เสียงร้องของเส้นผม
เสียงร้องของเส้นผมจากเรื่อง The Queen with Screaming Hairบิดามารดาของคริสทีนาเป็นกษัตริย์และราชินีแห่งลอเรสทีเนีย ซึ่งเป็นเกาะที่มีความยาวสิบสองกิโลเมตรและกว้างห้ากิโลเมตร ทุกๆวันเกาะแห่งนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจนกระทั่งเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา ต้นลอเรลบนเกาะแห่งนี้ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลก็ผลิดอกบานสะพรั่งตลอดทั้งปี เมื่อคริสทีนาอายุได้ห้าขวบ อันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ กษัตริย์และราชินีก็ล่องเรือออกไปเพื่อเยี่ยมเยือนจักรวรรดิของพระองค์ นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ถือปฏิบัติในทุกๆหกปี (จักรวรรดิของพระองค์คือเกาะอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและต้องเดินทางข้ามท้องทะเลที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกเป็นระยะทางถึงหกสิบห้ากิโลเมตร)กษัตริย์และราชินีมอบคริสทีนาไว้ในความดูแลของมิสแพ็กเนลล์ผู้เป็นนางกำนัลของราชินีกับนายกรัฐมนตรีและคริมเปิลแชม แมวในราชสำนักซึ่งเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในจำนวนผู้ดูแลทั้งสามวงดุริยางค์บรรเลงเพลงประจำชาติขณะที่เรือยอร์ชพระที่นั่งเร่งเครื่องยนต์เคลื่อนออกไปจากท่าเรือและพสกนิกรก็พากันขับร้องเพลงว่า“แผ่นดินเรานี้มีเมฆหมอก แผ่นดินเรานี้มีเสรีปวงประชาของเราล้วนสุขสันต์สุขสมเท่าที่จะพึงมีนอกจากขุนเขาน้ำแข็งซึ่งครั้งหนึ่งเคยผ่านมาลมฟ้าของเรารื่นรมย์ราวกับกลางเดือนพฤษภาปวงประชาของเราสุขสมไม้ลอเรลของเราเขียวชอุ่มโชคช่วยปกคุ้มแผ่นดินของเราและราชินีผู้เลอโฉม”เมื่อเรือยอร์ชลับสายตาไปแล้ว คริสทีนาก็กลับเข้าไปในห้องพักอาศัยของเธอด้วยความรู้สึกค่อนข้างจะเหงาหงอยและต้องการการปลอบโยน เจ้าแมวคริมเปิลแชมกำลังอยู่ในห้องนั้นในท่าทางอันสง่าผ่าเผยท่าหนึ่งของมันขระที่มันกำลังอยู่ในท่านั่งขดหางเข้าไว้ระหว่างอุ้งตีน นัยน์ตาดำของมันหรี่แคบลงจนเรียวยาวในขณะที่กำลังจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง มองดูแล้วขึงขังเป็นพิเศษ ราวกับเป็นนักธุรกิจ ท่าทางของมันคล้ายกับว่าไม่มีเวลามากพอที่จะมาเอาใจใส่กับคริสทีนา ดังนั้นเธอจึงจ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยอีกคน สักครู่ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาและทำให้บรรยากาศเลวร้ายลงไปอีกมีกรรไกรสีทองปลายมนเล่มหนึ่งวางอยู่บนขอบหน้าต่าง ก่อนหน้าที่จะออกไปกล่าวคำอำลากับกษัตริย์และราชินี คริสทีนากำลังทำตุ๊กตากระดาษอยู่ ในทันใด เธอก็หยิบกรรไกรขึ้นมาแล้วจัดแจงขลิบปลายเส้นผมสีทองที่ยาวสลวยลงไปจนถึงเอวของเธอ จากนั้นก็ขลิบเอาดอกไม้ออกมาจากผ้าม่านลายดอกไม้ เธอหันไปมองดูคริมเปิลแชม มันยังคงจ้องมองไปยังที่ที่อยู่ไกลออกไปแล้วคริสทีนาก็ทำบางอย่างที่น่าพรั่นพรึง (เราต้องไม่ลืมว่าเธอเพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น) ต่อมาภายหลังเธอก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมาครอบงำเธอเข้า เพราะโดยปกติแล้วเธอช่างดีงามราวกับทองเนื้อเก้า และมิสแพ็กเนลล์ก็เขียนลงสมุดรายงานประจำตัวของเธอในแต่ละสัปดาห์ว่าดีเลิศ แต่ในชั่วขณะนั้นเธอถูกเกาะกุมด้วยความปรารถนาที่จะรู้ว่า คริมเปิลแชมจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรหากว่ามันไม่มีหนวดสีขาวยาว ในนาทีต่อมา มีเสียงคลิกๆแล้วหนวดสีขาวก็ร่วงลงไปกองอยู่พื้นสองกอง ข้างๆตีนหน้าทั้งสองของเจ้าเหมียว เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนกว่าที่เจ้าหญิงกับคริมเปิลแชมจะรู้สึกตัวว่าหนวดขาดไปแล้ว จริงๆก็ล่วงเลยไปหลายวินาที คริสทีนาร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจกลัวในสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไป เพราะการตัดหนวดออกไปนั้นเป็นสิ่งที่น่าตระหนกยิ่งนัก แต่ว่าเธอจะเอาติดกลับเข้าไปคืนได้อย่างไรละส่วนคริมเปิลแชม ดวงตาของมันเป็นประกายขึ้นมาเหมือนดวงไฟ แล้วร่างของมันก็โตขึ้น มันโตขึ้นจนกระทั่งมีความสูงไม่น้อยกว่าห้าฟุต มันหันมาคำรามใส่คริสทีนา“เธอ ยายเด็กโง่เขลา ยายเด็กเสียสติ ดูสิ เธอทำอะไรลงไป ต่อไปนี้เคราะห์กรรมอันน่าสยดสยองสารพัดจะติดตามมา ทำไม เธอทำอย่างนี้เพื่ออะไร”“ฉัน..เอ้อ.. ฉันไม่รู้” คริสทีนาละล่ำละลักบอก “มีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาครอบงำฉัน ทำไมนายจึงตัวโตเหลือเกิน” เธอพูดด้วยอาการอึดอัดประหม่า “นายเป็นใคร” เธอถามต่อด้วยความหวังที่จะปัดการพูดคุยเรื่องหนวดออกไปให้พ้น“ฉันก็คือภูตพ่อทูนหัวของเธอไงละ”คริมเปิลแชมตอบอย่างโกรธเกรี้ยว “ฉันก็มีหน้าที่คอยดูแลเธอ แต่เมื่อไม่มีหนวดแล้วฉันจะสามารถทำอะไรก็ได้ ฉันจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยจนกว่าหนวดของฉันจะงอกยาวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งนั่นก็จะต้องใช้เวลาเก้าพันชั่วโมงถึงเก้าครั้ง ในระหว่างนี้ ฉันก็หวังแต่ว่าเส้นผมของเธอจะช่วยสอนให้เธอมีความเคารพนับถือเส้นผมของคนอื่นบ้าง”เมื่อพูดจบ มันก็หายเข้าไปในปล่องไฟที่ขมุกขมัวด้วยเขม่าควันไฟคริสทีนาสุดที่จะประหวั่นพรั่นพรึง แล้วในนาทีต่อมา เส้นผมสีทองบนศีรษะของเธอก็เริ่มรวมหัวส่งเสียงขึ้นมา เป็นเสียงเล็กๆที่ดังหึ่งๆระงมเหมือนเสียงยุงกระพือปีก และเย้ยหยันด่าทอเธอว่า”เด็กชั่ว เจ้าหญิงผู้น่ารังเกียจ ทำไมเธอจึงไปตัดหนวดของเจ้าแมวที่น่าสงสารทิ้ง” เส้นผมพากันส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา “ช่างน่าละอาย ทำไมเธอถึงได้ทำสิ่งโหดร้ายเช่นนั้น” และอื่นๆอีกต่างๆนานา“ฉันเสียใจ ฉันเสียใจ” คริสทีนาผู้น่าสงสารคร่ำครวญ “ฉันเสียใจมาก ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเสียใจ” แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดยั้งเสียงที่ระงมอยู่บนศีรษะ เธอเอาฝ่ามือแนบปิดหูไว้แล้วก็วิ่งออกไปยังสายฝนภายนอก ด้วยความหวังว่าจะหนีจากเส้นผมเหล่านั้นไปได้แต่เส้นผมก็ติดตามเธอออกไปด้วยนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา คริสทีนาก็ต้องทนฟังเสียงเล็กๆอันน่าพรั่นพรึงนั้นตลอดเวลา หากไม่ใช่เพราะเธอเป็นเจ้าหญิงละก็ เส้นผมเหล่านั้นคงจะทำให้เธอต้องเสียสติไปแน่ บางครั้งเธอก็คิดไปว่าเธอเสียสติแล้ว เพราว่าไม่มีใครอื่นอีกเลยที่ได้ยินเสียงเหล่านั้น เธอเล่าเรื่องนี้ให้มิสเพ็กแนลล์ฟัง รวมทั้งนายกรัฐมนตรี แล้วก็แพทย์ประจำราชสำนัก“เหลวไหลน่ะ เจ้าหญิง” พวกเขาจะพูดเช่นนั้น “เธอเพียงจินตนาการไปเองแหละ ไม่เห็นมีเสียงอะไรเลย”แต่คริสทีนาก็ยังได้ยินเสียงเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เป็นเสียงพึมพำว่า”เอาเถอะ เธอคงไม่ได้ตั้งใจทำอะไรแบนั้นจริงๆหรอก” หรือไม่ก็ “ไปสิ ไปพูดอะไรที่หยาบคายกับนายกรัฐมนตรีสิ เขาคงไม่สามารถตอบโต้กลับได้หรอก”บางครั้งก็เป็นเสียงกรีดร้องใส่เธอ “ทานตับชิ้นนั้นเข้าไปนะ ยายหนู หยุดเขี่ยไปเขี่ยมาในจานเสียทีสิ” หรือไม่ก็ “ทำไมไม่ให้ลูกม้าของเธอชิมไม้เรียวดูบ้างละ” บางครั้งเสียงเหล่านั้นจะให้คำแนะนำเลวร้ายกับเธอ บางครั้งก็ข่มขู่เธอและบางครั้งก็กวนโทสะเธอ “เธอคิดว่าตัวเองสวยนักรึ เปล่าเลย เธอน่ะทั้งอ้วนทั้งจืด” เธอนึกอยากจะให้คริมเปิลแชมกลับมานับหมื่นนับแสนครั้ง แม้ว่ามันจะโมโหโกรธาหรือว่ามีท่าทีที่วางมาดสักแค่ไหนและเธอก็ต้องร้องไห้นับพันครั้ง เมื่อนึกถึงว่าจะต้องใช้เวลานานเก้าพันชั่วโมงถึงเก้าครั้งกว่าหนวดของมันจะงอกยาวขึ้นมาดังเดิม ซึ่งนั่นก็เป็นเวลากว่าเก้าปี ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตัดผมของเธอเองทิ้ง เธอได้ลองทำอย่างนั้นดูแล้ว แต่เธอก็ต้องถูกมิสแพ็กเนลล์ดุด่าต่อว่าอย่างรุนแรง เมื่อหล่อนเข้ามาพบเจ้าหญิงกร้อนผมตัวเองทิ้งจนศีรษะล้านเลี่ยนเหมือนไข่ไก่และภายในเวลาเพียงสองชั่วโมง เส้นผมทั้งหมดของเธอก็งอกยาวดังเดิมแล้วก็กรีดร้องดังขึ้นกว่าเดิมอีก“ฮิ ฮิ คิดหรือว่าเธอจะกำจัดพวกเราได้ ไม่มีทางหรอก เธอไม่มีทางที่จะทำอย่างนั้นได้เลย”แล้วเหตุการณ์อันน่าประหวั่นพรั่นพรึงก็เกิดขึ้น มีข่าวแจ้งเข้ามาว่าเรือยอร์ชพระที่นั่งแล่นเข้าไปทะลน้ำแข็ง ทั้งกษัตริย์ ราชินีและลูกเรือทั้งหมดล้วนหายสาบสูญไป ดังนั้นคริสทีนาผู้น่าสงสารจึงต้องขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีด้วยการสวมมงกุฎเงินเล็กๆที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพราะมงกุฎสำหรับประกอบพิธีนั้นใหญ่เกินไปสำหรับศีรษะของเธอมาก และในขณะที่พระสังฆราชแห่งลอเรสทีเนียกำลังสวมมงกุฎลงบนศีรษะของเธอ คริสทีนาก็ได้ยินเสียงเล็กๆนับร้อยจากเส้นผมของเธอร้องเย้ยหยันเซ็งแซ่ขึ้นมาว่า “คราวนี้เธอเป็นราชินีแล้ว เธอคงประพฤติตัวดีขึ้น พนันได้เลยว่าเธอคงจะไม่เป็นเช่นนั้น