<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
26 พฤศจิกายน 2552

โตเกียว หมุนรอบตัว ตอนที่ 2 : ในวันฝนพรำ

..

เมฆหมอกสีเทา ฟ้าครึ้มๆ กลางฤดูใบไม้ร่วง อาจทำให้โตเกียวดูไม่สดใสเหมือนในโปสการ์ด

แต่ละอองเล็กๆที่โปรยปรายทั้งวัน ก็ดูเข้ากันดีกับอุณหภูมิ 20 องศา ต้นๆ

บางครั้ง ฝนที่นี่ ตกลงมาเป็นละอองน้ำ ฟุ้งกระจายราวกับใครฉีดสเปรย์



ผมแหงนหน้าไปบนท้องฟ้า มองดูละอองไอ ลอยล่องอยู่ในอากาศ


“... ฝนตกในโตเกียว ก็โรแมนติกดีนะ”

..


..

“โตเกียว วันฝนโปรย”


ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น ผมตรวจสอบสภาพอากาศย้อนหลังตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา
จาก //www.wunderground.com
พบว่า ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงนั้น โตเกียวมีฝนตก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 วัน

แต่ก่อนออกเดินทางราวสัปดาห์ ผมลองตรวจสอบพยากรณ์อากาศล่วงหน้าดูบ้าง
ว่าปีนี้จะแตกต่างจากปีก่อนๆหรือเปล่า
ซึ่งพบว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผมเดินทางไปเยือนโตเกียวนั้น
มีโอกาสที่ฝนจะตกได้ทุกวัน


ผมเริ่มใจฝ่อ คิดกังวลไปหลายเรื่อง เกี่ยวกับปัญหาที่จะเกิดจากสภาพอากาศ

ถ้าฝนตกจะทำยังไง จะไปเที่ยวไหนได้บ้าง ฝนตกแล้วจะถ่ายรูปได้หรือเปล่า ฯลฯ

... จินตนาการล่วงหน้าไปสารพัด ตามประสาคนไม่เคยรู้จักฝนตกในโตเกียว



..

วันแรกที่ผมเหยียบย่างไปในแผ่นดินญี่ปุ่น ...
โตเกียว ต้อนรับผมด้วยท้องฟ้าแจ่มใส อากาศปลอดโปร่ง เย็นสบาย ความกังวลเรื่องฝนตกจึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง


ในคืนแรก ผมเปิดหน้าต่างโรงแรมทิ้งเอาไว้ ด้วยความหวังว่า ...

เช้าวันรุ่งขึ้น จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ มีแสงแดดอ่อนๆสาดส่องเข้ามาทายทัก ปลุกให้ผมสัมผัสกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง
ที่จะปรับอุณหภูมิใต้ผ้าห่มให้อบอุ่นพอดีๆ


.
.

แต่ความเป็นจริงที่ได้เจอ คือ ... บรรยากาศฟ้าครึ้ม เต็มไปด้วยหมอกขมุกขมัว
และมีเสียงฝนพรำ ช่วยสะกิดหูให้ผมตื่นจากฝันหวาน




..

แม้ฝนตก ทำให้ผมเสียอารมณ์ไปบ้าง เพราะทำให้แผนการเที่ยวในสถานที่ต่างๆต้องปรับเปลี่ยนไปพอสมควร โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นลักษณะกลางแจ้งทั้งหลายนั้น
จำต้องพับโครงการเก็บไปเลย


แต่หากจะคิดมาก ก็ป่วยการ ไม่มีประโยชน์อะไร


ไหนๆ ฝนก็ตกลงมาแล้ว ... ผมจึงคว้าร่ม ออกไปเดินเล่นชมเมืองสักหน่อย ว่าฝนตกในโตเกียว
มีอะไรน่าสนใจบ้าง

..



..

ฤดูกาลอย่างเป็นทางการของประเทศญี่ปุ่นนั้น ไม่มีฤดูฝน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า
ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน ทางตอนเหนือของแดนอาทิตย์อุทัย
จะเริ่มเข้าสู่สีสันแห่งฤดูใบไม้ร่วง-ใบไม้เปลี่ยนสี


ทว่าสำหรับภาคตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นอย่างเมืองโตเกียวนั้น
นอกจากใบไม้ ยังไม่ร่วง และสี ยังไม่เปลี่ยนแล้ว
ยังอาจเป็นช่วงฝนพรำสั่งลา

.

ดังนั้น อุปกรณ์ที่ชาวโตเกียวแทบทุกคนต้องพกติดตัวในช่วงนี้ คือ
“ร่ม”

..



..

แม้จะมีคนใช้ร่มที่มีสีสันสวยงามอยู่บ้าง แต่เหมือนคนโตเกียวส่วนใหญ่ มักจะใช้ร่ม เพียงไม่กี่สี
ได้แก่ ร่มใสๆ ร่มสีขาว และร่มสีดำ


ผมเองเตรียมร่มสีสันสดใส ติดมือจากเมืองไทยมาด้วย
แต่เมื่อเห็นว่าชาวโตเกียวนิยมใช้ร่มขาวๆดำๆกันมากกว่า
จึงยืมร่มจากโรงแรม Juyoh สีดำสนิท ออกไปแทน



... เพิ่มมาดเข้มๆให้กับตัวเองได้อีกโข



..

ร่ม เป็นอุปกรณ์จำเป็นในช่วงฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน เพราะฝนในโตเกียวนั้น ตกพรำได้ทั้งวัน
หยุดไปได้ 2-3 ชั่วโมง ก็ตกอีกแล้ว

โดยลักษณะของฝนในโตเกียว จะสลับปรับเปลี่ยนครบทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็น ตกมาก ตกน้อย ตกปรอยๆ ตกฟุ้งๆ


จึงไม่แปลก ที่ใครต่อใคร ต้องมีร่มเป็นของตัวเอง

... น้อยครั้งมากที่จะเห็นชาวโตเกียวสองคน
อาศัยอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน

..



..

แม้ฝนตก อาจจะสร้างความเฉอะแฉะ เปียกปอน

ท้องฟ้าไม่แจ่มใส อากาศไม่ดี

ตากผ้าก็ไม่แห้ง ถุงเท้าก็เปียก

.
.

แต่ใครหลายคนก็ยังหลงรักฤดูฝน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสดชื่น



..

ในเมืองไทย เราอาจจะเห็นหนุ่มๆหลายคน ยอมเดินตากฝน ไม่นิยมพกร่ม

บ้างบอกว่า ขี้เกียจถือ บ้างบอกว่าดูไม่แมน บ้างบอกว่าเดินตากฝนแล้วเหมือนพระเอกมิวสิควิดีโอ

เป็นนัยว่า ... เท่ๆ เซอร์ๆ สาวๆกรี๊ด

.
.

แต่สำหรับหนุ่มๆโตเกียวนั้น การถือร่มกันฝน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ปั่นจักรยาน แล้วถือร่มใสๆ


... ผมคิดว่าบางที สาวๆก็กรี๊ดได้

..



..

ฝนตกในโตเกียว ไม่มีผลต่อปัญหาการจราจรมากนัก
ส่วนหนึ่งอันเนื่องมาจากคนโตเกียวนิยมใช้บริการขนส่งมวลชน
อย่างรถไฟ และรถเมล์


ภาพบรรยากาศฝนตกที่มีรถติดยาวเหยียด ขยับไปไหนไม่ได้เป็นชั่วโมง
คงหาชมได้ยากหน่อยในโตเกียว
เพราะรถยนต์ที่วิ่งกันบนท้องถนนโตเกียวส่วนมาก มักจะเป็นรถแท็กซี่
มากกว่ารถยนต์ส่วนบุคคล

..



..

บางครั้ง ฝนในโตเกียวตกลงมาเป็นละอองน้ำ จนเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

แต่เมื่อเดินออกไปในที่แจ้ง ถึงได้รู้ว่า ยังมีความชุ่มชื้นลอยล่องอยู่รอบๆตัว

การเดินตากละอองฝนชั่วประเดี๋ยวประด๋าว คงไม่เป็นไร
แต่หากจะต้องเดินท่ามกลางละอองฝนทั้งวัน


.... กางร่มเอาไว้ น่าจะอุ่นใจกว่า

..



..

ในเวลากลางวัน ฟ้าฝนที่มืดครึ้ม
อาจทำให้สีสันของวัน ดูซีดจาง หมองๆ ทึมๆ ไม่ค่อยสดใส

แต่ฝนตกในโตเกียว ไม่มีผลต่อสีสันยามราตรี
เพราะมหานครแห่งนี้แทบไม่เคยหลับใหล

.
.

แหล่งท่องเที่ยวภาคกลางคืนนั้น ยังคงเต็มไปด้วยแสงสีเสียงอันน่าตื่นตาตื่นใจ
คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวในคืนฝนโปรย

..



..

“เรื่องเงินๆ ทองๆ”


ฝนพรำๆในวันหนึ่ง ผมแวะไปเดินสูดกลิ่นละอองฝน แถวๆย่าน Nihombashi

แม้บริเวณนี้ ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง
แต่นับเป็นย่านสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการเงินของเมืองโตเกียว
เพราะเป็นที่ตั้งของ “Bank of Japan”

อาคารรูปทรงตะวันตกที่ดูเก่าแก่อลังการภายนอกนั้น
ภายใน คือ สถาบันทางการเงินระดับประเทศ

.
.

โดยปกติแล้ว Bank of Japan เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมบางส่วนได้ด้วย
แต่รับจำนวนจำกัดในแต่ละวัน และจำเป็นต้องติดต่อจองไว้ล่วงหน้า

ผมเป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านมา จึงขอเก็บบรรยากาศจากภายนอกเอาไว้แค่นั้น

..



..

แต่ก็ใช่ว่า ผ่านมาแล้วจะเสียเที่ยว
เพราะฝั่งตรงข้ามกับ Bank of Japan คือ พิพิธภัณฑ์เล็กๆเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆที่มีชื่อเรียกว่า
“Currency Museum”
ซึ่งนับเป็นส่วนหนึ่งของ Bank of Japan เช่นกัน

แม้พิพิธภัณฑ์ มีขนาดเล็กเพียง 1 ห้องนิทรรศการ
แต่ก็น่าสนใจ และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินตราได้ดี


ข้อสำคัญ คือ พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเงินแห่งนี้ ...
“เข้าฟรี ไม่ต้องจ่ายเงิน”

..



..

Currency Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปแบบเหมือนห้องจัดนิทรรศการทั่วไป
โดยก่อนจะขึ้นไปเก็บเกี่ยวความรู้นั้น เจ้าหน้าที่จะให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ลงชื่อไว้เป็นข้อมูล

.
.

เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีในระดับหนึ่ง
ผมจึงถามไปว่า มีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย แวะมาเยี่ยมชมบ้างไหม

เจ้าหน้าที่จากแดนปลาดิบ ตอบกลับมาว่า
“ผมไม่แน่ใจนะครับ แต่เท่าที่ผมทำงานมานาน ยังไม่เคยเจอคนไทยมาที่นี่เลย”

... แน่นอนว่า ผมคงไม่ใช่คนไทยรายแรกที่ได้มาเยือน Currency Museum

... แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆ ผมก็เป็นคนไทยคนแรก ที่เจ้าหน้าที่คนนี้ได้เจอแล้วกันล่ะ



..

ภายในห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์นั้น บอกเล่าประวัติความเป็นมาของระบบเงินตรา
และการแลกเปลี่ยนของประเทศญี่ปุ่น โดยแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ 10 ยุคด้วยกัน

เริ่มต้นตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ ที่ยังใช้สินค้าแลกเปลี่ยน
ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง ยุคกำเนิดเงินเยน จนถึงยุคปัจจุบัน

..



