<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
12 ตุลาคม 2553

เชียงรายรำลึก .. จุดเริ่มต้นบันทึกนักเดินทาง

..

กลิ่นอุ่นของแสงแรก
แมกไม้แห่งขุนเขา
ลมหนาวใต้เงาหมอก
เสียงกระซิบบอกจากดวงดาว

เด็กม้งมอมแมม
ร่วมแรงนักศึกษา
ลุงพม่าหน้าซื่อ
สาวโตเกียวหน้าใส


.
.

ภายในระยะเวลาเพียง 2-3 วันครั้งนั้น มีประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่าง โปรยปลูกเข้าไปในพื้นที่สมองที่ยังว่างเปล่าของผม

แม้ไม่เป็นผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด
แต่ความคิดก็ค่อยๆเติบโต ขยายกิ่งก้าน ใช้เวลาอยู่ราว 2 ปี




จนกระทั่งในวันหนึ่งที่ความคิดฝังรากอย่างมั่นคง

... นั่นจึงเป็นวันที่ผม “เริ่มต้นการเดินทาง”

..



..


“ปฐมบทนักเดินทาง”


ชีวิตในวัยเด็ก และวัยรุ่น ผมมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวน้อยครั้ง


... ในวันว่าง ถ้าไม่นอนขี้เกียจ ก็มีเพียงกิจกรรมพื้นฐานทั่วไป อย่างการออกไปดูหนัง อ่านหนังสือ เตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ


หากจะได้ไปเที่ยวบ้าง ก็มักเป็นการเดินทาง ผ่านการทำกิจกรรมของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น

.

จวบจนกระทั่งวัยแห่งการเริ่มต้นทำงาน


ผมก็ยังไม่คิดจะออกเดินทางไปเที่ยวไหนไกลๆ ด้วยติดเงื่อนไขของเวลา ความขี้เกียจ และภาระค่าใช้จ่าย ตามประสามนุษย์เงินเดือน (น้อย)

.

แต่ใน ปลายเดือนตุลาคม ปี 2549
ผมมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมส่งมอบอาคารเรียนให้แก่เด็กชาวเขาในจังหวัดเชียงราย

นั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมเดินทางไปเที่ยว “ภาคเหนือ”
.. ซึ่งแม้อาจเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เรื่องธรรมดาของนักท่องเที่ยวทั่วไป


แต่สำหรับผม คือ จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

..



..

การส่งมอบอาคารเรียนที่ว่า เป็นกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทของ
“กลุ่มนักศึกษาชมรมพืชสวนประดับจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง” ซึ่งได้รับทุนจากบริษัทเครื่องดื่มชื่อดังเจ้าของสโลแกนเป้าหมายมีไว้พุ่งชน

.

ครั้งนั้น ผมได้ติดสอยห้อยตามคณะสื่อมวลชน และบริษัทเจ้าภาพแบบไปไหนไปกัน
ไม่ต่างจากการท่องเที่ยวในรูปแบบทัวร์


ดังนั้น หลังจากคณะฯ เดินทางถึงจังหวัดเชียงราย
โปรแกรมทัวร์มาตรฐานในช่วงเช้า จึงเริ่มต้นขึ้นที่วัดร่องขุ่น



แม้จะรู้สึกไม่อิสระนักกับการต้องเดินทางกันไปเป็นคณะใหญ่

แต่การกินฟรีอยู่ฟรีตลอดงาน ยอมไม่อิสระซัก 2-3 วัน

... ผมยินดีเสมอครับ

..



..


“ภารกิจริมชายแดน”



คณะของเรามีเวลาชมวัดกันได้ไม่นาน ก็ต้องออกเดินทางไปยังอำเภอเวียงแก่น
สุดเขตชายแดนไทย ไกลจากตัวเมืองเชียงรายกว่าร้อยกิโลเมตร

โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ “บ้านสะอาดบ้านปางหมู” หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งบนยอดดอย

.

การเดินทางไปยังหมู่บ้านด้วยรถตู้ สามารถไปได้แค่เชิงเขา เพราะหลังจากนั้นต้องเดินทางต่อด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ

ข้ามภูเขาไปอีกราว 7 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
หรือ ประมาณ 3 ชั่วโมง สำหรับการเดินเท้าขึ้นไป !!!

..





..

