<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
16 มกราคม 2552

ธรรมชาติงามล้น น้ำใจคนงามล้ำ ดินแดนศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก (น่าน) ตอนที่ 2

..

แสงแรกในเช้าวันใหม่สีส้มจาง ตัดกับขอบฟ้าคราม อมเทา


แม้ลมหนาวเย็นยะเยือกไล้ไปทั่วใบหน้า แต่ภาพที่ปรากฏต่อสายตา กลับเป็นความอบอุ่น


พระอาทิตย์ดวงกลมโต ค่อยๆเคลื่อนกายออกมาจากอ้อมกอดของทะเลหมอกและขุนเขา


เมื่อแสงแห่งชีวิตเริ่มส่องสว่าง ม่านหมอกขาวจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มทอง


ผมบอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เห็นเบื้องหน้า คือ จิตรกรรมจากปลายพู่กันของศิลปิน ที่เรียกว่า “ธรรมชาติ”


..



..

“เลือกเส้นทาง”

หากผมเลือกตามแผนเดิม ผมจะมีเวลาวันแรกสำหรับถ่ายภาพวิถีชีวิตในเมืองปัวได้อย่างเต็มที่ ส่วนวันที่สอง ผมจะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยภูคา ศึกษาตามเส้นทางธรรมชาติ ถ่ายภาพต้นไม้ใบหญ้าระหว่างทางได้มากตามที่ใจต้องการ

หากผมเลือกอีกทาง ด้วยการติดสอยห้อยตาม กลุ่ม “เฮาฮักน่าน” ขึ้นไปบริจาคของให้กับเด็กๆตามโรงเรียน ผมก็จะได้ภาพอีกอารมณ์หนึ่งในรูปแบบของกิจกรรมที่น่าสนใจ และยังได้มีโอกาสพบปะกับเพื่อนใหม่ๆอย่างใกล้ชิด

เมื่อมีสองทางให้เลือก โดยตัวเองเป็นผู้กำหนด ผมจึงต้องถามว่า การเดินทางมาน่านในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์อะไร ผมตอบคำถามนั้นได้ว่า

ข้อแรก ผมต้องการท่องเที่ยวด้วยอารมณ์สบายๆ

ข้อสอง ผมอยากมาเก็บภาพความทรงจำที่น่าประทับใจจากแหล่งท่องเที่ยว วิถีชีวิตของผู้คน

และข้อสาม ผมเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวเพิ่มเติมประสบการณ์ให้แก่ชีวิต

เมื่อประมวลผลได้แล้ว ผมจึงต้องตัดสินใจเลือกเอา 1 ทาง ซึ่งไม่ทราบว่าถูก หรือผิด ดี หรือไม่ดี


แต่เส้นทางนี้ เป็นคำตอบที่ใจต้องการ

..



..

2 มกราคม 2552

ผมตื่นเช้ามาอ่านข้อมูลแผนที่การเดินทางเพื่อดูว่า เมืองปัวมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง จากนั้นก็เก็บสัมภาระ เช็คเอาท์จากโรงแรมเทวราช เตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง

ก่อนออกจากโรงแรม ผมบอกกับตัวเองว่า หากมาเยือนน่านในครั้งหน้า จะหาโอกาสทำความรู้จักกับเมืองปัวให้มากกว่าแค่การอ่านข้อมูลจากแผนที่ เพราะผมตัดสินใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่า วันนี้จะเดินทางไปบริจาคของตามโรงเรียนร่วมกับกลุ่มเฮาฮักน่าน

.

แจ๋ว มารับผมที่หน้าโรงแรม ไปสมทบกับกลุ่มเฮาฮักน่านซึ่งรออยู่ที่วิทยาลัยสารพัดช่าง

เช้าวันนี้ มีคณะเดินทางทั้งหมด 11 ชีวิต เราค่อยๆทยอยขนของบริจาคขึ้นรถกระบะ และปิ๊คอัพ รวม 3 คัน ก่อนออกเดินทางมุ่งไปสู่โรงเรียนแรกที่อำเภอท่าวังผา

นั่นคือ โรงเรียนชุมชนไตรคามราษฎร์บำรุง หรือชื่อเดิมว่า โรงเรียนบ้านสบย่าง

..



..

เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึงโรงเรียน ผมพบว่ามีกลุ่มเฮาฮักน่านอีกหลายคนรออยู่ที่นั่นแล้ว

แม้โรงเรียนชุมชนไตรคามฯ แห่งนี้ ไม่ได้อยู่นอกเขตอำเภอท่าวังผามากนัก เส้นทางที่มาถึง ก็ไม่ได้ทุรกันดารลำบากอะไร แต่เมื่อผมเดินไปสำรวจอาคารเรียน พบว่าทรุดโทรม และมีร่องรอยปลวกกินเต็มไปหมด

อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า หากได้งบประมาณมากพอ จะได้ทำฝาผนังอาคารเรียนใหม่ เพราะอาคารเดิมที่ใช้อยู่นั้น ผุพังไปพอสมควร แถมยังโดนปลวกกินเสียอีก

จากนั้นพิธีส่งมอบวัสดุอุปกรณ์สิ่งของช่วยเหลือต่างๆ ก็ทำอย่างเรียบง่ายรวดเร็ว ก่อนที่ทางโรงเรียนจะชวนคณะเฮาฮักน่านไปรับประทานอาหารที่เตรียมไว้

..



..

อาหารมื้อแรกของเช้านี้ เป็นอาหารชาวเหนือเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย ข้าวเหนียว แกงฮังเล ผักต้ม น้ำพริกอ่อง แคปหมู

พี่ๆกลุ่มเฮาฮักน่านหลายคน เป็นห่วงเป็นใยคนต่างถิ่นอย่างผม ว่าทานข้าวเหนียวได้ไหม ทานกับข้าวแบบนี้ได้หรือเปล่า ผมบอกไปว่า ไม่มีปัญหา แถมรสชาติอาหารอร่อยถูกปากอีกต่างหาก

“นี่ๆ ต้องปั้นข้าวเหนียวอย่างนี้นะ แล้วก็จิ้มลงไปแบบนี้” พี่ๆบางคนสอนวิธีปั้นข้าวเหนียวให้ เพราะห่วงว่าผมจะทานไม่เป็น

.

