ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 ตุลาคม 2552
 

ม.๒ ปี.๒

ปี๒

ด้วยการที่ต้องกินอยู่ ใช้ชีวิตร่วมกันทุกๆวัน มันไม่ยากเลยที่จะเห็นนิสัยที่แท้จริงของคนเรา ตอนมสองผมก็เริ่มมีเพื่อนสนิทที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด มีนํ้าใจ และจริงใจ เพื่อนสองคนนี้ชื่อคิมมี่และโตคาโต้ สองคนนี้เค้าเป็นคน Nagaland ซึ่งเป็นอยู่ในโซนทางทิศตะวันออกของอินเดีย ติดๆกับพม่า ฉะนั้นพวกนี้จึงมีหน้าตาออกไปทางเอเซียๆแบบบ้านเรา โตคาโต้นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของคิมมี่ ด้วยความที่หน้าตาและความคิดออกไปทางเดียวกัน พวกเราจีงสนิทกันเร็ว

ก่อนที่จะเล่าต่อ ผมขออธิบายเรื่องบ้านในโรงเรียนหน่อย ในโรงเรียนนี้มีอยู่สี่บ้าน Rivaz (sky blue), Ibbetson (navy blue), Lefroy (forest green), และ Curzon (red). คิมมี่นั้นอยู่บ้านเดียวกับผม (Rivaz) แต่ว่าโตคาโตนั้นอยู่ Ibbetson ผมเลยสนิทกับคิมมี่มากกว่า เรียกว่าไปใหนไปด้วย มีอะไรก็จะแบ่งกัน เรียนเราสามคนสนิทกันตั้งแต่ม๒ยันเรียนจบเลย วีรกรรมต่างๆของผมส่วนใหญ่จะมีสองคนนี้เป็นแนวร่วมอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการโดดเรียนไปดูหนังกินเหล้า, หรือไปหลีสาวๆที่โรงเรียนหญิงตอนอยู่มปลาย

ทุกๆเดือนจะทางโรงเรียนจะมีวันให้หนึ่งวันนักเรียนทุกคนออกไปเที่ยวในเมือง พวกเราเรียกกันว่า Town Leave ซึ่งนักเรียนจะออกจากโรงเรียนได้จาก ๘๐๐ เช้าและต้องกลับมาให้ทันข้าวเย็น ๑๙๐๐นักเรียนส่วนใหญ่จะไปกินข้าวกลางวัน ดูหนัง เล่นเกมส์ตู้ พวก senior ที่โตๆหน่อยอาจจะดอดไปนั่งกินเหล้าที่บาร์หรือว่าไปนั่งในร้านกาแฟสุดฮิต นักเรียนเล็กๆส่วนใหญ่ต้องการจะประหยัดเงินค่าเดินทางเอาไว้กินขนมเพราะได้ค่าขนมมาจำกัด พวกนี้เลยใช้วิธีเดินไปกลับลัดเลาะไปทางบนเขา ผมไม่แน่ใจระยะทาง แต่คาดว่าน่าจะประมาณสองสามกิโล ใช้เวลาเดินไปประมาณ๔๐นาทีหรือมากกว่าเพราะมันเป็นทางขึ้นเขา ส่วนตอนกลับนั้นจะเร็วกว่าเพราะว่าเป็นทางลาดลง

ตอนม๑ผมไม่ค่อยได้ไปในเมืองบ่อยนัก เพราะว่าไม่ค่อยจะมีเพื่อนไปด้วย แต่ว่าตอนม๒ผมมีเพื่อนสนิทแล้ว ก็ไอ้เจ้าคิมมี่กับโตคาโต้นั่นแหละเจ้าสองคนนี้ก็ชวนให้ผมไปTown Leaveด้วยกับพวกมัน เพราะว่ามันเพิ่งรู้ว่าผมไม่เคยไปดูหนังแขกในเมืองสักที แล้วพอดีมีหนังแขกสุดฮิตกำลังฉายอยู่ในตอนนั้น ชื่อ Rangeera แปลว่าสายรุ้ง ถ้าจำไม่ผิดนางเอกเป็นใคร ผมจำไม่ได้ แต่ว่าเหตุที่หนังมันฮิตและที่ไอ้ลิงสองตัวนี้อยากไปดูก็เพราะนางเอกนี่แหละ