ระยะทาง 7 กิโลเมตรจากหมู่บ้านบนยอดดอยนี่เอง ที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญของการศึกษา

เพราะโรงเรียนเพียงแห่งเดียวของพื้นที่ คือ โรงเรียนของตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา

.

ค่ายอาสาพัฒนาชนบทของนักศึกษาลาดกระบังครั้งนั้น จึงเกิดขึ้น

... เพื่อประโยชน์ตามความต้องการของคนในหมู่บ้านบ้านสะอาดบ้านปางหมูจริงๆ

..



..

หมู่บ้านสะอาดบ้านปางหมูที่ผมเดินทางไป จึงไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆไว้รองรับนักท่องเที่ยว


ตรงกันข้าม กลับเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมเล็กๆของชาวเขาเผ่าม้ง ประมาณ 30 หลังคาเรือน

ซึ่งยังมีคนไม่รู้หนังสือ ไม่มีโรงเรียนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แม้กระทั่งห้องน้ำที่ถูกต้องตามหลักสุขอนามัยก็ยังหายากเต็มที

.
.

ความยากลำบากทั้งหลายของชาวบ้าน จึงยิ่งเป็นเหมือนพลังเร่งให้กลุ่มนักศึกษา ต้องเข้าไปสำรวจปัญหา สัมผัสชีวิต และแก้ไข

... ด้วยการก่อสร้างถาวรวัตถุที่จะเป็นแหล่งเพาะบ่มความรู้ทางการศึกษาให้กับเยาวชนผู้ขาดโอกาส

..



..

หลังจากเดินเท้าขึ้นมายังหมู่บ้านแล้ว นักศึกษาชาวค่ายทุกคน ต้องปักหลักใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนภูเขาสูงเป็นเวลาประมาณ 10 วัน

พร้อมกับภารกิจสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้า คือ สร้างอาคารเรียนและห้องน้ำให้กับคนในหมู่บ้าน

.
.

ในวันที่ผมเดินทางไปถึง เป็นหนึ่งวันก่อนการส่งมอบอาคารเรียนอย่างเป็นทางการ

ภาพรวมของสิ่งก่อสร้างจึงเสร็จไปแล้วกว่าร้อยละ 90
เหลือเพียงการแต่งเติม เพิ่มความสวยงามอีกเพียงเล็กน้อย

.
.

ความจริงแล้ว ค่ายอาสาฯ กับ นักศึกษาเป็นของคู่กัน และไม่ใช่เรื่องไกลตัว
... แต่ทว่าช่วงชีวิตนักศึกษาของผมนั้น ใช้เวลาไปทำกิจกรรมด้านอื่น จนไม่มีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตแนวนี้


ผมจึงรู้สึกทั้งอิจฉาทั้งชื่นชม กลุ่มนักศึกษาที่ยอมสละเวลา แรงกายแรงใจ มาทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ ซึ่งผมพลาดไปในชีวิตรั้วมหาวิทยาลัย


ที่น่าทึ่งยิ่งขึ้นอีก คือ ค่ายอาสาฯครั้งนั้น มีกลุ่มนักศึกษาชาวญี่ปุ่นรวมอยู่ด้วยราว 15 คน

ส่วนหนึ่งเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่สถาบันพระจอมเกล้าฯลาดกระบังโดยตรง อีกส่วนหนึ่งเป็นเพื่อนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นในเมืองไทยที่บอกต่อๆกัน
... และมากไปกว่านั้น มีนักศึกษาบางคนเดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อร่วมค่ายฯ โดยเฉพาะ

.
.

ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า กิจกรรมที่ไม่มีคะแนนเก็บ ไม่มีการตัดเกรด อย่างการออกค่ายอาสาฯ

จะกลายเป็นความทรงจำประทับใจ และฝังลึกมากกว่า วิชาที่พวกเขาและเธอเรียนได้เกรด A

..



..

“ประกายแสงบนท้องฟ้า และผืนดิน”


สายลมหนาวพัดผ่านผิวบางเบา ราวกับมาทักทายให้คนต่างถิ่นอย่างผมที่เพิ่งเดินทางมาครั้งแรก ได้ค่อยๆปรับตัวทำความรู้จักคุ้นเคย


แม้อากาศบนยอดเขาสูงไม่แตกต่างกับอุณหภูมิในห้องปรับอากาศมากนัก
... แต่ลมเหนือผสมกับไอน้ำค้างยามค่ำคืน ก็ทำให้ผมสูดไอเย็นนั้นไปได้แค่ครึ่งปอด เพื่อไม่ให้ร่างกายรู้สึกหนาวจนเกินไป

.
.