ความจริง กลุ่มเฮาฮักน่าน มีผู้หญิงร่วมอยู่ด้วย แต่ในรูปที่เห็นมีเฉพาะผู้ชาย คงเพราะหนุ่มๆอย่างพวกเรา เรื่องกินจะมาเร็วกว่าสาวๆนั่นเอง ฮ่า...

..


..

จากนั้น คณะเฮาฮักน่าน เดินทางออกจากโรงเรียนชุมชนไตรคามฯ มุ่งหน้าสู่อำเภอบ่อเกลือต่อไป

เป้าหมายข้างหน้า คือ โรงเรียนบนดอยอีก 2 แห่ง ในอำเภอบ่อเกลือ

.

ระหว่างทางเราแวะซื้อเสบียงกันที่ตลาดสดเทศบาลตำบลท่าวังผาตลาดสดแห่งนี้ เป็นตลาดใหญ่ในอำเภอ และเคยได้รับรางวัลด้านความสะอาดมาแล้วด้วย

..



..


“โรงเรียนของหนู อยู่บนดอย”

ผมหลับๆตื่นๆไปตลอดทาง ตามประสาคนขี้เซา มารู้สึกตัวอีกครั้ง รถก็อยู่บนเส้นทางขึ้นดอยในอำเภอบ่อเกลือแล้ว

ทิวทัศน์ที่เคยเป็นบ้านเรือน เปลี่ยนเป็นทิวเขาต้นไม้เมืองเหนือกว้างไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา พี่คนขับจึงเปิดกระจกรถ ให้พวกเราได้สัมผัสสายลมธรรมชาติ

.

โรงเรียนแห่งที่สองในวันนี้ คือ “โรงเรียนบ้านยอดดอยวัฒนา” ซึ่งเป็นโรงเรียนเล็กๆบนดอย มีนักเรียนทั้งหมดจำนวน 62 คนเท่านั้นเอง

เมื่อเดินทางไปถึง เราก็ช่วยกันขนข้าวของลงจากรถคนละไม้คนละมือ

..



..

ส่วนเด็กๆ ต่างก็ยืนดูข้าวของที่นำมาบริจาค ซึ่งในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ของมือสองที่ไม่ใช้แล้วจากคนในเมือง จะกลายเป็นของขวัญปีใหม่ที่มีค่าสำหรับน้องๆบนดอยอันห่างไกลแห่งนี้

..



..

แต่ก่อนที่จะส่งมอบของบริจาค พวกเราสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยด้วยการแจกขนมให้แก่น้องๆก่อน

เด็กๆ เดินต่อแถวเข้าคิวรับขนม แม้บางคนยังมีอาการเขินอายคนแปลกหน้าอยู่บ้าง แต่เมื่อได้รับขนมแจก บรรยากาศจึงเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น จนผมสามารถเดินไปเก็บภาพน้องๆได้อย่างใกล้ชิด

..



..

การส่งมอบของบริจาค ทำอย่างเรียบง่ายเช่นเคย

คุณครูใหญ่ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเดินทางมาของกลุ่มเฮาฮักน่าน ให้นักเรียนได้รับทราบ พร้อมกล่าวอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคุ้มครองพวกเรา

น้องๆแต่ละคนต่างก็ช่วยกันประนมมือ อวยพรให้แก่ผู้มาเยือน

จากนั้นก็ส่งมอบกันง่ายๆไม่มีพิธีรีตองอะไรให้ยุ่งยาก

เห็นสีหน้าในการส่งมอบแล้ว ผมรับรู้ได้เลยว่า งานนี้สุขใจทั้งผู้ให้ และผู้รับจริงๆ

..



..

เมื่อได้รับของบริจาคไปแล้ว น้องๆบางคนก็ได้ทดลองใช้งานทันที

พวกเราแซวเด็กๆว่า “เอาไปฝึกชกบ่อยๆนะ เผื่อต่อไปจะได้เป็นแบบพี่สมจิตร”

..



..

หากปริมาณความสุขของมนุษย์ สามารถวัดได้จากสีหน้าและแววตา

คุณจะให้คะแนนความสุขของเด็กๆในระดับไหน


..



..

ผู้ให้ ย่อมมีความสุขใจไม่ต่างกัน

แม้กลุ่มเฮาฮักน่าน เป็นเพียงกลุ่มกิจกรรมเล็กๆในสังคมน่าน แต่สิ่งที่พวกเขาและเธอได้ทำนั้นยิ่งใหญ่ และมีความหมาย สมกับอุดมการณ์ที่สกรีนไว้บนเสื้อ

เสื้อยืด เฮาฮักน่าน ที่คนอื่นสวมใส่กันนั้น ผมเองได้รับมาด้วย 1 ตัว และได้สวมเอาไว้ตลอดการเดินทาง

นับเป็นน้ำใจอันแสนละเอียดอ่อนงดงามของชาวน่านที่น่าชื่นชม เพราะผมเองเป็นเพียงคนนอก คนต่างถิ่น ที่ขออาศัยร่วมทางมาในฐานะนักท่องเที่ยวเท่านั้น

แต่ทุกคนก็ให้การยอมรับว่า ในวันนี้ ต้องนับผมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มด้วย

..



..

วันนี้เด็กๆได้รับทั้งขนม อุปกรณ์การเรียน เสื้อผ้า ของเล่น

การเดินทางกลับบ้าน จึงไม่ได้เดินกลับไปมือเปล่าเหมือนทุกวัน

..



..