เราต้องดูกันไปก่อน”คริสทีนาชิงชังรังเกียจการเป็นราชินีและเธอก็ต้องฟังเสียงเหน็บแนมถากถางเธอตลอดทั้งวันและดังขึ้นกว่าเดิมประมาณหนึ่งปีนับตั้งแต่เธอขึ้นครองราชย์ เธอก็ค้นพบวิธีการที่เป็นประโยชน์ประการหนึ่ง เสียงเหล่านั้นจะหยุดถากถางและด่าว่าชั่วขณะหนึ่งเมื่อเธอท่องอ่านบทกวี หรือเมื่อเธอขับร้องเพลง หรือว่าเล่นเปียโน (ซึ่งมิสแพ็กเนลล์กำลังสอนเธอ)ดังนั้นเราเองก็คงพอจะนึกภาพออก คริสทีนาจึงได้เรียนรู้บทกวีกับบทเพลงจำนวนมากมายและฝึกฝนเล่นเปียโนนานนับชั่วโมงอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และเมื่อเธอประกอบราชกิจ ลงนามในเอกสารที่มีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด หรือว่านั่งบนบัลลังก์เพื่อรับรองทูตต่างชาติ เธอก็จะท่องบทกวีอยู่ในใจ หรือว่าบรรเลงทำนองดนตรีอันไพเราะบางเพลง ด้วยวิธีนี้ เธอจึงสามารถเอาชนะเสียงที่ตามรบกวนรังควานเธอและได้อยู่อย่างเป็นสุขบ้างเมื่อเสียงดนตรีสามารถช่วยทำให้เสียงเหล่านั้นเงียบสงบลง คริสทีนาจึงชอบที่จะได้ยินข่าวว่ามีนักดนตรีคนใดผ่านมายังเกาะแห่งนี้บ้าง เมื่อเธออายุได้ประมาณสิบสามขวบ นักไวโอลินหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกก็เดินทางมายังลอเรสทีเนีย เป็นที่กล่าวขวัญกันว่า ในเวลาที่เขาบรรเลง แม้แต่นกก็ยังหยุดส่งเสียงร้องเพื่อฟังดนตรีของเขา เขามีชื่อว่า โจฮันน์ คิง ราชินีคริสทีนาจึงแจ้งความประสงค์ไปยังเขา ถามเขาว่าจะมาบรรเลงให้เธอฟังเป็นการส่วนตัวได้หรือเปล่า แน่นอนละที่เขาจะต้องตอบรับ แต่แล้วการบรรเลงของเขาก็จืดชืด เพราะเขาไม่เคยแสดงต่อหน้าราชินีมาก่อน เขาจึงตกประหม่าจนมือไม้สั่นไปหมด และถึงกับทำสายไวโอลินขาดไปสายหนึ่ง“โอ๊ะ กระผม.. ขออภัย กระผมเสีย..เสียใจ” เขากล่าวตะกุกตะกัก “กระผมเกรงว่า.. กระผมคงจะไม่สามารถบรรเลงต่อ.. ต่อไปได้อีกแล้ว”“ท่านมีสายสำรองมาด้วยหรือเปล่า” คริสทีนาถาม“กระผมทำขึ้นมาด้วยตนเอง เพราะสายไวโอลินอื่นๆไม่เหนียวพอสำหรับดนตรีของกระผม” เขาบอก “และกระผมก็ใช้สายสำรองไปจนหมดแล้ว”คริสทีนารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง เพราเธอคาดหวังไว้สูงมากที่จะฟังการบรรเลงของเขา แล้วเธอก็กล่าวขึ้นอย่างขวยเขินว่า “ฉันไม่รู้ว่าเส้นผมของฉันจะใช้ได้หรือเปล่า”ดูเหมือนว่านักดนตรีหนุ่มจะเกิดอาการงุนงงสงสัยขึ้นมาและเส้นผมบนศีรษะของคริสทีนาก็กรีดร้องเย้ยหยันว่า “เชอะ เธอคงคิดว่าตัวเองช่างฉลาดเหลือเกินสินะ”แต่คริสทีนาก็ดึงเส้นผมสีทองยาวออกจากศีรษะของเธอเส้นหนึ่ง “อย่างน้อยก็น่าจะลองดู” เธอครุ่นคิดอยู่ในใจแล้วโจฮันน์ คิงก็พันเส้นผมเข้ากับไวโอลินของเขา ซึ่งก็ได้ผล สุ้มเสียงของเส้นผมดีเท่ากับสายอื่นๆและเขาสามารถบรรเลงบทเพลงที่ไพเราะที่สุด ไพเราะกว่าบทเพลงใดๆที่เธอเคยได้ยินได้ฟังมา และอาจจะเป็นเพราะเสียงดนตรี หรืออาจจะด้วยความประหลาดใจ สุ้มเสียงที่หงุดหงิดและเย้ยหยันก็เงียบนิ่งไปเป็นเวลานานถึงแปดชั่วโมง ต่อมา