ลมหนาวพัดพาไอเย็นมากระทบผิวกาย ท่ามกลางกิจกรรมภาคกลางคืนก่อนวันส่งมอบอาคาร ซึ่งชาวบ้านได้มารวมตัวกันทั้งหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณ พร้อมจัดการแสดงน่ารักๆของเด็กๆมาให้พวกเราได้ชม

.

กิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้นภายในเต็นท์ขนาดใหญ่ที่ใช้ในงานออกร้านทั่วไป เพื่อบรรเทาไอเย็นจากน้ำค้าง


แต่ผมกลัวว่าจะไม่ได้สัมผัสอากาศบนยอดเขา ตามประสาคนเพิ่งขึ้นมาเที่ยวภาคเหนือ จึงขอออกไปยืนข้างนอก รับลมหนาวท้าทายโรคหวัดเล่นๆ

ซึ่งการออกไปนอกเต็นท์ ทำให้ผมยืนปะปนอยู่กับชาวบ้านชาวม้งที่ต่างก็เดินทางกันขึ้นมาชมการแสดง

จึงมีโอกาสได้พูดคุยทักทายคนรอบข้างไปเรื่อย พร้อมทั้งสังเกตว่า ... ไม่ว่าจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่ ล้วนมีสีหน้าที่แสดงออกถึงความสุข


คล้ายกับค่ำคืนนั้น เป็นงานรื่นเริงสำคัญของหมู่บ้านที่เงียบสงบบนยอดดอย

..



..

กิจกรรมถัดจากการแสดงของเด็กๆ เป็นการโชว์ลีลาควงลูกดิ่งไฟของนักศึกษาจากแดนปลาดิบ

ผมเก็บภาพไปพลาง ซึมซับบรรยากาศรอบตัวไปพลาง

.
.

บรรยากาศแสนโรแมนติกที่ผมเพิ่งจะได้เห็นครั้งแรก คือ ท้องฟ้าที่แตกต่างกับท้องฟ้าในเมืองอย่างสิ้นเชิง

ดาวนับล้านระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้าสีดำสนิท ทำให้นึกถึงบทเพลงของนักร้องหลายต่อหลายคน ที่แต่งเนื้อร้องเกี่ยวกับดวงดาวเป็นล้านดวง



... คนแต่งเพลงต้องมาทำอารมณ์ หรือหาแรงบันดาลใจบนยอดเขาแบบนี้หรือเปล่านะ ?

..





..

คืนนั้น ท้องฟ้าสว่างไสวไปด้วยแสงแห่งดวงดาว


แต่หากดวงดาวเหล่านั้นมองลงมาบนผืนดิน
ก็จะเห็นเช่นกันว่า มีแสงเป็นประกายมาจากดวงตาของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังจะได้รับโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น

.

... นั่นเป็นประกายของแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

ซึ่งผมคิดว่า คงไม่ต่างไปจากความสว่างไสวของหมู่ดาวในค่ำคืนเดียวกัน

..





..

“กลิ่นหมอกในแดดอุ่น”


เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณปลุกให้ผมรู้สึกตัวแทนเสียงปลุกของโทรศัพท์มือถือเหมือนเช่นทุกวัน

แม้รู้สึกว่ายังนอนไม่ค่อยเต็มที่ตามประสาคนขี้เซา
... แต่อากาศเย็นๆยามเช้าบนยอดเขา ซึ่งเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น อากาศบริสุทธิ์ ก็เชื้อเชิญให้ผมออกไปสัมผัสและสูดกลิ่นไอแห่งความสดชื่น

.
.

ในคืนแรกของการเยือนค่าย คณะของเราได้พักแรมกันบริเวณโครงการหลวงห้วยแล้ง ซึ่งตั้งห่างออกไปจากหมู่บ้านเล็กน้อย

ผมรีบตื่นไปล้างหน้าล้างตา แล้วคว้าเสื้อแจ็คเก็ต พร้อมกล้องถ่ายรูป
... ออกตระเวนสำรวจพื้นที่โครงการหลวงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

ด้วยกลัวว่า จะอดเห็นทะเลหมอก และพระอาทิตย์ขึ้นจากยอดดอย
(เที่ยวเหนือครั้งแรก ความเห่อของผมไม่เป็นรองใคร)

.
.