หลังจากเสร็จภารกิจที่โรงเรียนบ้านยอดดอยวัฒนาแล้ว พวกเรานั่งรถผ่านไปอีกประมาณ 10 โค้ง เพื่อไปยังโรงเรียนอีกแห่ง ที่ชื่อว่า

“โรงเรียนบ้านน้ำหมาว”

โรงเรียนบ้านน้ำหมาว เป็นโรงเรียนสาขาของโรงเรียนบ้านยอดดอยวัฒนา มีนักเรียนแค่ 30 กว่าคน และมีคุณครูใหญ่คนเดียวกัน

..



..

พวกเราเริ่มต้นทักทายเด็กๆด้วยการแจกขนมเช่นเคย

ขนมปังไส้สัปปะรดธรรมดาๆ แต่สำหรับเด็กบางคน อาจเป็นขนมที่ไม่ได้ทานกันได้ง่ายๆ

ผมสังเกตเห็นน้องบางคน เก็บขนมปังใส่ลงเป้ ไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไว้ทานเอง หรือเก็บเอาไปฝากใครที่บ้าน
..



..

“ของมือสอง ที่มีคุณค่า”

ของบางอย่างสำหรับเรา อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว แต่ของสิ่งเดียวกันนั้น อาจมีค่าในสายตาของคนอื่น

ไม่ต่างกับข้าวของบริจาคที่นำมาในวันนี้ เช่น รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้านักเรียน ซึ่งนับเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับเด็กๆโรงเรียนบ้านน้ำหมาว ที่ส่วนใหญ่สวมใส่เพียงรองเท้าแตะเก่าๆเท่านั้น

..



..


ไม่ต่างจากชาวบ้านละแวกนั้น เมื่อได้ข่าวว่ามีคนนำของมาบริจาค โดยเฉพาะเสื้อผ้า ซึ่งมีมากพอที่จะแบ่งปันกันไปคนละ 4-5 ตัว

ต่างก็ค่อยๆทยอยกันเดินมาที่ลานหน้าโรงเรียน เพื่อหยิบค้น เลือกหาเสื้อผ้าในลังบริจาคที่มีขนาดพอเหมาะกับตัวเอง

..



..

แม้จะเป็นเพียงเสื้อผ้ามือสองจากคนอื่น แต่บางครั้งอาจจะดีกว่าเสื้อเก่าๆขาดๆตัวเดิมที่พวกเขาสวมใส่อยู่

อย่างน้อยในช่วงหน้าหนาวที่เหลืออยู่ เสื้อผ้าใหม่ที่ได้รับ คงช่วยคลายความหนาวได้บ้าง

..



..

ภาพเหตุการณ์คล้ายๆกับโรงเรียนแห่งแรก คือ ภาพของการเดินทางกลับบ้านของเด็กๆและชาวบ้านในวันนั้น พวกเขาไม่ได้กลับบ้านไปมือเปล่า

..



..

“นักเตะบนยอดดอย”

โรงเรียนบ้านยอดดอยวัฒนา ได้นักมวยเพิ่มขึ้นไปแล้ว ส่วนโรงเรียนบ้านน้ำหมาว ก็ได้นักฟุตบอลเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ทันทีที่ได้รับฟุตบอลลูกใหม่ บรรดานักเตะชาวดอยก็โชว์ลีลาแห่งเกมลูกหนัง ในสนามแข่งขันซึ่งรายล้อมไปด้วยดงกล้วย

..



..

“เหล้าอุ”

นอกจาก กลุ่มเฮาฮักน่าน จะนำของมาบริจาคแก่ชาวดอยแล้ว ยังช่วยกระจายรายได้ให้ชาวบ้านด้วยการอุดหนุนผลิตภัณฑ์พื้นเมือง ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ผลิตภัณฑ์ที่ว่า เป็นน้ำแก้หนาวที่เรียกว่า “เหล้าอุ”

เหล้าอุ เป็นเหล้าหมักสูตรชาวเขา รสชาติเป็นอย่างไร อร่อยหรือเปล่า ผมไม่ทราบเพราะส่วนตัวเป็นคนไม่ดื่ม แต่บรรดาพี่ๆน้องๆเฮาฮักน่านยืนยันว่า รสชาติเยี่ยม แก้หนาวได้ดีนัก

..



..

“ระหว่างทาง”

หลังจากพวกเราร่ำลาเด็กๆกันแล้ว ก็ออกเดินทางไปสู่บริเวณที่กางเต็นท์

เดิมทีคุณครูใหญ่ คิดว่าพื้นที่ลานกลางโรงเรียน น่าจะพอเป็นสถานที่กางเต็นท์พักแรมได้ แต่อากาศในช่วงนั้นค่อนข้างหนาว รวมทั้งคุณครูใหญ่อาจมองว่า ทิวทัศน์ไม่น่าสนใจนัก จึงนำคณะเราไปพักยังที่อื่น

ระหว่างทาง ขณะที่รอสมาชิก ผมเก็บภาพรอบตัวไปเรื่อย เจอแม่ไก่ นำฝูงลูกเจี๊ยบเดินตามต้อยๆ หากินกันอยู่ จึงถ่ายเก็บไว้

ตอนแรกผมมองผ่านๆ ไม่รู้สึกอะไรไปกว่า ดูแล้วน่ารักดี

แต่เมื่อคิดไปคิดมา การที่ผมอยู่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ทำให้ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้มานานกี่ปีแล้วนะ ?

..



..

ร้านขายของชำ ละแวกนั้น มีคุณยายนั่งอยู่ ขณะที่เด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ในอ้อมกอดแม่

เห็นคุณยายมองหลานด้วยความเอ็นดู แล้วรู้สึกอบอุ่นใจตามไปด้วย

..



..

“ลานกางเต็นท์”

คุณครูใหญ่นำคณะของเราเดินทางออกมาจากโรงเรียนบ้านน้ำหมาว ย้อนกลับมาเส้นทางเดิมประมาณ 10 นาที เพื่อมายังสถานที่กางเต็นท์เฉพาะกิจ คือ “หน่วยจัดการน้ำหลักลาย”

หน่วยจัดการน้ำแห่งนี้ เป็นเหมือนศูนย์ดูแลระบบน้ำบนดอย ซึ่งพอจะมีห้องน้ำห้องท่า และลานกว้างๆให้พวกเราได้กางเต็นท์กัน

แม้ทิวทัศน์รอบๆหน่วยจัดการน้ำหลักลาย ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่เหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยว หรือดอยขึ้นชื่อทั้งหลาย

แต่สำหรับผมการได้มองภาพถนนที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาสูง ก็นับเป็นความงดงามที่น่าพอใจแล้ว

..