คริสทีนาจึงสามารถนอนหลับตลอดคืนโดยปราศจากเสียงระงมที่เข้ามาขัดแทรกความฝันของเธอ และเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่บิดามารดาของเธอจากไปในวันต่อมา เธอจึงให้นักดนตรีหนุ่มเข้าเฝ้าเพื่อกล่าวคำอำลา“ท่านจะเดินทางไปไหนต่อ” เธอกล่าวถาม“กระผมจะเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก” เขาตอบ “แต่ผมก็ได้แต่หวังว่า สักวันหนึ่งกระผมคงจะได้พบพระองค์อีก”“ฉันก็หวังเช่นนั้น” คริสทีนาตอบ แล้วเธอก็ยื่นมือให้เขาจูบ น่าประหลาดยิ่งนัก ขณะที่เขาจูบมือของเธอ เขาก็สามารถได้ยินเสียงจากเส้นผมของเธอ ซึ่งพากันร้องตะโกนดังขึ้น เล็กแหลมขึ้น และเย้ยหยันยิ่งขึ้น หลังจากที่ได้สงบเงียบมาตลอดทั้งคืน“โอ ราชินีผู้น่าสงสาร” เขาอุทานขึ้นมาด้วยอาการตื่นตกใจ “เสียงกรีดร้องระงมจากเส้นผลของพระองค์ พระองค์ทนอยู่ได้อย่างไร”“ฉันทนได้ก็เพราะว่าฉันต้องทน” คริสทีนาตอบ แล้วเธอก็ดึงเส้นผมออกมาอีกสิบเส้น เพื่อให้เขาเก็บเอาไว้ จากนั้นเธอก็มองดูอยู่ทางหน้าต่างขณะที่เรือของเขาล่องลำจากไปหลังจากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในสวน เพราะยังเช้าอยู่ ยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้า ในขณะที่เส้นผมบนศีรษะของเธอพากันต่อปากต่อคำกันดังระงมเซ็งแซ่ “นายคิดหรือเปล่าว่าเราคงจะไม่ได้พบใครที่สามารถได้ยินเสียงของเราอีกแล้ว แต่เขาก็ไปดีแล้วละ..”แต่คริสทีนาก็ประพันธ์บทเพลงสั้นๆขึ้นมาเพลงหนึ่งให้เข้ากับทำนองเพลงที่โจฮันน์ คิงได้บรรเลงให้เธอฟัง และในขณะที่เธอก้าวเดินไป เธอก็ขับร้องเพลงไปด้วย“ราชินีคริสทีนาผู้น่าสงสารเส้นผมของเธอเฝ้ากรีดร้องคร่ำครวญชีวิตเธอล้วนแต่ทุกข์ระทมและปวดร้าวเธออยากจะตัดผมของเธอทิ้งแต่ก็ไม่กล้าเพราะเธอรู้ว่าจะไม่เกิดผลอันใด”เส้นผมหยุดส่งเสียงหึ่งๆระงมเพื่อฟังเสียงเพลงของเธอแล้วก็กลับส่งเสียงระงมขึ้นอีกเมื่อเธอหยุดร้อง ดังนั้น เธอจึงขับร้องเพลงประจำชาติต่อ“แผ่นดินเรานี้มีเมฆหมอก แผ่นดินเรานี้มีเสรี ปวงประชาของเราล้วนสุขสันต์สุขสมเท่าที่จะพึงมี…”เธอเดินฝ่าเข้าไปในม่านหมอกกับต้นลอเรล พร้อมกันนั้นก็ขับร้องเพลงอย่างเอาจริงเอาจังจนไม่ทันสังเกตว่าเธอได้เดินออกมาจากสวนและเดินเข้าสู่เขตแดนที่เธอไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลยอาณาบริเวณแห่งนี้เรียกกันว่า เขตแดนย้อนหลัง และผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตแดนแห่งนี้ก็เรียกว่า ผู้คนย้อนหลัง ไม่ใช่เพราะผู้คนเหล่านี้โง่เขลาเบาปัญญา แต่เป็นเพราะว่าเท้าของพวกเขาหันกลับไปข้างหลังและผิวหนังของพวกเขาก็เป็นสีน้ำเงิน ด้วยสาเหตุเหล่านี้ผู้คนทั้งหลายจึงพากันชิงชังรังเกียจและพวกเขาต้องมาอาศัยอยู่ในบริเวณอันชื้นแฉะแห่งนี้ก็เพราไม่เป็นที่ต้องการของผู้คน กับไม่มีแห่งหนใดที่จะไปอีกแล้ว อีกทั้งคนเหล่านี้เป็นคนที่ค่อนข้างจะอารมณ์ร้าย คริสทีนาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในเขตแดนแห่งนี้ แต่ก่อนที่เธอจะทันรู้สึกตัว เธอก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในใจกลางสุมทุมอันรกร้างแล้วผู้คนย้อนหลังกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาห้อมล้อมเธอ หน้าตาอาการของพวกเขาดูแล้วค่อนข้างน่าตกใจกลัว ทั้งผิวหนังที่เป็นสีน้ำเงิน ฝ่าเท้าที่หันไปข้างหลัง และสีหน้าแววตาที่ไม่เป็นมิตร“หล่อนเข้ามาทำอะไรที่นี่” คนเหล่านั้นพากันร้องตะโกนอย่างหยาบคาย “หล่อนไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในนี้นะ เราไม่มีความสุขเท่าที่เราควรจะมี และราชินีก็ไม่เป็นที่ต้องการในเขตแดนรกร้างของพวกเรา ไสหัวออกไปก่อนที่พวกเราจะถีบส่งด้วยตีนกลับหลังของเรา กลับเข้าไปในเขตของหล่อน”แต่คริสทีนาก็เหลียวมองไปรอบๆและรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจคนเหล่านั้นอย่างสุดซึ้งที่ต้องมาอาศัยอยู่ในสถานที่อันหม่นมัวชื้นแฉะอย่างนี้โดยไม่ได้รับสิ่งที่น่าพึงพอใจอะไรเลย เธอจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันคิดว่า หากฉันดึงเส้นผมของฉันออกมาบ้าง พวกเธอก็คงจะสามารถถักทอเป็นเสื่อและปูคลุมบริเวณอันชื้นแฉะแห่งนี้ได้ ใช่ ดูสิ ได้ผลนะ แล้วพวกเธอก็ยังสามารถเอาเส้นผมถักม้วนเป็นเชือกสำหรับทำชิงช้า ทำเปลญวน ทำเชือกกระโดด ทำเป็นสวิงไว้จับผีเสื้อ ทำเป็นป่านว่าว แล้วก็ทำเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อีกต่างๆมากมาย ดู ดูสิ” ขณะที่เธอพูด เธอก็ดึงเส้นผมสีทองเส้นยาวออกมาเต็มกำมือ แม้ว่าเส้นผมเหล่านั้นจะพากันร้องระงมอย่างโกรธเคือง และบรรดาผู้คนย้อนหลังก็พากันฉกฉวยคว้าไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วลงมือถักทอเป็นเสื่อลอยน้ำสีทองที่หนาและแข็งแรงซึ่งพวกเขาใช้ปูคลุมไปบนอาณาบริเวณอันชื้นแฉะ ดังนั้น อาณาบริเวณอันหม่นมัวอับชื้นก็แปรสภาพไปเป็นสวนสวยงามและน่ารื่นรมย์ มีเปลญวนสายทอง มีชิงข้าแขวนอยู่บนต้นลอเรลสีเขียวต้นใหญ่ บรรดาผู้คนย้อนหลังรู้สึกพึงพอใจมาก พวกเขาจึงพากันคุกเข่าห้อมล้อมคริสทีนาอยู่บนเสื่อสีทองโดยมีปลายเท้าหันชี้ไปข้าหงลัง แล้วก็ร้องขึ้นว่า “เรารักเธอ เรารักเธอ ราชินีคริสทีนาผู้เป็นที่รัก”เธอดึงเส้นผมของเธอออกมาทุกๆเส้นด้วยความปรารถนาที่จะช่วยเหลือบรรดาผู้คนย้อนหลังเหล่านี้ แต่เวลานี้เส้นผมก็เริ่มงอกขึ้นมาใหม่เหมือนต้นมัสตาร์ดและต้นเคร็สส์ พร้อมกันนั้นก็ส่งเสียงข่มขู่ด้วยว่า “เธอคิดว่าตัวเองฉลาดแล้วหรือ อย่าเลย รอจนกว่านายกรัฐมนตรีรู้ว่าเธออยู่ไหนเสียก่อน แล้วเธอก็จะได้รู้”บรรดาผู้คนย้อนหลังได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดอย่างมุ่งร้ายของเส้นผม พวกเขาก็ร้องคร่ำครวญขึ้นมาอย่างเศร้าโศก“โอ ราชินีน้อยๆผู้น่าสงสาร เธอทนกับเส้นผมเหล่านั้นได้อย่างไรกัน”“ฉันทนได้ก็เพราะฉันต้องทน” คริสทีนาตอบ แล้วเธอก็จูบคนเหล่านั้นเป็นการอำลา จากนั้นก็หันหลังเพื่อกลับไปยังวังของเธอ ระหว่างทาง