ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 ตุลาคม 2552
 

เจที, ผี, ซ่าส์ และ จุงฟา ดาห์บะ

ในช่วงม.๔ นั้นก็มีเหตุการณ์ที่น่าเสียใจเกิดขึ้น นั่นคือเราต้องเสียเพื่อนคนนึงไป จะขอเรียกเพื่อนคนนี้ว่า "เจที" เท่าที่จำได้คือเขาเสียชีวิตในช่วงปิดเทอมเล็ก พวกเราส่วนใหญ่รู้ว่าร่างกายของเขาไม่ค่อยแข็งแรง แต่ว่าไม่ได้รู้ว่ามันร้ายแรงขนาดไหน ก่อนที่เจทีจะเสีย เขากลับไปรักษาตัวที่บ้านในเมืองซิมลา พวกเราก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไรมาก มาตอนที่พวกผมรู้ข่าว พวกเราก็ตกใจกัน เพราะไม่มีใครดาดคิดไว้ เย็นวันต่อไปเราก็ไปร่วมงานศพของเจที และก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปเห็นพิธีงานศพของศาสนาฮินดูอย่างใกล้ชิด

ทางครอบครัวของเจทีตั้งสวดศพเจทีไว้ที่บ้าน เขาให้แขกที่มาร่วมงานได้เข้าไปดูหน้าเป็นครั้งสุดท้ายทีละกลุ่มๆ เมื่อถึงคิวของเราๆก็ค่อยๆคุกเข่าคลานเข้าไปในห้อง ซึ่งมีพ่อแม่ ญาติสนิท และพรามห์ฮินดู นั่งอยู่ในห้องกับเจที พวกเขาพันเจทีไว้ด้วยผ้าขาวบางเปิดไว้แต่เพียงหน้า ดูๆแล้วก็เหมือนกับว่าเขาเหมือนกำลังหลับหลับอยู่ แต่ว่าตัวของเขานั้นออกจะเหลืองๆ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะที่ตับหรือไตที่วาย

เมื่อแขกทุกคนได้เข้าเยี่ยมเจทีกันครบ พวกญาติๆก็เอาผ้าขาวที่เหลือพันปิดหน้า แล้วก็ยกเจทีไปนอนบนแคร่แล้วก็แห่ศพไปจนถึงที่เผาโดยพี่พวกเราทุกคนช่วยสลับกันแบก ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆเราก็ถึงที่เผา เขาไม่ได้ใช้เตาเผาเหมือนๆบ้านเรา แต่ว่าเผากันกลางแจ้งเลย จำไม่ได้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่แต่ว่าพวกเราก็อยู่กันจนไฟมอด ตอนที่กลับมาจากงานนั้น พวกเราก็นั่งจำกลุ่มคุยกัน รำรึกความทรงจำที่มีเกี่ยวกับเจที

เจทีนั้นไม่ใช่คนที่เด่นในกลุ่ม แต่ว่าก็ไม่ใช่พวกที่อ่อนแอเหลาะแหละๆ เขาเข้ากับทุกคนได้ดี สนุกและตลก พวกผมยังเคยจับกลุ่มกินเหล้ากับเจทีในหอบ้าง ในเมืองบ้าง โชคดีจริงๆที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องราวชิวิตในอินเดียขึ้นมา เพราะว่านี่เป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ผมเกือบจะลืมไปแล้ว

------------------------

เรื่องผีๆ

โรงเรียนประจำกับเรื่องผีๆย่อมเป็นของคู่กัน ยิ่งโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่ง (ครบรอบ ๑๕๐ ปี ปีค.ศ. ๒๐๐๙) ไม่แปลกที่จะมีเรื่องผีมากมาย แต่ว่าตำนานเรื่องผีที่ผมได้ยินมาไม่มีอะไรแปลกแตกต่าง หรือน่ากลัวเท่าเรื่องผีของบ้านเรานัก ไม่มีการแหกอก หรือควักไส้วิ่งไล่คน เท่าที่จำได้มีอยู่สองเรื่องคือ..