..

“ความสุขของหนูจิ๊บ”

“จิ๊บ” เป็นหลานสาวคุณครูใหญ่ อายุอานามน่าจะไม่เกิน ป. 2

ครั้งแรกที่ผมเห็นสาวน้อยคนนี้ที่โรงเรียนบ้านยอดดอยวัฒนา ผมคิดว่าเธอเป็นเด็กขี้อาย พูดไม่เก่ง เพราะไม่เห็นจะคุยอะไรกับใคร นอกจากยืนมองคุณครูใหญ่อยู่เงียบๆ แล้วก็เดินไปเล่นโน้นเล่นนี่อยู่คนเดียวตามประสาเด็ก

.

จนกระทั่ง หลังจากกางเต็นท์กันเสร็จสรรพ เราต่างนั่งล้อมวงทานอาหารเย็นกัน ผมก็ปั้นข้าวเหนียวจิ้มน้ำแกงไปเรื่อย แต่ลักษณะการปั้นข้าวเหนียวของผมนั้น แตกต่างจากคนอื่นๆ และผมเริ่มสังเกตว่า มีเสียงเด็กหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆอยู่ข้างๆ

“กินก็ไม่เป็น ฮ่ะๆๆๆ”

อ้าว...โดนสาวแซวซะแล้วเรา

.

ด้วยความเป็นคนที่ชอบเล่น ชอบคุยกับเด็กๆ อยู่แล้ว ผมจึงลองชวนคุย แต่ไม่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้มาถูกใจผมตรงไหน จากที่เคยเป็นเด็กเงียบๆ จึงกลายเป็นเด็กช่างจ้อที่พูดได้ไม่มีหยุดพัก

“ทำไมต้องสวมแหวน” จู่ๆจิ๊บก็เริ่มเปิดการสนทนาหลังอาหาร

“สวมแล้วมันเพิ่มพลัง” ผมยิงมุข The Lords of The Rings สวนกลับไป หวังให้เธองงเล่นๆ

“ทำไมต้องเพิ่มพลัง”

“จะได้มีแรงทำงาน”

“ทำไมต้องมีแรงทำงาน”

“เพราะเป็นคนขยัน”

“ทำไมต้องขยัน”

“เพราะถ้าขี้เกียจแล้วจะโดนครูตี”

“ทำไมครูต้องตี”

“เพราะขี้เกียจ”

“ทำไมต้องขี้เกียจ”

“เพราะอากาศหนาว”

“ทำไมอากาศต้องหนาว”

“เพราะอุณหภูมิลดลง”

“ทำไมต้องอุณหภูมิลดลง”

ฯลฯ

สุดท้ายแล้วเกมคำถามในครั้งนี้ ผมยอมแพ้แต่โดยดี

แต่จิ๊บยังไม่หยุดแค่นั้น เธอเริ่มชวนผมเดินชมพืชพรรณต่างๆบริเวณหน่วยจัดการน้ำ แล้วถามไปทีละต้นว่า ต้นไม้ตรงนี้ ดอกไม้ตรงโน้น เรียกว่าอะไร

ผมตอบถูกบ้างผิดบ้าง ถ้าตอบผิด จะโดนจิ๊บบ่น “โธ่ ...ไม่รู้อะไรเล๊ยย”

.

หลังจากเหมือนถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียว ผมเริ่มคิดค้นหาวิธีเอาคืนบ้าง จนจับทางได้ว่า จิ๊บแพ้กล้อง

แต่หลานสาวคุณครูใหญ่ ก็ไวเป็นลูกลิง พอหันกล้องไปปุ๊ป เธอก็หันหลังทันควัน ไม่ก็วิ่งหนีไปบ้าง ไม่ทันได้ถ่ายซักที

กระนั้น มือโปรอย่างเรา หากมาแพ้เด็กน้อยเมืองเหนือ นับว่าเสียฟอร์มไม่น้อย ผมจึงทำตัวสงบเสงี่ยม นั่งนิ่งๆ รอจังหวะที่จิ๊บกระโดดมาเกาะหลัง ผมจึงรีบยกกล้องหันมาหาตัวเอง ยกขึ้นเหนือไหล่ขวา

จากนั้นก็ ....“แชะ”

..



..

“เสียงเพลงรอบกองไฟ”

เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า คุณครูใหญ่จึงลาพวกเรา พร้อมพาหลานสาววัยซนกลับไปด้วย

น้องๆกลุ่มเฮาฮักน่าน แซวผมว่า “แหม นึกว่าพี่ป๊อกกี้จะเสียหนุ่มให้สาวน่านซะแล้ว”

.

อุณหภูมิบนดอยลดลงอย่างรวดเร็วในค่ำคืนที่เมฆหนาไม่เห็นแสงจันทร์

พวกเรานั่งกันข้างกองไฟ พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ตกดึกเข้าหน่อย มีคุณลุงซึ่งพักอยู่ในหน่วยจัดการน้ำมาร่วมนั่งด้วย บรรยากาศของผับบาร์ใต้ลมหนาวจึงเริ่มต้นขึ้น

เนื่องจากผมเป็นคนไม่ดื่ม จึงนั่งกินกับแกล้มพอเป็นพิธี และขอตัวไปนอนคนแรก

ความรู้สึกตรงนั้น ไม่ได้เบื่อแต่อย่างใด หากแต่กลัวว่าความขี้เซาของตัวเองจะทำให้ตื่นไม่ทันชมทิวทัศน์ยามเช้ามากกว่า

ผมจึงขอตัวไปนอนราว 4 ทุ่ม ท่ามกลางเสียงลมหนาวปะทะเต็นท์ คลอเคล้าไปกับบทเพลงข้างกองไฟ

..