โดยเฉพาะหากคิดว่าในทุกๆเช้าที่ตื่นมาตามปกติ ต้องเจอกับสภาพรถติด ควันพิษ ตึกสูง แบบใน กทม. แล้วล่ะก็
... ยิ่งทำให้ความง่วง หรือความอ่อนเพลียจากเมื่อวาน ถูกสลัดออกไปเป็นปลิดทิ้ง



สุดท้าย ก็เป็นความคุ้มค่า เพราะภาพที่ผมได้เห็น คือ พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลอยขึ้นมาจากทะเลหมอกช้าๆ

แม้จะอบอวลด้วยลมหนาว แต่ทว่าโอบล้อมด้วยแดดอุ่น


..





..

หลังดื่มด่ำรสชาติความงามของธรรมชาติไปแล้ว
ผมกลับมาอิ่มหนำสำราญกับอาหารเช้าบริเวณค่ายพักแรม
ก่อนจะเดินสำรวจพื้นที่โครงการหลวงอีกรอบ เพื่อเป็นการย่อยอาหารไปในตัว

.

บริเวณพื้นที่โครงการหลวงห้วยแล้ง ใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร ปลูกพืชพันธุ์นานาชนิด


เช้าวันนั้น ผมจึงได้อารมณ์เสมือนว่าตัวเองเป็น “หนุ่ม - อรรถพร ธีมากร” พระเอกหนังเรื่อง “The Letter จดหมายรัก”

... เพราะหากยังจำกันได้ พระเอกในเรื่องนั้นเป็นนักวิจัยการเกษตรทางภาคเหนือ


น่าเสียดายที่อุตส่าห์พยายามเดินหาอยู่นานสองนาน ... ก็ไม่เจอ “แอน ทองประสม” ซักที

..



..

“ความฝัน สู่ ความจริง”

ในช่วงสาย คณะของเรา เดินทางกลับไปยังบ้านสะอาดบ้านปางหมูอีกครั้ง เพื่อร่วมพิธีรับมอบอาคารเรียนอย่างเป็นทางการ

.

เช้าวันนั้นความฝันของชาวหมู่บ้านสะอาดบ้านปางหมู ได้รับการเติมเต็มให้เป็นความจริง

ความสุขและรอยยิ้มจากแววตาของคนในหมู่บ้าน จึงไม่ต่างไปจากคืนวานที่ผมได้เห็น
... โดยเฉพาะเด็กๆชาวเขาที่นอกจากจะได้รับอาคารเรียนเพื่อเป็นประโยชน์ด้านการศึกษาแล้ว ยังได้รับ ขนม ข้าวของเครื่องใช้ และอุปกรณ์การเรียน หอบหิ้วกลับไปเต็มสองมือ แทบไม่ต่างไปจากงานวันเด็ก


ส่วนในฐานะผู้ให้อย่าง น้องๆนักศึกษาทั้งไทย และญี่ปุ่น ต่างก็อิ่มอกอิ่มใจไปตามๆกัน

..



..

“เมกูมิ” นักศึกษาจาก Tokyo University of Foreign Studies เล่าให้ผมฟังว่า ... เธอทราบข่าวเกี่ยวกับค่ายอาสาครั้งนี้ จากเพื่อนนักศึกษาชาวญี่ปุ่นที่มาแลกเปลี่ยนที่เมืองไทย


สาวน้อยจากแดนอาทิตย์อุทัย จึงตัดสินใจเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง บินตรงจากโตเกียว มาสมทบกับคนอื่นๆที่ กรุงเทพฯ

.
.

ผมฟังแล้วรู้สึกทึ่งในความมีจิตอาสาของนักศึกษาชาวญี่ปุ่นกลุ่มนี้ ที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเล (แล้วก็ต้องมาข้ามภูเขาอีกที) มาทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม



เมกูมิ เล่าให้ผมฟังอีกว่า เธอเรียนภาษาไทยเบื้องต้น และชื่นชอบเมืองไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
... ฝันอยากจะมาเมืองไทยอยู่ตั้งนาน จนมีโอกาสได้ทำให้เป็นจริงเสียที



เมื่อมาอยู่ในค่ายนี้ เพื่อนๆชาวไทย จึงตั้งชื่อภาษาไทยให้เธอว่า “แป้งร่ำ” ซึ่งเป็นชื่อที่เธอปลื้มมาก ... (ผมก็ปลื้มนะ)
.
.