เรื่องแรก

เรื่องนี้มีอยู่ว่า เมื่อนานมาแล้วตอนค่ำๆของวันหนึ่ง ยามที่ป้อมหน้าประตูโรงเรียนเห็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ประมาณม.๑ – ม.๒ เดินก้มหน้าป้วนเปี้ยนๆอยู่คนเดียว หน้าประตูนอกเขตโรงเรียน เหมือนหาของอะไรบางอย่างที่พื้น ยามคนนี้จึงเดินไปหาเพื่อจะพูดคุยและช่วยหาของ เพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว สมควรที่เด็กนักเรียนจะอยู่ในหอ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆก็ได้ยินเสียงเด็กคนนี้ร้องไห้สะอื้นๆไป เดินก้มหน้าหาของที่ทำหล่นไว้ไป เมื่อไปถึงตัวเด็กยามจึงบอกกับเด็กว่า “หาอะไรอยู่หรอหนู มันค่ำแล้วนะ กลับหอได้แล้ว” เด็กคนนั้นก็เลยหันหน้ามาตอบว่า “น้าเห็นหน้าของหนูรึปล่าว?” ใช่ครับหน้าของเด็กคนนั้นไม่มี ตา ปาก จมูก คิ้วเคิ้ว อะไรเลย ไม่ต้องรอให้หมอดูชื่อดังมา “ฟันธง” หรือ “คอนเฟิร์ม” พี่ยามใจดีของเราก็รู้ว่าเจอของดี ว่าแล้วก็วิ่งสติแตกแหกปากไปทั่ว แต่ว่าไม่มีใครได้ยินแกเลย รุ่งเช้าก็มีคนเจอแกนอนสลบอยู่หน้าประตู

เรื่องที่สอง

ทางด้านภูเขาหลังโรงเรียน จะมีที่ๆเด็กนักเรียนเชื่อว่าเคยเป็นสุสานของทหารอังกฤษ สมัยอังกฤษยังปกครองอินเดียอยู่ ว่ากันว่าถ้าสะเออะไปเดินเล่นแถวนั้นตอนค่ำๆ อาจจะเห็นผู้ชายยืนทื่อๆอยู่แถวนั้น ตอนที่ผมเรียนอยู่ก็ได้ยินข่าวลือว่ามีเด็กเจอผีที่นั้นตอนกลางวันแสกๆด้วย แต่ว่าทางโรงเรียนออกมายืนยันหลายครั้งว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่สุสานอย่างที่พวกเราเชื่อกัน จะจริงหรือไม่ยังไงนั้นผมบอกไม่ได้ เพราะไม่เคยเจอกับตัวเอง แต่ว่าพวกเราก็เดินผ่านที่ตรงนั้นออกจะบ่อยเพราะว่ามันเป็นทางที่จะเดินขึ้นไปในเมือง

เห็นรึปล่าวครับว่าเรื่องราวที่เล่ากันมาค่อนข้างธรรมดา และไม่น่ากลัวเท่าไหร่ งั้นเราลองมาฟังเรื่องที่ผมและเพื่อนๆเจอกับตัวบ้าง อาจจะไม่ค่อยหวือหวา แต่ว่ามันก็หลอนพวกเราที่เจอกันเต็มๆ

เรื่องแรก ดูทีวี

เรื่องมีอยู่ว่ามีอยู่คืนนึงตอนที่ผมเรียนอยู่ม.๕ ผมดูทีวีที่ common room ของบ้านผม อยู่จนดึก ช่วงเวลาตีหนึ่ง ตีสอง ขณะที่กำลังดูหนังเพลินๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนใส่รองเท้าแตะเดินมาทางเข้าหอของบ้านผม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดจึงไม่ได้คิดอะไร อาจจะเป็นเด็กในหอเดินกลับจากห้องน้ำก็ได้ แต่ว่า..ทำไมไม่ได้ยินเสียงตอนเดินออกไปนะ? ช่างมันๆดูหนังต่อดีกว่า แต่ทว่าเมื่อเสียงเดินมาถึงที่หน้าหอ เสียงรองเท้ามันไม่ได้เดินเข้ามาในหอ แต่ว่ามันเสียงเดินมันเลี้ยวมาทาง common room และเดินเตาะแตะๆเลาะมาตรงระเบียงข้างนอกมาเรื่อยๆจนหยุดตรงหน้าต่าง หลังทีวี..พอดี แล้วเงียบไป ฟังดูธรรมดาใช่ไหม? งั้นมาดูรูปประกอบกัน จะเห็นได้ว่าทางที่เขาเดินมาทาง common room มันไม่มีทางเดิน หากจะเดินมาทางนั้นเขาจะต้องเกาะระเบียงแล้วค่อยๆไต่มา เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินอย่างสบายๆอย่างที่ผมได้ยิน ยิ่งเสียงเดินมาหยุดอยู่ข้างนอกหน้าต่างหลังทีวีเหมือนกับว่าจะมาทักทาย ผมก็เริ่มรู้สึกว่างานจะเข้า