..

“หอมกลิ่นไอหมอก”


“พี่ป๊อกกี้ ตื่นได้แล้วววววว”

“พี่ป๊อกกี้ มาดูทะเลหมอกเร๊ววว”

ความจริงแล้ว คนที่นอนก่อนชาวบ้านเค้า น่าจะเป็นคนปลุกคนอื่น แต่กลับกลายเป็นน้องๆที่นั่งดื่มกันข้ามคืน ต้องมาตะโกนปลุกผมที่เต็นท์

อุณหภูมิยามเช้าที่หน่วยจัดการน้ำหลักลาย หนาวจนอยากจะนอนซุกตัวต่อ แต่สุดท้ายผมก็คว้ากล้องคลานออกมาจากเต็นท์จนได้

เมื่อผมออกมายืนตรงจุดเดิมเมื่อวาน พบว่าถนนถูกหมอกกลืนหายไปหลายส่วน

..



..

แม้พระอาทิตย์จะเริ่มทอแสงอุ่นๆ แต่ทิวทัศน์ป่าเขารอบๆ ยังมีหมอกปกคลุม

..



..

นับเป็นครั้งที่สอง ที่ผมได้มาสัมผัสกับทะเลหมอกยามเช้า ตามประสาคนไม่ค่อยมีโอกาสได้ท่องเที่ยวธรรมชาติ

..



..

ความงดงามของทะเลหมอก ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด

..



..

ก่อนเดินทางกลับ พวกเราทานอาหารเช้าง่ายๆ คุณลุงคนเมื่อวาน เอาสมุดเยี่ยมมาให้พวกเราเซ็น

ผมเขียนไปสั้นๆว่า

“ประทับใจทั้งธรรมชาติที่งดงาม และน้ำใจของคนน่าน”

..


..

“มณีแห่งเมืองน่าน”

คณะของเราเดินทางออกจากหน่วยจัดการน้ำหลักลาย มุ่งหน้าไปสู่ตัวเมืองปัว

ก่อนขึ้นรถผมเหลือบไปเห็นป้ายเบ้อเริ่ม ตั้งอยู่ด้านหน้า

ความหมายของป้ายนี้ บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า เมืองน่านยังมีมณีอันมีค่าอยู่อีกมากมาย

..



..

“ก๋วยเตี๋ยวหูกวาง”

ระหว่างทางผมนั่งหลับอีกครั้ง (ไม่รู้จะขี้เซาอะไรนักหนา)

มาตื่นเอาเมื่อรถเข้าสู่เขตอำเภอปัว คณะของเราแวะทานก๋วยเตี๋ยวชื่อดังประจำเมือง นั่นคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวหูกวาง

ชื่อ หูกวางนั้น ไม่ได้มาจากร้านเอาเนื้อกวางมาปรุง แต่มาจากต้นหูกวางต้นใหญ่ข้างหน้า อันเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นที่ใครๆสังเกตได้ง่าย

หลังจากอิ่มหมีพีมันแล้ว พี่ๆในกลุ่มเฮาฮักน่านส่วนหนึ่งขอตัวแยกย้ายกลับไป ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองน่าน เพื่อแวะไปตั้งหลักเตรียมตัว สำหรับการเดินทางไปยังที่หมายอีกแห่ง

..



..

“เก็บดวงดาว ใส่กระเป๋า”

หลังจากคณะใหญ่แยกย้ายกันไป คงเหลือกลุ่มเฮาฮักน่าน 8 คน รวมกับผมอีกหนึ่ง เป็น 9 ชีวิต เดินทางเข้ามาสู่เมืองน่าน เพื่อปักหลัก เตรียมข้าวของสำหรับการไปท่องเที่ยวค้างแรมบนดอยอีกแห่งในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 3 มกราคม

โปรแกรมของเจ้าถิ่น วางเอาไว้ว่าเราจะมุ่งหน้าสู่ “ดอยเสมอดาว”

สถานที่ท่องเที่ยวกางเต็นท์พักแรมยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง ในอำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน

..



..

หากไม่ติดว่า พวกเราแวะเข้าไปพักในเมืองก่อน ผมคงมีโอกาสได้ไปเที่ยว “อุทยานแห่งชาติขุนสถาน” สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งที่ต้นนางพญาเสือโคร่งกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่ง

แต่ด้วยเกรงว่า หากขึ้นดอยเสมอดาวช้าไป พวกเราจะไม่มีที่กางเต็นท์ คณะของพวกเราจึงมุ่งตรงสู่ดอยเสมอดาวเพียงที่เดียว

ดอยเสมอดาว ยังเป็นที่ตั้งของ “ผาหัวสิงห์” ยอดเขาที่รูปร่างลักษณะของธรรมชาติ คล้ายกับหัวของสิงห์ในวรรณคดีไทย

..


..

อากาศบนดอยเสมอดาว ช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็นนั้น ร้อนจนเหงื่อไหล

แต่ทว่าเมื่อเริ่มฟ้าเปลี่ยนสี อุณหภูมิโดยรอบกลับลดลงไปอย่างรวดเร็ว มีเพียงสายลมเย็นๆพัดมาปะทะผิวกาย

..



..

ผมกลับไปนั่งพักรวมกลุ่มกับพี่ๆน้องๆชาวน่าน ทานอาหารเย็นที่เตรียมเอาไว้

แต่เพียงไม่นาน พระอาทิตย์ก็เคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงไปอย่างรวดเร็ว จนวิ่งมาเก็บภาพแทบไม่ทัน

ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างพากันหามุมสวยๆเพื่อถ่ายภาพแสงสุดท้ายของวันท่ามกลางลมหนาวที่เริ่มพัดแรงขึ้น

..



..