สาวโตเกียว บินลัดฟ้า มาทำตามความฝันที่เมืองไทย

... ฟังแล้วผมก็ได้แต่รำพึงรำพันในใจ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะมีโอกาสได้ไปตามความฝันของตัวเอง

ด้วยการปล่อยให้ "โตเกียว หมุนรอบตัว" บ้าง

..



..


“เชียงรายเดินช้าๆ”


หลังภารกิจส่งมอบอาคารเรียนพร้อมห้องน้ำมาตรฐานเสร็จสิ้น
.. กลุ่มนักศึกษายังคงใช้เวลาเก็บอุปกรณ์ สัมภาระและบอกลาชาวบ้านอีก1วัน

ส่วนคณะของผมนั้น ถือว่าหมดหน้าที่หลักแล้ว
โปรแกรมที่เหลือก็มีเพียงเที่ยวเมืองเชียงรายให้คุ้มกับที่เดินทางมาไกล

.

แต่เอาเข้าจริงกว่าจะเดินทางลงมาจากดอย กว่าจะต้องไปกินอาหารตามร้านหรูๆ บรรยากาศดี ... ก็กินเวลาไปจนถึงช่วงเย็น

ก่อนที่หัวหน้าคณะ(ทัวร์) จะเรียกให้มาพร้อมกันเพื่อทานอาหารค่ำอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

(แต่กินฟรี เที่ยวฟรี ... ไม่บ่นก็ได้)

.

อาจจะดูเบื่อๆไปนิด แต่กิจกรรมส่งท้ายในยามค่ำคืน ก็ยังพอมีสิ่งที่ผมชอบ คือ การเดินชมตลาดไนท์บาซ่าร์ เชียงราย ซึ่งเป็นเวลาอิสระที่ทำให้ผมได้เดินเก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย

... ถ่ายรูปสินค้าพื้นเมือง ฟังผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา รวมถึงฟังเสียงแม่ค้าหน้าใสๆในตลาดอู้คำเมืองไปจนเพลิน


อากาศเย็นๆในปลายเดือนตุลาคม ผสมเข้ากับสำเนียงของคนเหนือที่นุ่มๆเนิบช้าแล้ว

ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเข็มนาฬิกาของคนที่นี่ มีจังหวะที่แผ่วเบานิ่มนวลกว่าคนเมืองใหญ่

..





“การเผชิญหน้า ที่ร้านเครื่องประดับ”


วันรุ่งขึ้น คณะทั้งหมดมีโปรแกรมข้ามชายแดนที่ด่านแม่สาย - ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า

แต่ก่อนจะก้าวข้ามผ่านชายแดน ตารางทัวร์มาตรฐานก็แวะไปชมร้านพลอย ร้านอัญมณี เครื่องประดับอะไรสักอย่าง ซึ่งผมไม่สันทัดเอาเสียเลย

.
.

เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ผมจึงออกมาเดินโต๋เต๋บริเวณหน้าร้านแทน
จนกระทั่งเจอจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นสองราย เดินเข้ามามองหน้า!!

ด้วยพื้นฐานแล้ว ผมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว ใจเย็น และไม่อยากมีเรื่องราวกับใคร

ทั้งยังตระหนักเสมอว่าเราเป็นคนต่างถิ่น ... จึงเอ่ยคำทักทายไปก่อนอย่างสุภาพ

จนกระทั่งผูกมิตรกับมิตรภาพใหม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว














เร็วชนิดที่ว่า เผลอแวบเดียวก็ขึ้นมานอนบนตักซะแล้ว

..



..

“พม่า 1 ชั่วโมง”

ผมเคยไปต่างประเทศครั้งแรก คือ นั่งแพขนานยนต์ไปประเทศมาเลเซีย ผ่านทางด่านตากใบ

แต่ประสบการณ์ไปครั้งนั้น ไม่ได้สร้างความรู้สึกแตกต่างอะไรในความเป็นต่างประเทศ เพราะไม่ได้เข้าไปไกลจากเขตแดน นอกจากเดินดูสินค้าใกล้ๆจุดตรวจ

แถมแม่ค้าชาวมาเลย์ พูดไทยปร๋อ ชัดยิ่งกว่าชาวบ้านทางภาคใต้บางคนด้วยซ้ำ

.