แต่มันก็เป็นไปได้ที่อาจจะเป็นเสียงของคนที่กำลังเดินอยู่ชั้นล่าง ว่าแล้วก็ทำใจแข็ง ลองแง้มม่านหลังทีวีดูว่ามีใครอยู่ข้างล่าง อื้มไม่มีใครเลย แล้วก็ไม่ได้มีเสียงคนเดินไปไหนอีก ตกลงเป็นอันว่า สันนิฐานแรกที่ว่างานน่าจะเข้านั้นคอนเฟิร์มแล้วว่า "ชัวร์" แต่ตอนนั้นผมคิดว่าจะทำเป็นกลัวไม่ได้ประเดี๋ยวผีจะได้ใจแล้วหลอกให้หนักขึ้นไปอีก ตั้งใจว่าจะต้องเก็กว่าไม่กลัว เมื่อคิดได้ดังนี้ก็เลยไปนั่งดูทีวีต่อกะว่าจะทำเป็นดูวีวีต่ออีกสักสามสิบวินาทีค่อยปิดแล้วไปนอน พอหย่อนก้นลงเก้าอี้ได้ไม่กีอึดใจ พี่ท่านคงจะเป็นห่วงสุขภาพของผม ไม่อยากให้นอนดึก เลยโชว์พาวเดินอีกสองสามแตะตรงหน้าต่างหลังทีวีอีก

โอ้แม่เจ้า ในเมื่อเขาเป็นห่วงสุขภาพของผมขนาดนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องสนองน้ำใจอันดีงามนั้นใช่ไหมครับ? คราวนี้ไม่รอช้า ปิดทีวี แล้วค่อยๆเดินออกจาก common room ตอนที่เดินก็อดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองออกไปนอกหน้าต่างอีกทีดูว่าข้างล่างมีใครรึปล่าว แต่ก็ไม่เห็นใครเหมือนเดิม ท่านผู้หวังดีคงจะไม่พอใจที่ผมพยายามลักไก่แอบดูท่านเลยส่งเสียงเดินโชว์อีกสองสามแตะ คราวนี้ไม่มีเก็กแล้วใส่อุ้งเท้าน้องหมาโกยป่าราบไปนอนคลุมโปง...จะนอนก็นอนไม่หลับเพราะระบบขับถ่าย(เบา) เริ่มทำงานอย่างดีเนื่องจากมีแรงกระตุ้น กว่าจะหลับก็โน่น..ในห้องเรียน

เรื่องที่สอง อะไรบนหลังคา

เรื่องนี้ผมเจอในช่วงที่ยังเรียนอยู่ในชั้นม.๕ คืนหนึ่งประมาณสามทุ่มผมกับพวกเพื่อนๆกำลังจำกลุ่มนั่งคุยกันใน cubie ของพวกเราประมาณแปดเก้าคน พวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนคนตู้มเหมือนอะไรตกอยู่บนหลังคา เสร็จแล้วก็เป็นเสียงเดินอยู่สักสองรอบ แล้วก็หายไป พอดีหลังคาของตึกเป็นแบบโลหะ ทำให้ส่งเสียงดังชัดเจนเวลามีคนขึ้นไปเดิน (ข้างหอมีสนามเทนนิส บางทีเราต้องขึ้นไปเก็บลูกเทนนิสบนหลังคา) หรือเวลามีลิงมาวิ่งเล่น พวกเรานั่งมองหน้ากันงงๆทำนองว่า "เมื่อกี้พวกเอ็งเหมือนข้ามั้ย?" สรุปว่าทุกคนได้ยิน แล้วเราก็เริ่มเถียงกันว่าเมื่อกี้ เป็นคนหรือลิง หากว่าเป็นคนขึ้นไปเดิน เราต้องได้ยินเสียงเดินมาแต่ไกล แล้วแถมยังต้องได้ยินเสียงตอนเดินจากไป ไม่ใช่เดินวนๆแล้วหายไปเฉยๆ มีคนทักขึ้นมาว่าอาจจะเป็นลิงหรือแมวก็ได้ แต่ว่าเสียงเดินนั้นมันเป็นเสียงคนเดินไม่ใช่กระโดดๆแบบลิง และหากถึงเป็นลิงกระโดดลงมา เราก็ต้องได้ยินเสียงมันวิ่งจากไป เพราะไม่มีกิ่งต้นไม้ที่อยู่ใกล้พอหลังคาให้ลิงกระโดดกลับขึ้นไป ส่วนข้องสันนิฐานที่ว่าอาจจะเป็นแมวนั้นตัดไปได้เลย แมวประเทศไหนเดินดังขนาดนั้น? แล้วถ้าเป็นแมวตัวมันคงใหญ่พอๆกับน้องหมาอัลเซเชี่ยนถึงเดินได้สนั่นลั่นอย่างนี้