เธอพบกับวัวเปลี่ยวตัวหนึ่งซึ่งหลุดออกมาจากการคุมขังและวิ่งควบไปตามถนนหนทางสายต่างๆของเมืองหลวง ทำความตื่นตกใจกลัวให้กับผู้คนไปทั่ว แต่คริสทีนาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องยุ่งยากลำบากแต่ประการใด เธอดึงเส้นผมซึ่งในเวลานี้กลับงอกยาวจนถึงเอวแล้วออกมาเต็มกำมือ ถักม้วนเป็นเส้นเชือก แล้ววัวเปลี่ยวตัวนั้นก็ถูกบ่วงบาศคล้องเอาไว้และถูกนำกลับไปยังโรงวัวเพราะมัวแต่โกลาหลอลหม่านกับเจ้าวัวเปลี่ยว ทั้งมิสแพ็กเนลล์และนายกรัฐมนตรีจึงลืมดุด่าต่อว่าคริสทีนาในเรื่องที่เธอเข้าไปในเขตแดนย้อนหลัง ซึ่งนับแต่นั้นมาก็ถูกเรียกว่า สวนสีทองแต่ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรกับเส้นผมของเธอ ซึ่งยังคงเหน็บแนมประชดแดกดันเหมือนแต่ก่อน คอยโต้แย้งสิ่งที่ผู้คนบอกกล่าวกับเธอ ตะโกนคำแนะนำเลวๆกับถ้อยคำหยาบคายใส่เธอ คอยขัดจังหวะในขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดและทำให้เธอตื่นขึ้นมาบ่อยๆในยามค่ำคืน สิ่งที่น่าประหลาด ก็คือว่าเธอต้องจัดการกับการปกครอง ซึ่งเธอก็สามารถทำได้และค่อนข้างดีด้วยหลายเดือนต่อมานายกรัฐมนตรีก็วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าอันขาวซีด“องค์ราชินี ประเทศชาติของเรากำลังตกอยู่ในห้วงอันตรายใหญ่หลวง มีก้อนน้ำแข็งอันใหญ่โตมหึมากำลังลอยตรงมายังเมืองเรา ก้อนน้ำแข็งก้อนนี้มีความยาวเจ็ดสิบกิโลเมตร กว้างสี่สิบกิโลเมตร และหนาถึงสามร้อยเมตร กำลังลอยมาด้วยความเร็วสามสิบน็อต มันจะกระแทกเกาะเล็กๆที่น่าสงสารของเราเหมือนกับชนผลึกน้ำตาลเกล็ดหนึ่ง เราคงจะต้องลงเรือหนีกันแล้วละ”“เราไม่ควรจะทำอย่างนั้น” คริสทีนากล่าว แล้วเธอก็กระชากเส้นผมออกมาเต็มกำมือ โดยไม่สนใจใยดีกับเสียงตะโกนและกรีดร้องอย่างเดือดดาล“เร็วเข้า...” เธอสั่ง “ให้ทุกคนในเกาะมาที่นี่ แล้วก็ถักผมของฉันเป็นเส้นเชือก เอาเรือลากจูงที่แข็งแรงที่สุดของเราสองลำออกมา ติดเครื่องเตรียมพร้อมที่จะแล่นตรงไปยังก้อนน้ำแข็งนั่น”เวลานี้ก้อนน้ำแข็งเคลื่อนที่เข้ามาจนปรากฏต่อสายตา ณ ขอบฟ้าไกล รูปร่างของมันเหมือนกับขุนเขาใหญ่สองลูก มียอดเขาแหลมใหญ่สองยอด ซึ่งประกอบขึ้นมาจากน้ำแข็งสีเขียวทั้งหมด“เราจะต้องเอาเชือกพันรอบยอดเขาทั้งสองลูกนั่น” คริสทีนาบอก พร้อมกันนั้นเธอก็ยังคงดึงทึ้งกระชากเส้นผมของเธอออกมาแม้ว่ามันจะส่งเสียงกรีดร้อง “แล้วเรือลากจูงทั้งสองลำก็จะแล่นออกไป ลำหนึ่งไปยังทิศตะวันออก อีกลำหนึ่งไปทางทิศตะวันตก เพื่อดึงให้ก้อนน้ำแข็งนั่นแยกออกไปสองส่วน”นายกรัฐมนตรีสั่นศีรษะ แต่เนื่องจากไม่มีใครที่มีความคิดดีกว่านี้ ประชาชนชาวเกาะทั้งหมดจึงพากันมาที่พระราชวังเพื่อถักเส้นผมของคริสทีนา ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภูเขาน้ำแข็งอันมหึมา ก็ลอยเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้นพร้อมกับแผ่ความเย็นอันน่าพรั่นพรึงเหมือนกับกองไฟแผ่ไอร้อนระอุออกมา