..

พิพิธภัณฑ์ในประเทศญี่ปุ่นนั้น
ขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือเรียกความสนใจแก่ผู้เข้าชมอยู่แล้ว

ภายในห้องนิทรรศการ จึงมีอุปกรณ์ให้เข้าไปทดสอบเล่นๆ เพลินๆ อยู่บ้าง
เช่น เครื่องมือตรวจธนบัตรเงินเยน หรือ ตู้หน้าจอสัมผัสบอกข้อมูลต่างๆ

.

สิ่งละอันพันละน้อยอย่างนี้ ผมมองว่ามีความสำคัญ เพราะนั่นทำให้พิพิธภัณฑ์ดูมีชีวิตมากขึ้น
ซึ่งนั่นหมายถึง เป็นการสร้างความสนใจให้เด็กๆอยากเข้ามาสัมผัสกับความรู้

..



..

พื้นที่ด้านหน้าห้องนิทรรศการ
จัดเป็นที่นั่งสำหรับผู้มาเยือนได้ชมวิดีโอ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเงิน

แม้จะเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว ... แต่ก็ใช่ว่า เรื่องอดีตจะไม่มีใครสนใจ

..



..

Currency Museum ไม่เพียงแต่เป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าความเป็นมาของประวัติศาสตร์การเงินของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่จัดแสดงเงินตราจากประเทศต่างๆ

ใครที่ชื่นชอบสะสมธนบัตร นิยมสะสมเงินจากต่างประเทศ
คงตื่นตาตื่นใจไปกับธนบัตรนานาชาติที่ละลานตาอยู่ตรงหน้า

.
.

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางธนบัตรจากประเทศต่างๆทั่วโลกที่หลากลวดลาย หลายสีสัน
มากมายไปด้วยบุคคลสำคัญ


แต่มีธนบัตรเพียงใบเดียวเท่านั้น ที่โดดเด่นตรึงใจผมมากที่สุด

... ธนบัตรใบเดียว ที่มีความหมายลึกซึ้ง เกินกว่าจะอธิบายด้วยถ้อยคำใด ...

..



..

ในทางทฤษฎี Currency Museum เข้าชมฟรี ไม่เสียตังค์
... แต่ในทางปฏิบัติ ผมต้องมาเสียค่าใช้จ่ายกับของที่ระลึกอยู่ดี

โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวที่อยากซื้อของฝากที่มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร
ของฝากจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ดูแล้วก็น่าซื้อไปหมด
เพราะเป็นของที่ระลึกที่หาไม่ได้จากแหล่งอื่น นอกจากต้องแวะมาที่นี่เท่านั้น

.

ใครถูกใจสินค้า ของที่ระลึกชิ้นไหน
สามารถเลือกซื้อได้อย่างสะดวกสบายรวดเร็ว จากตู้จำหน่ายที่ตั้งอยู่ด้านหน้า

หยอดเงิน - จิ้มสินค้าที่ต้องการ - รับของ

... เดี๋ยวเดียวก็หยอดตู้เพลินไปเป็นหลักพันเยน

..



..

“โตเกียว ตู้ ตู้ !”


เมืองหลวงของญี่ปุ่นนั้น มีมากมายหลายตู้ มองไปตามถนนหนทาง ก็มีแต่ ตู้ ตู้


ตู้ ที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ คือ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ที่มีหลายประเภท หลายรูปแบบ

แต่ตู้ยอดฮิต จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “ตู้กดน้ำ” ซึ่งเป็นตู้จำหน่ายสินค้าที่มีจำนวนมากเกินกว่าจะนับไหว เพราะความถี่ของจุดตั้งตู้กดน้ำในโตเกียว อาจจะมากกว่าถังขยะในกรุงเทพด้วยซ้ำ



..

ตู้กดน้ำในโตเกียวนั้น ส่วนมากเป็น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงเครื่องดื่มรสชาติแปลกๆอีกหลายอย่าง แต่สินค้าจากตู้กดน้ำ ที่สูบเงินจากกระเป๋าผมไปได้มากที่สุด คือ
นมรสกล้วยหอม

เท่าที่ผมเห็น นมรสกล้วยหอมจากตู้กดนั้น มีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ นมกล้วยหอม แบบกล่องของ “Meiji” และแบบกระป๋องของ “Ito En”


แม้ผมแยกแยะรสชาติไม่ออก ว่า 2 ยี่ห้อนี้แตกต่างกันอย่างไร แต่หากกวาดสายตามองตู้กดน้ำ แล้วเจอนมรสกล้วยหอมเมื่อไหร่ เป็นต้องเสียเงิน 120 เยน ทุกที


..

นอกจาก นม ในตู้กดน้ำแล้ว ในโตเกียวนั้น ยังมีร้านขายนมสดโดยเฉพาะ
ชนิดที่นักดื่มนมอย่างผม เห็นแล้ว แทบอยากจะขอให้มาตั้งที่เมืองไทยบ้าง


บ้านเรา มีนมสดรสพื้นฐาน คือ จืด หวาน สตรอเบอร์รี่ กาแฟ ช็อกโกแลต
นอกจากนั้นก็เป็นนมเปรี้ยวตามมาตรฐานอีกไม่กี่รสชาติ

แต่สำหรับโตเกียว มีร้านขายนมที่ละลานตาไปด้วยนมสารพัดรส

.
.

ผมสังเกตเห็นลูกค้า แวะมาซื้อกลับไปดื่มบ้าง
แต่ก็มีไม่น้อย ที่เปิดขวด ยกซดกรึ๊บเดียวหมด ก่อนจะเดินสบายท้องออกไป
โดยมีลูกค้าทั้งเด็กๆ และผู้ใหญ่วัยทำงาน มาอุดหนุนอยู่ไม่ขาด

..




..