แน่นอนว่าผมรับคำชวนทันที เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จะได้ดูหนังแขกจากจอ เชื่อมั้ยครับว่าตั๋วหนังที่อินเดียถูกมาก อาจจะเป็นเพราะว่าโรงหนังในเมืองมันห่วยๆด้วยตั๋วละสองสามรูปีเอง สองสามบาท) แลกกับหนังสามชั่วโมง มีเบรกตอนกลางเรื่อง) ถือว่าคุ้มมากครับ ถ้าไปดูช่วงเย็นๆเขาจะฉายหนังเรทอาร์หนังฝรั่งอันนี้ค่าตั๋วจะแพงขึ้นมาหน่อยประมาณเจ็ดรูปีเห็นจะได้ เด็กๆเขาไม่ให้เข้านะ ผมดูหนังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง ส่วนใหญ่ผมจะให้เพื่อนสุดที่รักของผมแปลให้เกือบตลอดทั้งเรื่อง แน่นอนที่สุดว่าอ้ายสองตัวนั่นคงจะเซ็งและรู้สึกว่ามันคิดผิดที่ชวนผมมาดู เพราะว่าผมแทบจะไม่ปล่อยให้พวกมันดูอย่างสงบเลย แต่สุดท้ายก็ดูจนจบเรื่อง โดยที่ผมค่อนข้างจะเข้าใจและรู้สึกสนุกกับหนัง สองคนนี้ก็แฮปปี้ไปกับผมที่เพื่อนมันก็สนุก ตอนปีหลังๆผมก็ไม่ค่อยต้องให้เพื่อนช่วยแปลเพราะว่าเริ่มฟังออกแล้ว แต่บางทีก็ฟังไม่ทันเลยต้องให้มันแปลเป็นบางครั้ง ตอนนี้เวลาผมดูหนังบางเรื่องที่เขาพูดภาษาฮินดิผมยังฟังออกเลย ออกจะภูมิใจนิดๆยกตัวอย่างหนังที่มีภาษาฮินดิที่ผมเพิ่งดูไม่นานมากนักก็มี Iron Man, Slum Dog Millionaire

ผมคงคิดว่าบางท่านอาจจะอยากรู้ว่าผมเคยดูไอ้หนังอาร์นั่นมั่งรึปล่าว? คำตอบคือเคยครับ และก็ผิดหวังทุกครั้ง

--------

เด็กนักเรียนที่โน่นจะซื้อขนมเอาเข้าไปตุนไว้กินเกือบทั้งปี พวกที่บ้านใกล้ๆหน่อยหรือพ่อแม่มาเยี่ยมบ่อยก็จะมีการเติมเสบียงอยู่เรื่อยๆ วันใหนพ่อแม่ใครมาหา วันนี้ไอ้เจ้าคนนั้นจะมีเพื่อนเยอะเป็นพิเศษ เพราะว่าหวังจะได้แบ่งขนมมากินมั่ง ส่วนผมนั้นก็ขนไปอย่างมากมายมหาสาร เพราะต้องเก็บไปกินทั้งปี ผมสังเกตเห็นว่าพวกเพื่อนๆมันจะชอบไวไวเป็นพิเศษ แล้วที่ในเมืองจะมีร้านขนมอยู่ร้านนึงที่ขายม่าม่ารสต้มยำกุ้งเสียด้วย ตอนนั้นมาม่าห่อละสี่บาทห้าบาทได้ มันขายซะยี่สิบห้ารูปีก็ยี่สิบห้าบาทนั่นแหละสุดยอดแห่งกําไร! พอดีตอนม๒ผมก็ขนขนม ขนมาม่าไปมากพอที่จะกินได้ไปประมาณสามปี เพราะขนไปครั้งแรกเลยกะไม่ถูก ปีแรกไม่ได้ขนไป เพราะไม่ได้ตั้งใจว่าจะได้เรียนเลยในเมื่อผมมีขนมอยู่มากมายเลยแบ่งๆให้เพื่อนๆได้กินกันบ้าง แต่ไม่