เมื่อมันเข้ามาใกล้ขึ้น ใบของต้นลอเรลทั้งหมดบนเกาะก็เริ่มกลายเป็นสีดำและดอกเริ่มเหี่ยวเฉา นิ้วมือของผู้คนที่กำลังถักเส้นเชือกเริ่มเป็นเหน็บชาด้วยความหนาวเย็น ในที่สุด เชือกสีทองที่มีความยาวถึงสามสิบกิโลเมตรก็เสร็จสิ้นลง นักปีนเขาผู้กล้าหาญสองคนพายเรือออกไปยังภูเขาน้ำแข็ง แล้วปีนไต่ขึ้นไปตามก้อนน้ำแข็งที่ลื่นไถลด้วยการตอกหมุดเหล็กลงไป จากนั้นก็เอาเชือกสีทองพันรอบยอดเขาสีเขียวทั้งสองนั้นยอดละสามรอบ ต่อมาเรือลากจูงทั้งสองลำก็ดึงเอาปลายเชือกลำละเส้น แล้วค่อยๆเร่งเครื่องออกไปในทิศทางตรงกันข้าม ด้วยการกระชากอย่างรุนแรง ภูเขาน้ำแข็งก็ปริแยกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนลอยตามเรือแต่ละลำซึ่งเร่งเครื่องไกลอกไป และไกลออกไป สู่ยังทะเลใต้แล้วทุกคนก็ต้องพากันประหลาดใจ เพราะตรงใจกลางระหว่างภูเขาน้ำแข็งที่ปริแยกออกไป เรือยอร์ชพระที่นั่งที่หายสาบสูญไปนานแล้วก็ปรากฏขึ้นมา เหมือนเมล็ดพืชที่ปรากฎออกมาจากเปลือกแข็ง ทั้งกษัตริย์ ราชินี และลูกเรือทั้งหมดกำลังอ้าปากหาว บิดขี้เกียจ เอามือถูกัน กะพริบตาถี่ๆแล้วก็สะบัดศีรษะ เพราะว่าทั้งหมดเพิ่งตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลในความหนาวเย็น ทั้งนี้ก็เพราะว่าขณะที่เรือยอร์ชกำลังลอยลำอยู่ในความมืด ก็ได้แล่นตรงเข้าไปในรอยปริแยกของก้อนน้ำแข็งและติดตรึงอยู่ภายในนับแต่นั้นมาคริสทีนาจึงเปี่ยมท้นไปด้วยความสุขที่ได้พบบิดามารดาของเธออีกครั้ง รวมทั้งที่จะได้โอบกอดกับท่านทั้งสองที่ท่าเทียบเรือและได้รับรู้ว่า เธอไม่ต้องเป็นราชินีอีกต่อไปแล้ว“บางทีเส้นผมของฉันจะได้หยุดกรีดร้องเสียที” เธอคิดในใจ “หรือว่าจะยังคงเหมือนเดิม”“เธอคิดว่าพวกเราจะหยุดกรีดร้อง” เส้นผมของเธอพากันร้องตะโกนถากถาง “ช่างน่าหัวเราะ เราไม่ยอมหยุดหรอก เราจะ...”ในทันทีทันใดนั้นเองเส้นผมก็เงียบเสียงลง ทำไมละ เจ้าแมวคริมเปิลแชมอยู่นั่นไงมันกำลังเอาลำตัวที่เต็มไปด้วยลายสีกับข้อเท้าของกษัตริย์และราชินีอยู่บนท่าจอดเทียบเรือ เวลานี้หนวดของมันงอกยาวดังเดิมแล้ว“ช่างดีเหลือเกินที่พ่อกับแม่ได้ให้ภูพ่อทูนหัวอยู่คอยดูแลลูก” ราชินีกล่าวขึ้น พลางชำเลืองมองไปรอบๆด้วยความพึงพอใจ “แม่สามารถเห็นได้เลยว่าระหว่างที่เราจากไปนั้น อาณาจักรของเราได้รับการปกครองดุแลอย่างดี ดูสิ แม้แต่บรรดาผู้คนย้อนหลังก็ดูดีขึ้นกว่าที่พวกเขาเคยเป็นอยู่”แต่บรรดาผู้คนย้อนหลังพากันร้องขึ้นมาว่า “คริสทีนาเป็นผู้กระทำ เธอเป็นผู้กระทำ และเวลานี้เธอควรจะได้หยุดพักร้อน”“หยุดพักร้อนหรือ” กษัตริย์กับราชินีเอ่ยขึ้นด้วยอาการค่อนข้างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ แล้วลูกจะไปไหน”“ลูกจะไปท่องเที่ยวรอบโลกค่ะ” คริสทีนากล่าวพลางก้าวขึ้นไปบนเรือยอร์ช บรรดาผู้คนย้อนหลังก็พากันกระโดดขึ้นเรือตะเวนรอบโลก เพื่อตามหาโจฮันน์ คิง นักดนตรีหนุ่มผู้ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวของเส้นผมของคริสทีนา