กลับมาที่เรื่อง “ตู้” อีกครั้ง

แม้ว่า ตู้กดน้ำ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วโตเกียว เรียกว่า เดินผ่านกันทุกวัน
แต่ด้วยจำนวนเครื่องดื่มที่มีมากมายหลายประเภท อาจทำให้เราต้องใช้เวลาในการพินิจพิจารณานานเหมือนกัน ว่าจะดื่มอะไรดี โดยเฉพาะคนที่ยังไม่มีเครื่องดื่มในดวงใจ


มองซ้าย มองขวา มองตู้ข้างๆ สีสันมันยั่วใจให้อยากลองดื่มจนครบทั้งตู้



..

ตู้กดน้ำส่วนใหญ่ มีเครื่องดื่มจัดวางไว้คละกัน แต่บางตู้ ก็จัดประเภทเครื่องดื่มเอาไว้โดยเฉพาะ เช่น ตู้ผลิตภัณฑ์นม ตู้กาแฟ ตู้น้ำอัดลม


ครั้งหนึ่งผมผ่านไปเห็นตู้เครื่องดื่มประเภทชูกำลังล้วนๆ ซึ่งนานๆจะเห็นสักตู้ ...
เดาว่า คนโตเกียว อาจจะไม่นิยมเครื่องดื่มประเภทนี้

โดยหากวัดความนิยมจากการสังเกตเครื่องดื่มตามตู้แล้ว
เครื่องดื่มยอดนิยม 3 อันดับแรกของชาวโตเกียว น่าจะเป็น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม

..



..

ทุกสถานีรถไฟในโตเกียว มีตู้กดน้ำ ตั้งบริการสำหรับผู้โดยสารที่คอแห้ง

แตกต่างจากเมืองไทย ที่ผู้โดยสารต้องดื่มให้หมดเสียก่อน จึงจะผ่านด่านพี่ๆ รปภ. เข้าไปได้

แต่ถึงแม้ว่า มีตู้กดน้ำ ตามสถานีรถไฟ
.. ผู้โดยสารชาวโตเกียว ก็มักใช้บริการ ก่อน หรือ หลัง ลงจากรถไฟมากกว่า
เพราะหากจะเอาเข้าไปดื่มในรถไฟปลากระป๋องนั้นคงไม่สะดวกนัก

..



..

ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติอีกประเภทหนึ่ง ที่พบเห็นได้บ่อย คือ ตู้บุหรี่


ตู้จำหน่ายบุหรี่นั้น มีให้เลือกมากมายหลายสิบยี่ห้อ
ตั้งขายกันโต้งๆ เห็นกันเต็มตา ตามท้องถนนทั่วไป

.
.

เรื่องนี้ โดยส่วนตัวผมมองว่า เมืองไทยเราดีกว่า เพราะการตั้งตู้จำหน่ายบุหรี่ ที่เห็นกันจะจะ สีสันสดใส ไม่มีรูปสยองข้างซอง แถมยังซื้อง่าย ขายคล่องนั้น มีผลทางจิตวิทยาต่อบรรดาสิงห์อมควัน ให้ซื้อบุหรี่มากขึ้น ถี่ขึ้น ไม่มากก็น้อย

จึงนับเป็นเรื่องที่น่าห่วงอยู่เหมือนกัน ว่าสุขภาพปอดของชาวโตเกียวจะเป็นอย่างไรบ้าง
เพราะคนที่นี่ สูบบุหรี่กันมากพอสมควร



..

ตู้ประเภทหนึ่งที่ผมมองว่าน่ารัก และเหมาะกับชาวโตเกียว คือ
“ตู้เครื่องขัดรองเท้า”

ผู้ชายวัยทำงาน ในเมืองหลวงของญี่ปุ่นนั้น ส่วนมากจะสวมสูท ผูกเน็คไท เรียบร้อย
ซึ่งแน่นอนว่า คงไม่มีใครสวมสูทแล้วลากแตะ หรือ แอบเซอร์ด้วยรองเท้าผ้าใบ

.
.

รองเท้าหนังที่สะอาดเป็นมันเงาวาววับ ย่อมเสริมบุคลิกภาพที่ดี
... เครื่องขัดรองเท้าช่วยท่านได้ ในราคา 100 เยน

..



..

ตู้ บางตู้ ตามสถานีรถไฟ เป็นชั้นวางหนังสือดีๆนี่เอง

ตู้ประเภทนี้ ใช้สำหรับตั้งนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือเอกสารประเภทแจกฟรี
ใครใคร่หยิบ ก็แวะไปหยิบ ไม่ต้องจ้างคนมายืนแจก


มองมุมลบ อาจเป็นการลดการจ้างงาน

แต่มองมุมบวก ก็จะได้ไปทำอย่างอื่นที่มีความจำเป็นกว่า

..




..

สำหรับตู้ที่นักเดินทางรู้จักกันดี คือ Coin Locker หรือตู้เก็บสัมภาระ


ตู้ประเภทนี้มีอยู่ทั่วไปตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ใครที่ต้องเดินทาง ไม่อยากหอบเอาสมบัติติดตัวไปไหนมาไหนให้ลำบาก ก็ฝากเอาไว้ตามตู้ประเภทนี้


ความจริงแล้ว ตู้ในโตเกียวยังมีอีกมากมายหลายตู้ ไม่ว่าจะเป็นตู้ถ่ายรูป ตู้ขายขนม ตู้ขายไอศกรีม ตู้ขายอาหาร ตู้อุปกรณ์พยาบาล ฯลฯ

โตเกียว จึงนับเป็นเมืองที่เต็มไปด้วย ตู้ อย่างแท้จริง

..



..

“ไปรษณีย์สีแดง”


หากจะนับรวมตู้ไปรษณีย์ อยู่ใน ตู้ อีกประเภทหนึ่งของโตเกียวก็คงได้

เพียงแต่ด้วยความเป็นตู้ไปรษณีย์มันบังคับ ตู้ประเภทนี้จึงไม่แตกต่างจากประเทศอื่น


ยังคงเอกลักษณ์ตู้ไปรษณีย์สีแดงสด มีช่องให้หย่อนจดหมายตามมาตรฐาน ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทคอะไร ให้คุณตาคุณยายตกใจ

..