ขณะที่พวกเรากำลังเถียงกันอยู่ ก็มีคนพูดขึ้นมาว่าช่างมันเถอะพวกเราคงหูฝาดไปเอง โถๆ สงสัยพี่แกคงไม่พอใจที่ไม่มีใครยอมรับว่าเจอของดีซะที พี่เลยเดินโชวอีกรอบเหมือนกับจะบอกว่าพวกเอ็งไม่ได้หูฝาดหรอก นี่ไงๆข้าเดินให้ฟังอีกรอบ อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่กันเยอะ เพื่อนคนนึงเลยตะโกนว่า แน่จริงเดินอีกรอบเด้! สิ้นคำท้าพี่แกก็จัดให้อีก "ใจๆ" ว่างั้น

เมื่อได้รับการคอนเฟิร์มจังๆไปสองที พวกเราก็ขนลุกกันเกรียว เอาละหว่าคุยกันรู้เรื่องด้วยโว๊ย ไม่ธรรมดาแล้วละสิ รู้ตัวอีกทีเราก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกมาจากหอ แล้วเพื่อนหัวใสคนนึงก็ไปเรียกเด็กรุ่นน้องมาสองคน เอาไฟฉายให้ แล้วบอกให้ขึ้นไปบนหลังคาดูว่าใครที่มาเล่นพิศดารเดินบนหลังคาตอนกลางคืน ใช้เวลาโน้มน้าวบวกข่มขู่อยู่สักพัก รุ่นน้องสองคนที่เป็นผู้โชคดีตีแจ๊กพ๊อตแตกก็จำใจขึ้นไปท้าพิสูตร พวกเราก็ให้กำลังใจอย่างเต็มที่ (จากข้างล่าง) เมื่อรุ่นน้องเดินไปถึงจุดนั้นก็ตะโกนบอกมาว่าไม่มีอะไร พวกเราก็ให้เดินกลับมา ตอนที่รุ่นน้องเดินกลับประมาณครึ่งทาง อยู่ดีๆมันก็วิ่งตาลีตาเหลือกแหกปากโวยวายลั่นแย่งกันรีบจะลงจากหลังคา พอพวกมันได้สติเราก็ถามมันว่าวิ่งกลับมาทำไม ขืนตกลงไปจะซวยยกแก้งค์ รุ่นน้องสองคนบอกว่า ก็ตอนเดินกลับมามันได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมาด้วยนี่หว่า หันไปก็ไม่มีใคร มีแต่เสียง...สรุปว่าคืนนั้นเราแทบจะนอนกอดกันเลยโดยไม่กลัวคนอื่นจะหาว่าเป็นเกย์เลยครับ

ออกลาย

ตอนม.๔ จะเป็นช่วงที่เหล่านักเรียนเริ่มซ่ากัน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น จากที่ไม่เคยหนีไปเที่ยวในเมือง ก็เริ่มที่จะไปบ้าง โดยปรกติแล้ว พวกนักเรียนจะไม่หนีไปเที่ยวในวันธรรมดา ยิ่งหากไปในเวลาเรียน ก็เท่ากับเหาใส่หัวชัดๆ เพราะไม่ต้องรอให้มีใครจับได้ เขาก็รู้กันแล้วว่าอ้ายนี่ไม่ได้เข้าเรียน ฉะนั้นวันและเวลาที่เหมาะที่สุดคือหลังอาหารกลางวันในวันเสาร์อาทิตย์ และต้องกลับมาก่อนอาหารเย็น เพราะว่า House Master จะมาตรวจดูนักเรียนในช่วงเวลาทานอาหาร ความจริงแล้วจะไปกันแต่เช้าก็ได้ แต่ว่าต้องวางแผนดีๆ และต้องมีเพื่อนที่โรงเรียนเป็นคนออกหน้าว่าเราอยู่ที่ไหนด้วย