มาก ขนมส่วนใหญ่จะเก็บไว้ที่ห้องเก็บของ กันโขมย แล้วแบ่งเอาออกมาเก็บไว้เองทีละน้อยเมื่อเห็นว่าเพื่อนส่วนใหญ่เริ่มจะติดใจในขนมไทย และเริ่มมาขอมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ผมต้องลำบากใจ เพราะว่าถ้าให้คนนึงก็ต้องให้เกือบทุกคน ไม่งั้นมันจะไม่พอใจกัน หาว่างกมั่งแล้วแบ่งพรรคแบ่งพวก จะซวยไปอีก ถ้าให้กันหมดถ้วนหน้า ถึงผมจะตุนไว้มีพอกินอีกสี่ห้าปีก็คงไม่พอ อ้ายพวกนี้รวมถึงผมด้วยเหมือนมีปอบสิงตลอด กินกันทีแทบจะล้มละลาย ในเมื่อสถานการ์ณมันไม่ลงล๊อกผมจึงต้องหาทางปลดล๊อกให้ทุกๆฝ่ายแฮปปี้ ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่พยายามจะสร้างภาพให้ตัวเอง และหาเหตุผลที่ผมผันตัวเป็นพ่อค้าขนมหน้าเลือด

พวกเราคงจะมี Stereo type กับแขกว่าเขี้ยวใช่ไหม? อย่าได้กระนั้นเลย คนไทยครึ่งจีนอย่างผมนี่หลอกแดร๊กแขกมาแล้ว มารูโจ้รสต่างๆห่อละห้าบาท ผมขายห่อละสิบรูปี ม่าม่าต้มยำผมขายห่อละยี่สิบห้ารูปีเท่ากับร้านขนมในเมือง ตอนแรกๆที่ผมบอกเพื่อนๆในห้องว่าผมจะขายและจะเลิกให้ฟรี เพราะด้วยเหตุผลที่กล่าวอ้างมานั้น ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนไม่พอใจและบางคนยังจะเย้ยว่าไม่มีไอ้หน้าโง่ตัวไหนจะมาซื้อขนมราคามหาโหดนี้หรอก ซึ่งในช่วงแรกๆก็เป็นอย่างนั้นจริงๆไม่มีใครซื้อขนมในสัปดาห์แรก แถมยังแอนตี้ผมอีกซะงั้น เอาละสิ ความงกทำพิษซะแล้ว เงินก็ไม่ได้เพื่อนก็หาย แต่ว่าผมยังแบ่งขนมให้ซี้ผมกินเสมอ เพราะมันก็แบ่งขนมผมอยู่บ่อยๆคิดอยู่นานก็ไม่ได้สำนึกว่าตัดสินใจผิด แต่ว่าพอจะมองเห็นทางออกได้แล้ว วันนึงผมตัดสินใจเอามาม่ารสต้มยำออกมาแบ่งเพื่อนๆในห้องหนึ่งฟรีๆห่อ ก็กินกันดิบๆ คลุกๆกับ ผงชูรสแบบเด็กๆในห้องมีกันอยู่ยี่สิบกว่าคน มาม่ามีแค่หนึ่งห่อ พวกที่ได้กินก็ได้น้อยกว่าหยิบมือเพราะหยิบมากจะโดนประนามแถมเกือบครึ่งห้องก็ไม่ได้เห็นแม้แต่เศษผงชูรส แน่นอนว่า ไอ้พวกที่ได้กินก็ยังไม่หนำใจ ไอ้พวกที่ไม่ได้กินใจยิ่งร้อนระอุเข้าไปใหญ่ สุดท้ายเกือบทั้งห้องต้องมานั่งเข้าแถวซื้อขนมผม โดยที่มีอ้ายตัวที่เคยเย้ยผมว่าไม่มีไอ้โง่ตัวไหนหรอกที่จะมาซื้อ วิ่งแจ้นมาเข้าคิวเป็นคนแรก!