..

นักท่องเที่ยวหลายคนที่เดินทางมาโตเกียว คงจะคุ้นเคยกับไปรษณีย์ของประเทศญี่ปุ่นกันดี

เพียงมองหาสัญลักษณ์สีแดงรูปตัว T ที่มีขีดด้านบนอีกขีด ก็เดินตรงดิ่งเข้าไปใช้บริการกันได้เลย

ส่วนจะมีบริการอะไรบ้างนั้น ตรงด้านหน้าประตูทางเข้า มีป้ายประกาศปิดเอาไว้อยู่แล้ว

..



..

ผมมีโอกาสได้ใช้บริการไปรษณีย์โตเกียว เพราะต้องการส่งโปสการ์ดกลับมาเมืองไทย


แม้ใครพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ก็ไม่ทำให้ขั้นตอนการส่งยากเย็นขึ้นแต่อย่างใด
เพียงแค่เขียนชื่อที่อยู่ให้ชัดเจน พร้อมเขียนประเทศปลายทางเป็นภาษาอังกฤษว่า
“Thailand”

เพียงเท่านี้ เจ้าหน้าที่ก็รับทราบเจตนา และคิดราคาค่าส่งให้เราเรียบร้อย ใบละ 70 เยน

..



..

“การศึกษา สร้างอนาคต”


ญี่ปุ่น นับเป็นประเทศในเอเชียไม่กี่ประเทศ ที่ถูกยกระดับว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว

โครงสร้างอย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ประเทศที่เคยเป็นแค่แดนซามูไรถือดาบในสายตาชาวตะวันตก กลายเป็นดินแดนที่พัฒนาทัดเทียมกับอารยประเทศ นั่นคือ การศึกษา

.
.

โดยปกติ ผมเป็นคนที่ชอบแวะไปชมบรรยากาศสถานศึกษาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (สมัยครั้งที่ไปเที่ยวเวียงจันทน์ ยังอุตส่าห์เหมารถ สกายแลปออกนอกเมืองไปไกล เพียงเพราะอยากเห็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว)

เมื่อข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงแดนอาทิตย์อุทัย มีหรือที่จะพลาดแวะไปชมสถาบันการศึกษาอันดับ 1 ของเอเชีย



รูปประกอบ : หอประชุมมหาวิทยาลัยโตเกียว (Yasuda Auditorium)

..



..

มหาวิทยาลัยโตเกียว หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า โทได คือ มหาวิทยาลัยที่ติดอันดับหนึ่ง
ใน Ranking สถาบันการศึกษาของเอเชียอย่างสม่ำเสมอ


ผมแวะเข้าไปชมบรรยากาศของ Hongo Campus ซึ่งเป็นที่ตั้งของคณะเด่นๆ
อาทิเช่น แพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น

.
.

บรรยากาศของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ สมกับเป็นมหาวิทยาลัยแนวหน้าของเด็กเรียน
เพราะดูสงบร่มรื่น คงความขลังไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมต่างๆ ขับเน้นอารมณ์ให้อยากใฝ่หาความรู้ยิ่งนัก

ผมแค่มองนักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี หรือปริญญาโท ที่เดินกันขวักไขว่
ก็เห็นความคงแก่เรียนอยู่บนใบหน้าของแต่ละคนแล้ว



รูปประกอบ : ประตูทางเข้าด้านหนึ่ง เรียกว่า Red Gate หรือ Akamon

..



..

แม้ประเทศญี่ปุ่น จะมีเครื่องแบบนักเรียนที่น่ารักติดอันดับโลก (ผมจัดอันดับเอาเองนะครับ)

แต่สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษานั้น ไม่ได้บังคับว่าจะต้องแต่งเครื่องแบบนักศึกษาอีก
(ยกเว้นในบางคณะ เช่น สาขาด้านแพทย์)


อย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยโตเกียว ไม่ได้หวือหวา หรือนำแฟชั่นอะไรนัก
เป็นเพียงชุดที่ดูสวยงามตามสมัยนิยม แต่ไม่ได้หลุดโลกเหมือนในแหล่งรวมวัยรุ่นโตเกียว

..



..

บรรยากาศของมหาวิทยาลัยโตเกียว คล้ายกับมหาวิทยาลัยทั่วไปในเมืองไทย คือ เป็นสถานที่สาธารณะ ที่เปิดรับผู้มาเยือน ได้เข้ามาพักผ่อน หรือใช้ประโยชน์
(ยกเว้นภายในอาคารสถานที่เฉพาะกิจ)


จึงไม่แปลก ที่เราอาจจะเห็น ว่าที่นักศึกษาในอนาคต
กำลังทดลองวิชาวิทยาศาสตร์อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

..



..

สิ่งที่ผมชอบมาก และไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้เจอกับบรรยากาศแบบนี้ในมหาวิทยาลัยระดับโลก คือ
“จักรยาน”


แม้ชาวโตเกียวนิยมปั่นจักรยานกันมากพอสมควร
แต่ผมไม่นึกว่าในสถาบันการศึกษาจะมีเด็กๆปั่นจักรยานกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
เดินไปตรงส่วนไหนของมหาวิทยาลัย ก็มีจักรยานจอดเรียงรายหลายสิบหลายร้อยคัน

..



..

แม้จะอยู่ในใจกลางมหานครที่วุ่นวาย แออัดติดอันดับโลก
แต่สถาบันการศึกษาแห่งนี้ กลับให้ความรู้สึกเงียบสงบอย่างน่าประหลาด


อาคารสถานที่ซึ่งดูเก่าแก่โบราณ ความร่มรื่นใต้เงาไม้ใหญ่
ความไม่เร่งรีบของผู้คน บรรยากาศที่นักศึกษาแต่ละคนให้ความสนใจกับวิชาการความรู้


... สิ่งเหล่านั้น ล้วนให้ความรู้สึกราวกับว่า
พื้นที่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยโตเกียว ถูกจำกัดจังหวะการเดินของเวลาให้ช้าลง


..