ในเมืองก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำมากมายนักในตอนนั้น มีโรงหนังสองโรง มีร้านอาหาร, ร้านขายขนม, โต๊ะสนุ๊ก, ร้านเกมตู้, มีบาร์, และมีร้านกาแฟซึ่งเป็นแหล่งที่นักเรียนชายและสาวชอบไปนั่งมองตากัน เท่าที่จำได้พวกเราชอบไปเล่นสนุ๊ก เล่นพูลกัน ชั่วโมงละสักสามสิบ-สี่สิบรูปีได้มั้ง ช่วงนั้นเล่นกันทุกอาทิตย์เลยเห็นจะได้ ทุกๆครั้งที่แอบไปในเมืองจะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เพราะว่าครูส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวในเมืองในวันเสาร์-อาทิตย์เช่นกัน เรียกว่าเวลาเดินแทบจะต้องมีตาอยู่ข้างหลังด้วย และทุกๆครั้งที่ไปในเมืองจะต้องเจอรุ่นพี่, Prefects, เพื่อน, และรุ่นน้องที่หนีมาเที่ยวในเมืองด้วย เวลาเจอกันเราจะเตือนกันว่ามีครูคนไหนอยู่ในเมือง และอยู่ตรงไหนกันบ้าง ส่วน Prefect นั่นไม่ต้องไปห่วง เพราะว่ามันก็หนีมาเที่ยวเหมือนกัน

จำได้ว่ามีอยู่ครั้งนึงผมกับเพื่อนอีกสองคนกำลังเดินเล่นอยู่ในเมือง แล้วเห็นกลุ่ม Prefect เดินมาแต่ไกล ชี้โบ้ชี้เบ๊มาทางนี้แล้วก็วิ่งมาทางพวกเรา ไอ้ตอนนั้นนึกว่าพวกนี้โดนครูใช้ให้มาเจ็บเด็กหนีเที่ยว ก็เลยยืนรอเสียดีๆ เพราะว่าขืนหนีให้พวกนี้วิ่งไล่จนเหนื่อยแล้วอาจจะโดนหนักกว่าเดิมได้ สักพักพวกเราเริ่มสงสัยว่าพวก Prefect ถึงยังวิ่งเต็มสตรีมกันอยู่ในเมื่อพวกเราก็ยืนให้จับดีๆ แถมตอนนี้ยังตะโกนโหวกเหวกๆอะไรอีก แล้วปริศนาทุกอย่างก็กระจ่างเมื่อเราเข้าใจคำที่พวก Prefect ตะโกน ซึ่งก็คือ "ครูมาๆ!" ได้ยินดังนั้นพวกเราก็ใส่ตีนหมาโกยตามรุ่นพี่ กลุ่มเราเริ่มใหญ่ขึ้นๆเมื่อเราเจอนักเรียนระหว่างทาง กว่าจะถึงโรงเรียนพวกเรามีกันกว่าสามสิบคน มันเป็นฉากที่น่าดูชมมากเลย ครูสองคนวิ่งตามกลุ่มนักเรียนเป็นสิบ พอถึงโรงเรียนพวกเราก็สลายตัว บ้างก็ไปอาบน้ำ บ้างก็เข้าไปดูทีวี บ้างก็นอน เช้าวันต่อมาครูใหญ่เรียก Prefect ไปพบแล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมกำชับไว้ว่าให้หาเด็กที่หนีเที่ยวให้ได้ โดยที่หารู้ไม่ว่ากลุ่มนักเรียนที่วิ่งหนีครูเมื่อวานมีเจ้าพวกนี้แหละที่นำขบวน!