------

มาเข้าเรื่องเรียนบ้าง ตอนม๑ในช่วงวิชาฮินดิ ครูเขาจะให้ผมเรียน กขคง. ของภาษาฮินดิ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผมเรียนเหมือนชาวบ้านเขา เนื่องจากว่าด้วยความอยากรู้อยากเรียนภาษาใหม่พอดี ทำให้ผมจำตัวอักษรของฮินดิได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าด้วยความที่ผมรักสบาย อยากสอบง่ายๆ ผมจึงแกล้งโง่อยู่ทั้งปี บวกทั้งผมได้ขอมูลมาว่าครูที่สอนภาษาฮินดิคนนี้เขาชอบน้ำมันมวยของไทยที่เรียกๆกันว่า Tiger Balm Oil ฉะนั้นผมจีงไม่ลืมที่จะซื้อไปฝากเธอทุกๆครั้งที่กลับมาจากเมืองไทยเพื่อที่จะเอาใจเธอ ดังนั้นคุณครูสุดเลิฟจึงให้แต่นั่งท่อง กขคง. ในคลาส และตอนสอบก็แค่ ให้เขียนตัวอักษรฮินดิ เมื่อมาถึงม๒ ครูที่มาสอนวิชาฮินดิห้องผมก็เปลี่ยนเป็นครูผู้คุมของบ้านผม (Rivaz) ชื่อ Mr. Bardwaj อ่านว่า บาร-ดะ-วาจพวกนักเรียนตั้งชื่อแกว่า Chotu อ่านว่า โฉตุ๊ซึ่งชื่นเล่นนี้ผมจะเล่าที่มาที่ไปในตอนหลังๆ ภาคมปลายแกตื่นเต้นมากที่จะสอนภาษาฮินดิให้ผม เพราะว่าแกสอนคนไทยมาสองคนจากที่ไม่รู้ภาษาฮินดิเลยจนสามารถเข้าทำข้อสอบส่วนกลางของอินเดีย เหมือนกับสอบเอ็นต์ บ้านเราได้ภายในเวลาแค่สองปี ฉะนั้นแกต้องการทำแฮตทริก เพื่อเป็นผลงาน ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อ teacher committee จะได้เอาไว้คุยโม้ได้ว่างั้นและแน่นอนมันจะเป็นความภูมิใจของตัวแก ผู้เป็นครูของผมเองด้วย

ผมไปได้ข้อมูลจากรุ่นพี่คนไทยมาแล้วว่าการสอบส่วนกลางนั้นเราสามารถ เลือกวิชาภาษาเลือกได้เอง ภาษาอังกฤษ เป็นวิชาบังคับซึ่งหนึ่งในนั้นมีภาษาไทยอยู่ด้วย แถมข้อสอบยังจะออกมาค่อนข้างหมูสำหรับพวกเรา ถึงแม้ว่าตอนเรียนอยู่ที่เมืองไทย อาจารย์ภาษาไทยจะไม่ชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่เพราะว่าลายมือผมเหมือนไม่เคยมีการพัฒนามาตั้งแต่ป๑ แถมยังสะกดผิดอยู่บ่อยมาก จนเรียกได้ว่า สิ้นหวัง” แล้ว แต่ว่าการที่จะเลือกเรียนภาษาไทยได้นั้นจะเลือกได้ต่อเมื่อเรียนอยู่ม๓แล้วเท่านั้น ฉะนั้นตอนม๒ ผมยังคงต้องเรียนภาษาฮินดิอยู่แบบไม่มีออฟชั่นให้เลือก แต่ทว่าด้วยไฟอันแรงกล้าของโฉตุ๊, จิตวิทยาที่ดี และการสอนที่เข้าใจง่าย ทำให้ผมหลวมตัวตั้งใจเรียนจนสามารถอ่านออก และเริ่มเขียนได้ในแค่เทอมแรก ตอนนี้ทุกๆท่านคงคิดว่าสุดท้ายผมคงเก่งภาษาฮินดิจน สามารถอ่านออกเขียนได้สินะ แต่ว่าสันดานก็ยังเป็นสันดาน มันแก้ไขอะไรไม่ได้ ในเทอมที่สองผมก็รู้ตัวว่าได้ถลำเข้าไปในเขตอันตรายเข้าแล้วเมื่อตอนที่โฉตุ๊เขาเปลี่ยนหนังสือเรียนภาษาฮินดิเป็นของป๕! จากที่เรียนอยู่เป็นของป๑เอาแล้วเว้ย! ตายแน่ๆ ถ้ายังจะทำตัวเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนตอนสอบส่วนกลางตอนจบม๔ นี่ผมคงเครียดจนหัวล้านแน่ๆ หลังจากเรียกสติกลับมาได้ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำตัวโง่อย่างหน้าด้านๆ เหมือนกับว่าโดนเอาหัวไปกระแทกสิบล้อจนเอ๋อ ไอ้ที่เคยอ่านได้ก็กลายเป็นว่าติดๆขัดๆ ไอ้คำที่เคยเขียนได้ก็ผสมคำไม่ถูกซะงั้น ไอ้ที่เคยฟังออกก็ต้องให้บอกซํ้าแล้วซํ้าอีกเหมือนกับคนหูตึง ไม่นานนักที่โฉตุ๊ผู้น่าสงสารจะยอมแพ้และให้ผมกลับมาเรียน กขคง. เหมือนเดิม