..

ในโตเกียว ยังมีมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นอีกหลายแห่ง
แต่หากคัดเอาแค่ 3 อันดับที่มีชื่อเสียงที่สุด นอกจากมหาวิทยาลัยโตเกียวแล้ว
ก็น่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเคโอ และมหาวิทยาลัยวาเซดะ
ซึ่งสถาบันการศึกษาทั้ง 2 แห่งนี้ ติดอันดับ Top 200 มหาวิทยาลัยระดับโลกอยู่เสมอ

.
.

แต่ผมเลือกแวะไปชมแค่มหาวิทยาลัยวาเซดะ เพียงแห่งเดียว

ด้วยเหตุผล 2 ข้อ คือ ข้อแรก หากผมแวะไปทั้ง 2 สถาบัน
การท่องเที่ยวโตเกียวครั้งนี้ จะกลายเป็นทัวร์สถาบันการศึกษามากไปหน่อย

ส่วน ข้อสอง ผมมีโอกาสได้ติดต่อกับน้องนักศึกษาไทย ในมหาวิทยาลัยวาเซดะคนหนึ่งเอาไว้ล่วงหน้า
ดังนั้นการแวะไปที่นี่ น่าจะสะดวกกว่า ... อย่างน้อยๆจะได้มีไกด์ไทยคอยแนะนำ

.
.

เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยวาเซดะ สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจาก มหาวิทยาลัยโตเกียวอย่างเห็นได้ชัด คือ
ความคึกคัก และสถาปัตยกรรม

ด้วยความที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถานบันเอกชน
จึงมีบรรยากาศคล้ายกับเมืองไทย ในแง่บุคลิกภาพของนักศึกษา

นักศึกษามหาวิทยาลัยวาเซดะ ค่อนข้างจะแต่งตัวกันจัดๆ และดูหวือหวากว่า มหาวิทยาลัยรัฐบาล
ส่วนอาคารสถานที่เรียนนั้น ก็มีความเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มากกว่า

..



..

น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลาเที่ยวชมสถาบันแห่งนี้นานนัก
เพราะสภาพฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ จึงเก็บบรรยากาศของมหาวิทยาลัยมาไม่ได้กี่ภาพ



รูปประกอบ – แม้ใบไม้ในโตเกียวยังไม่เปลี่ยนสี
แต่หากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ถนนเล็กๆที่ตัดผ่านกลางมหาวิทยาลัยวาเซดะเส้นนี้
จะกลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยดอกซากุระบานสะพรั่งสองข้างทาง


..


..

“ระเบียบวินัย พัฒนาชาติ”


จากระบบการศึกษาอันเข้มแข็งข้างต้น
ผมมองว่าน่าจะมีส่วนสร้างเบ้าหลอมแก่คนญี่ปุ่น ให้มีระเบียบวินัย
เป็นอันดับต้นๆประเทศหนึ่งของโลก

แม้ผมจะมีความเป็นชาตินิยม - ไทยนิยม อยู่ไม่น้อย แต่เรื่องระเบียบวินัยของคนในชาตินั้น
จำต้องยอมรับว่า คนไทยเราแพ้ญี่ปุ่นแบบสู้ไม่ได้จริงๆ

ดังนั้น หากไม่นับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดในโตเกียว คือ
จิตสำนึกเรื่องระเบียบวินัยของคนในมหานครแห่งนี้นี่เอง

ระเบียบวินัยอย่างแรก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด คือ การยืนรอรถไฟตามสถานีต่างๆ

การต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ รอให้ผู้โดยสารด้านในออกมาก่อน แล้วผู้โดยสารที่รออยู่จึงค่อยทยอยเดินเข้าไป คงเป็นภาพที่ใครหลายคนคุ้นตา

อย่างไรก็ตาม 4-5 ปีที่ผ่านมา สถานี BTS-MRT ของเมืองไทย
ก็พอจะมีภาพลักษณะนี้ให้เห็นแล้ว



.

ระเบียบวินัยเรื่องการใช้บันไดเลื่อนของชาวโตเกียว นับเป็นอีกเรื่องที่น่าชื่นชม


โดยปกติ ผมเป็นคนที่เดินเร็ว หากลุยเดี่ยว เดินคนเดียวเมื่อไหร่
ผมนิยมเดินขึ้นบันไดเลื่อนมากกว่าจะยืนแช่อยู่เฉยๆ
ซึ่งปัญหาที่พบในเมืองไทย คือ มักจะมีคนยืนขวางทางอยู่เต็มพื้นที่บันไดเลื่อน

แต่สำหรับเมืองหลวงของญี่ปุ่น หากใครต้องการยืนเฉยๆ จะยืนชิดซ้ายเป็นแถวตอนอย่างเป็นระเบียบ โดยเปิดพื้นที่ทางขวาเอาไว้ เป็นช่องทางสำหรับคนที่เร่งรีบ และต้องการเดินขึ้นไปก่อน

.
.

ดังนั้น ใครควงคู่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ต้องรู้ไว้ว่า ห้ามยืนเคียงคู่ จู๋จี๋กันบนบันไดเลื่อน



..

ถ้าเปรียบเทียบความสามารถในเรื่องการขึ้นรถเมล์สาธารณะนั้น คนเมืองกรุงในบ้านเรา ย่อมมีทักษะการเอาตัวรอดที่ดีกว่าคนโตเกียว เพราะไหนจะต้อง วิ่ง สู้ ฟัด กับรถเมล์ที่จอดไม่ตรงป้าย แถมเวลาเดินขึ้นรถเมล์ เราอาจจะเบียดขึ้นได้คราวละ 2-3 คน


แต่สำหรับเมืองโตเกียว นอกจากรถเมล์จะจอดตรงป้ายแบบเป๊ะๆแล้ว

คนที่นี่ ยืนต่อแถวเรียงหนึ่ง บริเวณป้ายรถเมล์เสมอ

ใครมาก่อน ยืนก่อน ขึ้นก่อน ... และทยอยขึ้นรถเมล์ไปทีละคน ตามลำดับ

..



