเสร็จแล้วครูหันมาถามผมอีกว่าอยากจะตบสั่งสอนอีกสักทีไหม? พอดีผมกำลังช๊อคที่ครูตบขาโจ๋ของเราแบบไม่มีออมแรง ก็เลยปฎิเสธไป ไม่ตบดีกว่า เดี๋ยวมันจะตายคามือ

คุณผู้อ่านคงจะรู้สึกว่ามันรุนแรงเกินเหตุไปรึปล่าวที่จะต้องมาตบตีกัน เรื่องนี้ผมให้ไปตัดสินใจกันเอง แต่บอกได้เลยว่าตั้งแต่ที่โรงเรียนออกกฎห้ามตบตี รุ่นพี่ส่วนใหญ่ก็คุมรุ่นน้องไม่ได้ เพราะว่ารุ่นน้องมันไม่กลัว จากนักเรียนรุ่นก่อนๆที่รู้จักอดทน เคารพรุ่นพี่ ก็กลายเป็นพวกแหยๆขี้ฟ้อง ใจปลาซิว ผมเคยไปคุยกับรุ่นน้องที่กำลังเรียนอยู่หลังจากที่ผมจบไปแล้ว ทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าเดี๋ยวนี้มีแต่พวกขี้ฟ้อง รุ่นพี่คุมรุ่นน้องไม่ได้แล้ว ขนาด Prefect ทางโรงเรียนยังไม่ให้ทำโทษ สุดท้ายก็เลยปล่อยๆไป ใครจะทำอะไรก็ทำ รุ่นพี่ก็ไม่ได้สนใจจะดูแลอะไรอีก ก็อย่างที่รู้ๆกันครับ จะแขกหรือไทย ที่ไหนๆก็เบื่อ "เกรียน"

อวดศักดาความเกรียนกันพอแล้ว มาคุยกันเรื่องรุ่นพี่รุ่นน้องต่อเลยดีกว่า รุ่นพี่ ม.๕ ม.๖ ส่วนใหญ่จะมีรุ่นน้องที่จะเอาไว้เรียกใช้เป็นการส่วนตัว ถ้าจะให้เรียกกันสั้นๆก็คือ "เบ๊" แต่พวกเราที่นั่นจะเรียกกันว่า Cupboard Boy ที่เรียกกันว่า Cupboard Boy เพราะว่าทางรุ่นพี่จะฝากกุญแจของตู้เสื้อผ้าไว้กับรุ่นน้องคนนั้น เพื่อที่จะเป็นการสะดวกต่อการเรียกใช้ให้รุ่นน้องไปเอาของ หรือเอาของไปเก็บ ฉะนั้นคนที่จะเป็น Cupboard Boy จะต้องสนิทกับรุ่นพี่คนนั้นๆอยู่ในระดับที่พอจะเชื่อใจได้ ผมก็เคยเป็น Cupboard Boy ด้วยเหมือนกัน

การเป็น Cupboard Boy นี่ค่อนข้างจะน่ารำคาญ เพราะว่ามีอะไรๆก็จะโดนเรียกใช้ ชีวิตจะไม่ค่อยปกติสุข เวลาจะปล่อยทุกข์ถ้าโดนเรียกก็ต้องรีบไป แถมการเป็นเบ๊นั้นไม่ได้จำกัดหน้าที่อยู่ที่การเอาของไปเก็บหรือว่าไปเอาของเวลาที่รุ่นพี่เขาต้องการนะครับ เราจะโดนใช้งานจิปาถะเต็มไปหมด เช่น เอาผ้าไปส่งซัก ไปเอาผ้าที่ซักเสร็จแล้วมาส่งให้ หากรุ่นพี่ของเราตื่นสายไม่ลงมากินข้าว เพื่อนๆของเขาก็จะเอาอาหารเช้าใส่ๆถาดแล้วให้เราเอาไปให้รุ่นพี่ที่เตียง...พระเจ้า Breakfast in Bed มันช่างหะรู หะรา สนุกสุขสำราญเสียเหลือเกินสำหรับชีวิตเด็กนักเรียนม.ปลายที่โรงเรียนนี้ มีบริวารให้ใช้ฟรีๆอย่างนี้มีอีกที่ไหนในโลก หลายๆท่านคงเริ่มรู้สึกอิจฉาแล้วใช่ไหม? แต่โปรดอย่าลืมว่าก่อนที่ท่านจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขขีสโมสร ท่านต้องผ่านการเป็นเบ๊มาก่อนหลายต่อหลายปี ก่อนที่จะได้สบายในสองปีสุดท้าย แล้วถ้าหากท่านเป็นพวกขี้ฟ้องมาก่อน ก็อย่าได้ฝันว่ารุ่นน้องคนไหนมันจะเคารพและยอมให้ท่านใช้

การเป็นเบ๊ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว เพราะว่ารุ่นพี่ก็ต้องดูแลรุ่นน้องตัวเองให้อยู่ได้อย่างสุขสบายกว่ารุ่นน้องทั่วๆไป เช่นถ้าหากรุ่นพี่เป็นคนคุมเชียร์ ก็อาจจะให้รุ่นน้องของตัวเองโดดไปนอนเล่น หรือที่ทำกันเป็นประเพณีก็คือรุ่นพี่จะแบ่งอาหารที่ทางครัวจัดให้เป็นพิเศษสำหรับเด็ก ม.๕ - ม.๖ เช่นไข่ดาว ไข่ต้ม นมสด หรือขนมอื่นๆให้กับรุ่นน้องของตนไป ไม่ก็ซื้อขนมนมเนยเลี้ยงบ้าง เอาเงินให้เป็นค่าขนมบ้างตอบแทนน้ำใจ ฉะนั้นรุ่นน้องที่เป็นเบ๊จะมีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีกว่าหากมองถึงเรื่องการกิน นี่คือการอยู่อย่างรุ่นพี่รุ่นน้อง มีการให้และรับ หากมองกลับไปจากตอนนี้ นักเรียนเก่าเกือบทุกคนจะบอกว่านั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด และระบบรุ่นพี่รุ่นน้องนั้นไม่มีอะไรที่เสียหาก แต่ถ้าคุณไปถามเด็กๆรุ่นน้องที่เรียนอยู่ตรงนี้สิ รับรองได้ว่ามีไม่ถึง 10% หรอกที่จะมีความเห็นเหมือนพวกผม เมื่อสองเดือนก่อนผมไปเจอกับรุ่นน้องที่เคยเป็น Cupboard Boy ของผมใน Facebook เรายังคุยกันถึงเรื่องราวเก่าๆ ตอนนี้เขาอยู่ที่ออสเตเรีย ทำงานเป็น Chef นี่ถ้ามีโอกาส ผมว่าจะไปเที่ยวที่ออส แล้วไปเป็นลูกมือรุ่นน้องคนนี้ทำงานแลกกับอาหารบ้าง (ฮา)



Create Date : 19 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 19:45:20 น. 0 comments
Counter : 407 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Karakgnut
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Karakgnut's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com