ที่โน่นเขาแยก Science ออกมาเป็นฟิสิกส์ เคมี และชีวะ ตั้งแต่ม๑ ช่วงปีที่สองภาษาอังกฤษของผมพัฒนาดีขึ้นมามาก แต่ว่าก็ยังคงมีปัญหาเรื่องการจำศัพท์เฉพาะทางเทคนิคพวกวิชาเคมี ฟิสิกส์ และชีวะ แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุดสำหรับผมในสามวิชานี้คือ เคมี ไม่ใช่ว่าเพราะว่ามันยากอย่างเดียว หากแต่ว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากครูที่สอน

ครูที่สอนวิชาเคมีตอนม๒ เป็นครูผู้หญิงจากทางภาคใต้ของอินเดีย เธอเป็นคนฉลาดมาและมีความรู้ในวิชานี้อย่างโจ่งแจ้ง สามารถตอบคำถามและอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่ายถ้าคุณเข้าใจว่าเธอพูดอะไร อ้าวงงกันละสิ ท่านผู้อ่านคงสงสัยกันว่าตกลงว่าครูเธออธิบายดีรึปล่าว? จะเอายังไงกันแน่? ผมไม่ได้ตั้งใจให้งงเล่นๆเพื่อความสนุกของผมนะครับ ผมหมายความอย่างที่ผมเขียนไปจริงๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าคุณครูเธอผู้นี่พูอ ออ่างไม่ได้!

ทุกๆครั้งที่เธอพูด ออ่าง เธอจะพูด ยยักษ์แทน แล้วคุณๆท่านๆคิดดูแล้วกันว่าสูตรของเคมีจะเรียกจะเขียนกันก็เป็นตัวอักษรเช่น H2O, CaCO3 เป็นต้น แล้วคุณลองอ่านไอ้ตัวอย่างที่ผมให้โดยเปลี่ยนเสียงออ่างให้มันเป็นยยักษ์สิ ตัวแรกจาก เอชทูโอ ก็กลายเป็น เยชทูโย ตัวที่สองจาก ซีเอซีโอทรี ก็กลายเป็น ซีเยซีโยทรี ไม่อยากจะคุยว่าพวกผมนี่แร๊พโย่ว แร๊พเย่ห์ กันเกือบทุกคลาสเคมีตลอดทั้งปี ไอ้ภาษาอังกฤษที่พัฒนามาจากปีหนึ่งนั้นไม่ได้ช่วยอะไรสักนิด เพราะมันเหมือนกับต้องมานั่งแกะภาษา โย่วเย่ห์” ให้มาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วต้องมาแปลให้เป็นไทยเพื่อเข้าใจอีกที อุแหม่เราก็เพิ่งจะฟังให้หูกระดิกได้ เจอชอทพระราชทานแบบนี้ก็ใบ้แดร๊กสิครับ ที่ผมทำได้ดีที่สุดคือหาเพื่อนมานั่งข้างๆให้แปล ภาษา โย่วเย่ห์” เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็หมั่นไปตีสนิทกับครู เพื่อที่จะได้ขอคะแนนเห็นใจเวลาสอบตก แต่ที่ครูเขาพูดอ.อ่างไม่ได้จนทำให้ผมเรียนไม่รู้เรื่องก็ยังมีข้อดีอยู่อย่าง เพราะเวลาผมเบื่อๆผมจะขอให้ครูเธอสะกด Alumimiun ให้ฟัง (เย-แยล-ยู-เย็ม-ไย-เย็ม-ไย-ยู-เย็ม)