..

การข้ามถนนในโตเกียว นับเป็นวินัยที่โดดเด่นมาก


แม้ภาพการเดินข้ามถนนในโตเกียวที่เห็นกันบ่อยๆในโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ คือ
ภาพคนนับร้อยพันเดินกันวุ่นวายขวักไขว่ราวกับผึ้งแตกรัง


แต่ไม่ว่าถนนจะโล่งเพียงใด หากสัญญาณไฟสำหรับข้ามถนนยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว

... ชาวโตเกียวก็ยืนรอกันอยู่อย่างนั้น

..



..

ไม่ใช่เฉพาะถนนใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะเวลากลางวัน

แต่ระเบียบวินัยในการข้ามถนน ยังครอบคลุมถึงถนนเส้นเล็กๆที่มีระยะทางเพียงไม่กี่ก้าว

.
.

สัญญาณไฟสำหรับการข้ามถนนนั้น ราวกับเป็นมนต์สะกดให้คนโตเกียวหยุดยืนอยู่กับที่
ไม่ว่าถนนจะโล่งขนาดไหน เวลาดึกดื่นเพียงใด

หากถามว่า แล้วมีคนที่เดินข้ามก่อนสัญญาณบ้างหรือเปล่า คำตอบ คือ มีบ้าง
แต่มีน้อยในจำนวนที่สามารถนับคนได้เลย

.
.

นอกจากนี้ ระเบียบวินัยเรื่องการเคารพสิทธิ์ผู้อื่นอย่างการสูบบุหรี่
ก็นับว่าเข้มข้นไม่แพ้การข้ามถนน

แม้โตเกียวจะมีสิงห์อมควันจำนวนมาก แต่น้อยครั้งที่เราจะได้กลิ่นบุหรี่โชยมาแตะจมูก
หากเดินอยู่ในพื้นที่สาธารณะ

..



..

วินัย เรื่องการทิ้งขยะ ก็นับเป็นสิ่งที่โตเกียวมีดีไม่แพ้ที่ใด


นอกจากเรื่องความสะอาดสะอ้านของบ้านเมือง
ที่สื่อถึงจิตสำนักในการทิ้งขยะของคนโตเกียวได้ดีแล้ว

ถังขยะแต่ละจุดของเมืองนี้ อย่างน้อยต้องมีไม่ต่ำกว่า 2-3 ถัง เพื่อแยกประเภทขยะ

..



..

“หน้าที่รับผิดชอบ อันยิ่งใหญ่”


ระเบียบวินัย และความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ

ค่านิยมของคนญี่ปุ่น ซึ่งผมพอจะได้รับรู้มาบ้าง คือ การทำหน้าที่ของตนให้ดีเลิศที่สุด
ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม

ดังนั้น หากลองสังเกต การปฏิบัติหน้าที่ของคนโตเกียวตามถนนหนทางรอบๆตัว
จะพบว่า แต่ละคนมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนสูงมาก

.
.

ค่ำคืนหนึ่ง ขณะผมเดินผ่านถนนสายเล็กๆ
ซึ่งแทบไม่มีรถวิ่งผ่านสักคัน มีการปิดซ่อมถนน 1 ช่องทางเดินรถ

แม้จะมีกรวยสัญญาณไฟ ตั้งเป็นสัญลักษณ์บอกแก่ผู้สัญจรผ่านไปมา
แต่ผมยังเห็นว่า มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ยืนคอยระแวดระวังอยู่ต้นทาง
ถือกระบอกไฟสัญญาณ มองซ้ายมองขวา ไม่ไปไหน

..



..

บางคืน แม้เวลาจะล่วงเลยวันใหม่ และเหลือเพียงรถไฟเที่ยวสุดท้าย

แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตามสถานีรถไฟนั้น
ยังคงเดินตรวจตราความเรียบร้อยไปรอบๆ ราวกับเป็นชั่วโมงเร่งด่วนของวัน

..


..

หากเดินผ่านไปพบเจอพื้นที่อาคารที่กำลังก่อสร้าง

เราจะพบว่าคนงานในพื้นที่ดังกล่าว
มียูนิฟอร์มสำหรับการปฏิบัติงานที่รัดกุม และต้องมีหมวกนิรภัยสวมเอาไว้ตลอดเวลา

..



..

แม้การทำงานของชาวโตเกียวเคร่งครัดไปด้วยระเบียบวินัย
แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความเกรงใจ และให้เกียรติผู้อื่น


ผมมีโอกาสได้เฝ้าสังเกต การทำงานของเจ้าหน้าที่โบกรถเข้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

เจ้าหน้าที่ 2 คน จะรอจังหวะที่คนเดินบนทางเท้า มีจำนวนน้อยที่สุด
แล้วจึงค่อยให้โบกรถวิ่งผ่านเข้าไปจอดในตัวอาคาร

เหตุผลที่ทำให้ต้องทำเช่นนี้ เพราะพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนใช้ร่วมกัน

ดังนั้นในทุกครั้ง ไม่ว่าก่อน หรือหลัง การโบกรถ เจ้าหน้าที่ 2 รายที่ผมเห็น จะกล่าวทั้งคำขอโทษ และคำขอบคุณ ต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนทางเท้าเสมอ

..



..