น้องคนหนึ่งบอกผมว่า ต้องขึ้นไปยังเนินที่ห่างจากจุดกางเต็นท์ไปอีกประมาณ 100 เมตร เพื่อเก็บภาพพระอาทิตย์ตกสวยๆได้อีกมุม

แต่ยังไม่ทันไร แสงอาทิตย์ก็ลาลับหายไปกับขอบฟ้า ผมจึงถ่ายมาได้แค่เนินเขาที่มีฉากหลังเป็นแสงสุดท้ายของวัน

..



..

เมื่อแสงอาทิตย์สั่งลาไป ความมืดก็เข้ามาแทนที่ พร้อมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเหลือประมาณ 18 องศา

.

บรรยากาศลานกางเต็นท์เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเป็นช่วงเวลาที่แต่ละคน นั่งล้อมวงทานอาหารมื้อค่ำท่ามกลางบรรยากาศลมหนาว

เต็นท์ส่วนมาก มีเตาถ่านบ้าง เตาแก๊สปิคนิคบ้าง เพื่อประกอบอาหารประเภทปิ้ง ย่าง เข้ากับอารมณ์การนอนกางเต็นท์ ขณะที่หลายเต็นท์ เสริมความอุ่นด้วยเครื่องดื่มคลายหนาว

ผมเดินสำรวจบรรยากาศอีกตามเคย และเมื่อมองไปบนฟากฟ้า ภาพที่เห็น คือ ดวงดาวมากมายส่องแสงสว่างไสว

แน่นอนว่า เราไม่สามารถเห็นภาพเช่นนี้ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันมลภาวะได้เลย

ความงดงามของท้องฟ้าบนดอยเสมอดาวในคืนนั้น ทำให้ผมหายสงสัยไปในทันที ว่า ชื่อดอยแห่งนี้ได้มาจากเหตุใด

.


“ดอยเสมอดาว คือ สถานที่ที่ตัวเรา และดวงดาว มาเสมอกัน”

..



..

“ผลงานจากคณะศิลปินธรรมชาติ”

ค่ำคืนบนดอยเสมอดาว อุณหภูมิลดต่ำลงไปอยู่ที่ 13 องศา ทำเอาผมนอนขดตัวอยู่ทั้งคืน

จนกระทั่งเวลาประมาณตี 5 เสียงแห่งความเคลื่อนไหวรอบๆเต็นท์ ก็เริ่มปลุกผมให้ตื่นอีกครั้ง

“ตื่นเร็วลูก ไปดูทะเลหมอกกัน”

“เฮ๊ย หนาวโคตรๆเลยว่ะ”

“กินกาแฟร้อนๆก่อนไหมคุณ”

“แม่ๆ ป๊าหายไปไหน”

และ..... “พี่ป๊อกกี้ ตื่นได้แล้วววววว”

.

ผมตะโกนบอกพี่ๆน้องๆชาวน่านว่า เดี๋ยวจะตามขึ้นไปบนจุดชมวิว ก่อนจะกลิ้งตัวไปมาอยู่อีกหลายตลบ

เมื่อออกมาจากเต็นท์ของตัวเอง เวลาประมาณ 6 โมงเศษ ปรากฏว่าคนอื่นๆหายไปหมดแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังมืดๆ

ผมค่อยๆเดินขึ้นเนินไปยังจุดชมวิวยามเช้า พบว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนจับจองพื้นที่ถ่ายภาพความงามยามเช้ากันเต็มไปหมด

..



..

หากดอยเสมอดาว เปรียบเป็นพื้นที่เปิดให้ชมการแสดงผลงานของคณะศิลปิน

เมื่อวานที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวคงได้ชมผลงานชื่อ “แสงสุดท้าย” และ “ดาวล้านดวง” ไปแล้ว

.

สำหรับผลงานชุดแรกของเช้าวันนี้ มีชื่อว่า “ทะเลหมอก”

โดยในเข้าชมผลงานทุกชุดนั้น คณะศิลปินแห่งดอยเสมอดาว ยังแจก “สายลมหนาว” ให้กับผู้ชมทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

..



..

ผมถ่ายภาพทะเลหมอกไปได้ครู่ใหญ่ ก็เริ่มมีเสียงฮือฮาจากบรรดานักท่องเที่ยว

เมื่อผมหันตามเสียงไป จึงพบว่าเสียงฮือนั้น มาจากผลงานชิ้นสุดท้าย บนยอดดอยเสมอดาวแห่งนี้ ที่ชื่อว่า “แสงแรกแห่งชีวิต”

..



..

ผลงานชิ้นสุดท้ายที่คณะศิลปินแห่งดอยเสมอดาวนำมาแสดงนั้น งดงามคุ้มค่าแก่การรอคอย

..



..

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ซื้อบัตรนั่ง บัตรยืน บริเวณจุดชมการแสดง

แต่นักท่องเที่ยวบางคน ได้บัตร VIP

..



..

การแสดงผลงาน จบลงไปอย่างน่าประทับใจ คงต้องขอบคุณคณะศิลปินแห่งดอยเสมอดาว ที่อนุญาตให้ผมสามารถเก็บภาพมาได้อย่างเต็มที่

..



..


“เพื่อนร่วมทาง”

ระหว่างที่สาวๆกำลังทำอาหารเช้า และน้องๆบางส่วนกำลังปฏิบัติภารกิจส่วนตัว

ผมจึงมาเก็บภาพ 3 หนุ่มเฮาฮักน่านที่เหลือ ซึ่งกำลังออกกำลังกายยามเช้าเพื่อไล่ความหนาว

..



..

การเดินทางมาสัมผัสความงามของธรรมชาติในครั้งนี้ คงไม่สามารถเป็นจริงได้เลย หากผมไม่ได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากกลุ่มเฮาฮักน่าน

ทุกคนต่างให้การต้อนรับคนต่างถิ่นผู้มาเยือนอย่างผมเป็นอย่างดี แม้ว่าจะเพิ่งพบกันครั้งแรก และไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆที่เดินทางร่วมกัน 2 วัน แต่นั่นก็นานพอต่อการจดจำตลอดไป

..



..