Chung Fa Dhaba

ที่เมืองซิมลามีร้านอาหารจีนสุดโปรดของผมและเหล่านักเรียน BCS อยู่ร้านนึง ร้านนั้นชื่อ Chung Fa Dhaba จุงฟานั้นเป็นชื่อของเจ้าของร้าน ส่วน Dhaba แปลว่าร้านอาหารเล็กๆ (แบบเพิงๆบ้านเรา) เพราะว่าราคาที่ถูก ให้ปริมาณเยอะ(มาก) และรสชาดที่อร่อยใช้ได้ เสียแต่ที่ว่ามันจะดูไม่ค่อยสะอาดอย่างแรง เพราะว่ามันเล็กสุดๆ (โรงเรียนผมเคยแบนร้านนี้ ไม่ให้เด็กเข้าไปกินเพราะว่าร้านไม่สะอาด) เมนูที่ขึ้นชื่อมากคือ Chiken Chowmein ซึ่งก็คือบะหมี่ผัดไก่ แต่ขอโทษครับพี่น้อง เขาไม่ได้ผัดกับไก่หรอกนะ แค่เอาไก่ต้มฉีกๆแล้วเอามาโรยไว้ อีกเมนูคือ Chili Chicken ไก่ผัดพริก ทุกๆครั้งที่ผมไปกินที่ร้านนี้ผมจะต้องสั่งสองอย่างนี้มาทาน และเกือบทุกครั้งผมมากินกับพวกเพื่อนเพราะว่าอาหารพวกบะหมีผัดหรือข้าวผัดแต่ละจาน ทางร้านจะให้ในปริมาณที่เยอะมากพอที่จะกินกันสองคนอิ่มเป็นอย่างน้อยพวกเราจึงจะสั่งพวกบะหมี่มาสองสามจานแล้วมาแบ่งกันกินห้าหกคน และแน่นอนว่าการกินกันหลายๆคนย่อมจะอร่อยกว่ากินคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมมากินกับเพื่อนหรอกนะ

พวกเราคนไทยโตมากับช้อนส้อม มือ และตะเกียบ แต่ว่าพวกคนอินเดียไม่ค่อยได้ใช้ตะเกียบกัน และพวกเพื่อนๆของผมก็ใช้กันไม่เป็นสักคน ไม่ต้องสาธยายให้ยาวท่านๆก็รู้ดีว่าการใช้ตะเกียบในการทานอาหารจำพวกเส้นนั้นสะดวก และรวดเร็วกว่าใช้ช้อนส้อมยิ่งนัก ฉะนั้นกว่าที่พวกเพื่อนๆจะใช้ช้อนส้อมตักบะหมี่ในส่จานตัวเองได้ ผมก็เกือบจะอิ่มอยู่แล้ว และการเป็นนักเรียนประจำทำให้งบของเราค่อนข้างจำกัด ยิ่งอิ่มเร็วยิ่งดีเพราะว่าหากอาหารหมดแล้วยังไม่อิ่ม..ก็ซวยไป ยิ่งกลุ่มที่ผมอยู่ด้วยนี่เป็นศูนย์รวมพวกตัวแดร๊กของชั้นเลยก็ว่าได้ แย่งกันกินยิ่งกว่าแร้งลง

มีอยู่ครั้งนึงที่แม่มาส่งผมตอนม.สาม แล้วเราก็ไปกินกันที่ร้านนี้ซึ่งเป็นครั้งแรกของเธอ แม่ของผมเห็นในเมนูเขียนว่า Shark Fin Soup - 13 Rs (Rupee) ด้วยราคาที่ถูกอย่างน่าตกใจ (๑๓ บาท) สำหรับหูฉลาม แม่ไม่รีรอที่จะสั่งแล้วนั่งรอซุปหูฉลามอย่างใจจดใจจ่อ คงคิดว่าวันนี้เป็นวันดี ได้กินของดีแต่ถูกแบบสุดๆ แต่เมื่อซุปมา แม่ผมก็ง่วนกับการควานหาเศษเสี้ยววิญญาณหูฉลาม แต่อนิจจา..หูฉลามไม่มี มีแต่วุ้นเส้นกับไข่ (เจ้าของร้านมาบอกทีหลังว่าไม่มีหรอก เขียนไปงั้นๆ)




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2552
3 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2552 19:47:06 น.
Counter : 649 Pageviews.

 
 
 
 
เป็นกำลังใจให้ครับ
ติดตามต่อไปสำหรับประสบการณ์ดี ๆ
 
 

โดย: mr.omelet IP: 10.0.2.187, 119.42.102.65 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:23:27:33 น.  

 
 
 
I like to read your interesting experiences in India. I hope I can read more.
 
 

โดย: Phuketian IP: 117.47.200.249 วันที่: 20 ตุลาคม 2552 เวลา:11:50:47 น.  

 
 
 
55555 พออ่านแล้วคิดถึงร้าน chung fa ขึ้นมาทันทีเลยสมัยผมอยุ่เมื่อ 7ปี ที่แล้วพ่อลูกคู๋นี้ทำอาหารทีไรเปนต้องทะเลาะกันทุกที
 
 

โดย: grand IP: 112.142.95.108 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:30:08 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Karakgnut
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Karakgnut's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com