บางค่ำคืนที่ฟ้าฝนยังให้ความชุ่มฉ่ำไปทั่วโตเกียว


เจ้าหน้าที่ ผู้ให้สัญญาณรถเมล์เข้ามาจอดเทียบท่า ก็ยังปฏิบัติงานกันอย่างแข็งขัน

แม้ว่ารถเมล์ยังไม่มี

แม้ว่าผู้โดยสารยังไม่มา

แต่หน้าที่รับผิดชอบ ยังคงต้องดำเนินต่อไป

ท่ามกลางละอองฝนโปรยปราย

..



..

“อุณหภูมิ ใต้ละอองฝน”


ฝนในโตเกียวนั้น โปรยปรายได้ตลอดทั้งวัน

แม้จะเฉอะแฉะไปบ้าง
ทว่าความชุ่มชื้นของละอองฝนกลางฤดูใบไม้ร่วง ก็ทำให้อากาศเย็นสบายกำลังดี

แต่ข้อเสียของฝนในโตเกียว คือ เอาแน่เอานอนไม่ได้ .
.. ตกๆหยุดๆไปเรื่อย

.
.

ในวันที่ผมเดินทางไปเยือนมหาวิทยาลัยวาเซดะ
เมื่อน้องนักศึกษาคนนั้น ชวนไปชมนิทรรศการที่ Tokyo Metropolitan Art Museum ในสวนอูเอโนะ (Ueno Park)
ผมจึงตกปากรับคำไปแบบไม่ต้องคิดมาก


... อย่างน้อย เข้าไปเดินชมนิทรรศการในที่ร่ม คงดีกว่าเดินตากฝนให้หัวเปียกไปเฉยๆ

..



..

จากสถานีรถไฟ JR Takadanobaba ไปถึง JR Ueno ยังคงมีฝนพรำลงมาตลอดทาง


หนุ่มผมยาว กับ นักศึกษาสาววาเซดะ จึงต้องเดินจ้ำภายใต้ละอองฝน ในสวนอูเอโนะ


ละอองน้ำจากบนฟ้า ฟุ้งกระจายลงมาราวกับใครฉีดสเปรย์

ผมแหงนหน้ามองดูละอองไอที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ ท่ามกลางแสงไฟยามพลบค่ำ

ลมระเรื่อยเฉื่อยฉิว พัดพาละอองฝนเย็นเฉียบ มาปะทะบนใบหน้า


แต่อุณหภูมิใต้ร่มเล็กๆคันนั้น ....
อบอุ่น



.
.

- โปรดติดตามตอนต่อไป-

..



Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 15:03:53 น. 8 comments
Counter : 7014 Pageviews.  

 
เข้ามาติดตามต่อ
อ่านแล้วยิ่งอยากไปมากขึ้นค่ะ


โดย: p_hamter วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:02:25 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ที่แวะไปบอกหลังไมด์ ต้องรีบเข้ามาอ่านเลยนะนี่

ทั้งภาพ ทั้งคำบรรยาย ทำให้อยากกลับไปที่ญี่ปุ่นอีกค่ะ


โดย: faisai วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:13:52 น.  

 
โอ๊ยยยยยย ญี่ปุ่น คุณไปญี่ปุ่นมาหรือนี่ ไว้เดี๋ยวเรากลับมาอ่าน อยากกลับไปอีกมากเพราะทิ้งความทรงจำไว้เยอะเหลือเกิน

ไม่ได้เข้ามาบ้านนี้นานมาก คือเราแวะมาขอก๊อปปี้ลิงค์บล็อกคุณส่งไปให้เพื่อนที่ไทยที่กำลังจะไปเที่ยวเกาะลันตาน่ะค่ะ เลยต้องบอกกันหน่อย :))



โดย: prunelle la belle femme IP: 208.50.251.210 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:42:49 น.  

 
โอ้ววว !!! โตเกียว

เมืองน่าเที่ยว อากาศน่าไป อิอิ แอบอิจฉาค่ะ

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...>


โดย: บันทึกความหวัง วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:0:16:15 น.  

 
ได้แวะไปอ่านตอน 3 ที่กระทู้ล่ะ

รูปใหญ่ดูแล้วสะใจจัง

อย่างว่าแหละ ช่างภาพเดินทางไปเอง ถ่ายรูปได้บรรยากาศมาก

ถ้ารวมเป็นเล่ม 4 สี คงสู้กะเล่มที่อยู่ในตลาดได้สบายเลย
ไม่ทราบว่ามีทั้งหมดกี่ตอนค่ะ


โดย: faisai วันที่: 27 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:10:16 น.  

 
อยากไปเหมือนกันครับ แต่อย่างน้อยอ่านจากบล๊อกนี้ก็เหมือนได้ไปเองนะ ขอบคุณนะครับ


โดย: กลิ่นดอย วันที่: 28 พฤศจิกายน 2552 เวลา:20:00:58 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทาง และชีวิตในโตเกียวให้คนที่ยังไม่ได้ไป และกำลังจะเตรียมทำใจไปอยู่ที่โตเกียวได้รู้และสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนที่โตเกียว และที่สำคัญได้เปลี่ยนใจของคนใจโลเล ที่จะบางวันก็คิดอยากจะไปอยู่ อีกวันก็เปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อๆ ทำเอาคนที่ลุ้นอยู่ชักจะเบื่อซะแล้ว แต่บังเอิญได้เข้ามาในเวปนี้ รู้สึกอยากไปอยู่เพิ่มมากขึ้น เพราะมีหลากมุมมองจริงๆ บางอย่างเราอาจคิดไปเอง บางอย่างมันอาจไม่ใช่สิ่งที่มองเห็น แต่อย่างน้อยประสบการณ์ที่ได้จากการอ่านในเวปนี้ มีคุณค่าเหลือเกิน
ขอบคุณด้วยใจจริงค่ะ


โดย: beam IP: 202.28.24.119 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:24:50 น.  

 
อยากกินนมรสกล้วยบ้างง :D
จำนวนแหวนบนมือดูไม่ค่อยเข้ากับฉายานักดื่มนมนะคะ~ อิอิ


โดย: ตี้ IP: 125.27.191.147 วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:02:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]