เมื่อถึงเวลางานเลี้ยงต้องเลิกรา ผมและน้องๆในกลุ่มอีก 3 คน แยกย้ายออกจากกลุ่มใหญ่

ขณะที่กลุ่มเฮาฮักน่านที่เหลือ เดินทางไปท่องเที่ยวต่อยัง ขุนสถาน สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูบานสะพรั่ง

.

ส่วนกลุ่มย่อยของผม โบกรถกระบะนักท่องเที่ยวชาวอุตรดิตถ์ ลงมาจากดอยเสมอดาว ไปยังสถานีขนส่งอำเภอเวียงสา

น้องที่เดินทางมาด้วยกันบอกผมว่า ให้ผมเก็บภาพสถานีขนส่งแห่งนี้เอาไว้ “นี่เลยพี่ สถานีขนส่งหลังคาสังกะสี มีเหลืออยู่ไม่กี่แห่งในประเทศแล้วนะ”

..



..


น้ำใจชาวน่านนั้น ยังคงมอบให้ผมตลอดการเดินทางส่งท้าย

เพราะการกลับสู่เมืองหลวงของผมในวันนั้น ไม่ต้องลุ้นเรื่องซื้อตั๋วรถทัวร์ หรือรถเสริมที่ไหนอีก แต่ผมได้อาศัยติดรถของ “พี่เป้” รุ่นพี่คนหนึ่งในกลุ่มเฮาฮักน่าน ซึ่งไปขึ้นดอยด้วยกันในวันแรก

จุดเริ่มมาจากรุ่นน้องเฮาฮักน่าน ชื่อ “ยุทธ” บอกผมว่า ตัวเขาและพี่เป้นั้น ทำงานในกรุงเทพฯ และต้องเดินทางกลับในเช้าวันอาทิตย์อยู่แล้ว

จึงชักชวนผมให้เดินทางกลับไปด้วยกัน ไม่ต้องเสียเงินค่ารถให้เปลืองอีก

.

เราทั้ง 3 คนเดินทางออกมาจากอำเภอเวียงสา ตั้งแต่ช่วงสาย ขับไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะทานข้าว แวะทานกาแฟ จนกระทั่งมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงหัวค่ำ

ก่อนถึงที่หมาย ผมชวนยุทธกับพี่เป้คุยเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอันน่าสนใจในเมืองน่าน

.

ยุทธ บอกผมว่า “ตอนนี้ที่ด่านห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ เปิดเป็นทางการแล้วนะครับ ทำถนนเรียบร้อย ทะลุออกไปเมืองหงสาของลาว แล้วนั่งเรือต่อไปหลวงพระบางได้เลย พี่ป๊อกกี้สนใจหรือเปล่า ?”



-จบบริบูรณ์-

..




 

Create Date : 16 มกราคม 2552
25 comments
Last Update : 16 มกราคม 2552 22:14:47 น.
Counter : 5779 Pageviews.

 

คิดถึงเมืองน่านบ้านเกิดมากมาย
รู้ไหมค่ะ คุณโชคดีมากน้าที่ได้เที่ยวในเมืองน่านเยอะขนาดนี้ ขุนสถานแค่หลับตาเราก็ยังประทับใจไม่มีวันลืมเลยค่ะ สวยมาก

ไปเที่ยวอีกนะค่ะ

ps ถ่ายรูปสวยจังค่ะ

 

โดย: ~Or@nge be Ora~ IP: 58.147.49.59 17 มกราคม 2552 1:41:54 น.  

 

ผมว่าแค่ 5 เรื่อง ก็ได้เล่มนึงแล้วนา

รูปสวยดี ชอบๆ

 

โดย: a€kz IP: 58.9.52.235 17 มกราคม 2552 23:45:04 น.  

 

คณะครูทุกคนและชาวบ้านขอขอบคุณคณะของท่านที่หยิบยื่นความมีไมตรีครั้งนี้ให้ ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง หวังว่าคงกลับมาเยือนเราอีกครั้ง

 

โดย: ครูโรงเรียนบ้านยอดดอยวัฒนา และสาขาบ้านน้ำหมาว IP: 203.172.199.254 20 มกราคม 2552 12:31:18 น.  

 

รูปสวยดีเนอะ

กิจกรรมดีจ้า

ไว้ชวนมั่งดิจาได้ไป

 

โดย: คนน่าน..ไกลบ้าน IP: 118.172.243.67 2 กุมภาพันธ์ 2552 11:13:11 น.  

 

แวะมาเที่ยวน่านอีกรอบ

เรียนอยู่อ่ะ เบื่อ ๆๆ เข้ามาอ่านบล็อกพี่ป๊อกกี้แก้เซงดีกว่า ...สนุกกว่าเรียนเยอะเลย ฮี่ ๆๆ

 

โดย: มินิ IP: 203.158.239.239 6 กุมภาพันธ์ 2552 11:06:28 น.  

 

มาทักทาย มาชื่นชม...และมาสวัสดีครับ

เมื่อวานผมเข้าไปฝึกทำการบ้าน
ย้ายห้อง+ขนข้าวขนของ เปลี่ยนไป
เปลี่ยนมา ปรากฏว่าคอมเม๊นท์เพื่อนๆ
หายเกลี้ยงเลย...ว๊า..แล้วยังงี้ผมจะทำไงดีครับ
ฮือๆๆ....ช่วยด้วย..........ซ้ำเติมหน่อยๆๆๆๆๆๆๆ

 

โดย: ตาติ๊ก (สกุลเพชร ) 11 กุมภาพันธ์ 2552 3:55:14 น.  

 

ตามมาเยี่ยมชมคุณป็อกกี้ครับ

ขอบคุณที่แวะไปทักทายในกระทู้เสมอครับ

 

โดย: the Sixth Floor 11 กุมภาพันธ์ 2552 22:35:29 น.  

 

ภาพหนึ่งภาพเล่าเรื่องนับพัน...


 

โดย: Mango Frappe 24 กุมภาพันธ์ 2552 16:37:01 น.  