วิชาชีวะเป็นอีกวิชาหนึ่งที่ทำให้ผมต้องหนักใจ อันนี้ไม่เกี่ยวกับครูที่สอน แต่ว่าจะเป็นเรื่องของศัพท์เฉพาะที่มีมากมายจนผมจำไม่ได้ ผมพยายามอย่างหนักที่จะท่องจำในช่วงก่อนสอบปลายภาค เพราะว่าทั้งปีที่ผ่านมาคะแนนวิชานี้ของไม่ไม่ค่อยจะอยู่ในโซนที่แข็งแรงสักเท่าไหร่ หากว่าผมซิ่วปีนี้ มันแบเบอร์มากๆว่าผมจะต้องซํ้าชั้น เพราะที่นี่ไม่มีสอบซ่อม ผมพยายามท่องจำอยู่นานแต่ว่าก็ยังไม่คงเป็นผล ผมจึงตัดสินใจว่าจะโกงสอบ! วิธีโกงของผมมันเบสิกมากๆ ก็แค่เขียนพวกเนื้อหาที่เก็งๆไว้ว่าจะออกสอบลงในกระดาษ แล้วแอบเอามาดูตอนสอบ ซึ่งเพื่อนๆผมก็ทำกันอย่างถ้วนหน้า แต่ว่าลายมือของผมนั้นมันเล็กกว่าพวกเพื่อนๆผมอยู่มาก ผมสามารถย่อโน๊ตที่เพื่อนเขียนไว้ขนาด A4 ให้เหลือเท่าประมาณสองเครดิตการ์ด เด็กอินเดียลายมือใหญ่มากครับ ไม่ใช่ว่าผมจะเจ๋งหรืออะไรแถมผมยังสามารถเก็งข้อสอบได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นเวลาก่อนสอบพวกเพื่อนๆจะห้อมหน้าห้อมหลังผมเหมือนชาวบ้านมาหาเกจิเพื่อขอหวย หวังว่าจะรวยกันถ้วนหน้า อ้ายผมก็เป็นคนใจดี เวลาผมทำโน๊ตชีวะผมจะทำเผื่อเพื่อนๆอีกสามสีอัน แล้วให้พวกมันไปแบ่งๆกัน บางคนก็อยากจะรู้ว่าผมเก็งอะไรไว้บ้าง บางคนก็อยากได้โน๊ตเอาไว้ใช้เลย พอทำโน๊ตให้เพื่อนเสร็จผมก็จะทำโน๊ตเพิ่มไว้เรื่อยๆ จะได้มีคำตอบให้ได้มากที่สุด แต่แล้วในสองวันสุดท้ายก่อนสอบชีวะ ผมทำโน๊ตสามอันที่ทำไว้หาย อ้าวซวยแล้ว ผมไม่รอช้าที่จะทำขึ้นมาใหม่ทันที แต่เช้าวันรุ่งขึ้นมันก็หายอีก ผมก็นั่งทำใหม่ ทำๆหายๆตลอดเจ็ดแปดรอบ ชุดสุดท้ายที่ผมทำสองชมก่อนสอบผมก็เก็บไว้อย่างดีในกล่องดินสอ แต่ว่าเหมือนครูคุมสอบจะรู้ทัน ก่อนที่จะแจกข้อสอบเขาบอกให้นักเรียนทุกคนเอาแต่ปากกาดินสอ และเครื่องเขียนอื่นๆออกมาไว้บนโต๊ะ แล้วเอากล่องดินสอและทุกๆอย่างที่ไม่ใช่เครื่องเขียนที่เอาออกมา เอาไปกองสุมไว้ที่หน้าห้อง

เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็แทบช๊อกนํ้าลายฟูมปากเหมือนเอาอีโนเพียวๆกรอก ผมจำใจและจำยอมน้อมรับชะตากรรมแต่โดยดี เดินโซซัดโซเชเอากล่องดวงใจ เอ้ยกล่องดินสอไปวางไว้หน้าห้องอย่างคนสิ้นหวัง แล้วกลับมานั่งรอให้เชือดอย่างเงียบๆ เขียนชื่อตัวเองลงบนกระดาษคำตอบ รอให้ครูคุมสอบบอกให้เริ่มสอบ เมื่อครูบอกว่าให้เริ่มทำได้ ผมก็เปิดข้อสอบช้าๆอย่างไม่กดดันเพราะมันไม่มีอะไรให้กด ให้ดันอีกต่อไป สายตาผมกวาดไปที่คำถาม อ่านอย่างใจเย็น โอวไอ้ที่เก็งไว้มาหมดเลย นี่ถ้าเรายังมีโน๊ตนั่นอยู่คงผ่านแน่ๆ แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าผมจะจำคำตอบที่เขียนไว้บนโน๊ตได้ พระเจ้าจอร์จมันยอดมากค่ะ กลายเป็นว่าไอ้ที่ผมทำโน๊ตซํ้าไปซํ้ามาหลายต่อหลายครั้งเป็นการทบทวนและท่องจำที่ดีมาก จำได้หมดทุก diagram ที่เคยเขียนลงไป รวมถึง definition เกือบทั้งหมด สุดท้ายคะแนนเทอมที่สามฉุดคะแนนเฉลี่ยขี้นมาจนผมผ่านชีวะ แล้วไหนใครว่าการโกงสอบเป็นเรื่องไม่ดี?

จบปีสอง ม๒



Create Date : 19 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 19:38:07 น. 0 comments
Counter : 441 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Karakgnut
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Karakgnut's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com