 

ตามมาป่วนทุกเว็บเลย

จะมาเที่ยวอีกมะไหร่อ่าพี่ป๊อก มาเร๊วๆๆๆ จะเข้าหนาวอีกแว้วว

 

โดย: ปังปอนด์ IP: 222.123.22.174 27 กรกฎาคม 2552 23:07:13 น.  

 

ถ่ายภาพได้สวยมากเลยคับ
ผมเป็นคนน่านยังไม่ได้เที่ยวขนาดนี้เลยแย่จัง
ขอบคุนคับที่แบ่งบันภาพที่สวยเหนือคำบรรยายให้ดูคับ
ขอขอบคุนครับ

 

โดย: so IP: 118.172.155.1 31 สิงหาคม 2552 13:35:30 น.  

 

หันละง่อมหาบ้านโท๊ะ...แหม3ปี๋ป๊ะกั๋นเน้อเมือง... นาน...บ่ตั้งใจ๋ก่ไปบ่ถึงน่าน

 

โดย: คำมินทร์ จ้างก้ำ IP: 118.173.86.200 20 กุมภาพันธ์ 2553 21:17:07 น.  

 

เป็นการเที่ยวที่คุ้มมากเลยครับ ..

รูปสวยมากครับ

 

โดย: kpantip IP: 10.11.210.35, 58.147.0.186 26 พฤษภาคม 2553 17:36:28 น.  

 

จะไปเขาค้อ-เชียงราย ตค.นี้
ตอนแรกกะจะไม่เข้าน่าน
เจอแบบนี้เข้า เอาไงดีเรา...
ตารางแน่นมาก สงสารคนขับด้วย

ไงก็ ขอบคุณมากนะคะ
ภาพคุณภาพ ของคุณPOGGHI

 

โดย: ฝ้าย-ฟาง IP: 125.27.109.190 27 พฤษภาคม 2553 10:48:28 น.  

 

ความเหมือนที่ไม่เหมือน...มีคนมากมายถ่ายภาพวิวเหมือนคุณ แต่ภาพทุกภาพของคุณไม่เหมือนของคนอื่น ภาพของคุณทำให้ขนลุก..ปลาบปลื้ม..น้ำตารื้น..สุขสมและอิ่มเอมได้..ดิฉันเคยรักการท่องเที่ยวและถ่ายภาพ.แต่รื้อไปนานแล้ว..คุณทำให้ดิฉันอยากเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง.....ขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจ(โดยที่คุณอาจไม่ตั้งใจและรู้ตัว)

 

โดย: vivi IP: 124.120.26.136 6 มิถุนายน 2553 13:56:24 น.  

 

น้องฮักเมืองน่าน น้องฮักเวียงสา

 

โดย: สาวน้อย IP: 118.172.124.3 12 มิถุนายน 2553 19:17:33 น.  

 

รูปสวยมากค่ะ

 

โดย: เปิ้ล IP: 115.87.132.42 17 มิถุนายน 2553 21:24:36 น.  

 

รวมเล่มได้แล้วว

 

โดย: fifa IP: 112.143.11.221 5 กันยายน 2553 10:40:22 น.  

 

นาน้อยบ้านผมที่เที่ยวสวยเยอะเลย

 

โดย: หงส์ IP: 118.173.234.152 2 พฤศจิกายน 2553 18:42:05 น.  

 

สวยมากคะ สวยทั้งรูปภาพ ถ้อยคำ

 

โดย: บุ๋มบิ๋ม IP: 58.9.252.5 14 ธันวาคม 2553 20:05:25 น.  

 

บ้านยอดดอยวัฒนา

 

โดย: 08 1724 8287 IP: 171.4.88.130 4 ตุลาคม 2554 6:08:45 น.  

 

อยากไปแล้ว สวยจริงๆ เสมอดาวแล้วเราเจอกันแน่ๆๆ ปีใหม่

 

โดย: กีตาร์ IP: 124.121.194.39 18 พฤศจิกายน 2554 13:04:25 น.  

 

รูปสวย อ่านเพลิน เนื้อหากินใจค่ะ

 

โดย: แม่ปู (ฮัลโลตอบหน่อย ) 9 ธันวาคม 2554 9:25:51 น.  

 

ตอนแรกว่าจะไปเชียงรายและเชียงใหม่แต่พอคิดไปคิดมาไปนอนดอยเสมอดาวดีกว่า เพราะว่าสวยมาก อดใจไม่ได้แล้วต้องไปแน่ รอก่อนนะ จ๊ะเสมอดาจ๋า คริสมาดนี้เจอกันนะ

 

โดย: สะใภ้เมืองน่าน IP: 171.4.84.14 21 ธันวาคม 2554 13:36:05 น.  

 

ถึงเวียงสาเลี้ยวขวามานาน้อย มาเที่ยวดอยเสมอดาวที่บ้านฉัน รับรองได้ว่ากลับไปจะถามกัน ว่าจะไปอีกครั้งเมื่อไหร่ดี มีครั้งแรกก็ต้องมี ครั้งที่สอง แล้วก็ต้อง
คร้ังที่สามไปเรื่อยๆๆ รับรองได้ว่าไม่โม้จริงๆเธอ จะละเมอเพ้อหาเสมอดาว

 

โดย: สะใภ้บ้านไร่ IP: 27.55.15.141 18 พฤษภาคม 2555 19:40:47 น.  

 

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบการท่องเที่ยว ผมประทับใจ ดอยเสมอดาวมาก ท่านลองไปเที่ยวดูเพราะเกิดมาครั้งหนึ่งถ้าอยากรู้และสัมผัส ความแตกต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวที่อื่นลองไปเที่ยวดอยเสมอดาวดูนะครับ เพราะว่า นาน้อย เป็นเมืองเงียบมาก ดอยเสมอดาว อากาศเย็นสบาย มีกลิ่นไอที่สวยงามมากๆๆ ผู้คนที่นั่นใจดีครับ ผมชอบและ ผมรัก นาน้อย มากครับ

 

โดย: รีโมท IP: 192.168.150.89, 223.27.222.162 25 มิถุนายน 2555 16:24:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]