แต่สำหรับการข้ามชายแดนไปพม่าครั้งนี้ ผมมีโอกาสยกระดับการเที่ยวต่างประเทศกว่าเดิม
... เมื่อคณะทัวร์เจ้าภาพให้อิสระราว 1 ชั่วโมง ใครอยากไปไหนก็ไป


คนขี้เห่ออย่างผม รับทราบคำสั่งโดยไม่ต้องย้ำ

รีบต่อแถวจ่ายค่าธรรมเนียมข้ามแดน สำหรับใบอนุญาตชั่วคราวไปเที่ยวต่างประเทศทันที

..



..

“สี่สิบ่ะ ปายมั้ย โคละสี่สิบ่ะเอง... ยี่สิก็ได้นะ”

เสียงคุณลุงคนขับรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างชาวพม่า พยายามสื่อสารให้ผมเข้าใจถึงอัตราค่าโดยสารสำหรับการนำไปชมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆประมาณ 4 – 5 แห่งในจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า


แต่ผมจำต้องเล่นตัว วางฟอร์มสักนิด ไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นพวกหน้าใหม่ จึงเดินเลยผ่านไปไม่ได้ทักทายตอบ

.

ส่วนหนึ่งเพราะมีจุดมุ่งหมายอยากไปชมร้านค้าตามแนวชายแดนก่อน ... ด้วยความอยากรู้ว่า สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น แผ่นซีดี - ดีวีดี หนัง เพลง คาราโอเกะ ฯลฯ จะมีราคาถูกสมคำร่ำลือหรือเปล่า


...ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เคยได้ฟังมา เพราะแผ่นหนัง - เพลงละเมิดลิขสิทธิ์ในเมืองไทยที่ว่าถูกๆแล้ว ต้องชิดซ้ายไปเลย
... เมื่อพ่อค้าชาวพม่าขายกัน 5 แผ่น 100 บาท


ผมใช้เวลาเดินชมพอเป็นพิธี โดยไม่ได้ซื้ออะไรติดมือกลับมา
(ไม่ใช่ว่าจะสร้างภาพเป็นคนดีมีศีลธรรมอะไร 100% หรอกนะครับ ... แต่มันไม่มีแผ่นเกมส์คอมพิวเตอร์ขายตะหาก แฮ่...)


ผมจึงชักชวนเพื่อนๆร่วมคณะอีกสองคน เดินกลับไปหาบรรดาคนขับรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างกลุ่มเดิมอีกครั้ง

..



..

ลุงคนหนึ่งเดินมาบอกเราว่า คนละ 40 บาท อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ จะนานแค่ไหนก็ได้

... ด้วยเห็นว่า หน้าตาลุงชาวพม่าคนนี้ ดูซื่อๆ ไม่ค่อยตามตื้อพวกเรามากจนเกินงาม จึงตัดสินใจเลือกคนขับรถตุ๊กตุ๊กผู้โชคดีรายนี้

.
.

คนขับชาวพม่า พาเราตระเวนไปเที่ยวชมวัดต่างๆในตัวเมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งผมมองว่า สถาปัตยกรรมต่างๆของวัดวาอารามในประเทศพม่านั้น สวยงามไม่แพ้เมืองไทย จะต่างกันบ้างเพียงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น


แต่สิ่งที่ต่างกันมาก คือ สภาพบ้านเรือนและคุณภาพชีวิตของประชาชน เพราะสังเกตจากถนนหนทาง บ้านเรือน อาคาร ร้านค้า และการใช้ชีวิตของชาวบ้านแล้ว ต้องยอมรับว่า ยังดูล้าหลังกว่าไทยไปหลายปี

..



..

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่มีอื่นใด

นอกจากผลของระบอบการปกครองเผด็จการทหารของพม่า ที่รวมศูนย์อำนาจและผลประโยชน์ไว้ที่กลุ่มผู้นำรัฐบาลทหาร

ส่งผลต่อเนื่องให้พม่า มีประเทศคู่ค้า หรือ ลงทุนทางเศรษฐกิจอยู่เพียงไม่กี่ประเทศ



ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก สำหรับประเทศ ที่มีศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ที่น่าสนใจไม่น้อย

..



..

หากเอ่ยถึงความสัมพันธ์ หรือการมองสถานะระหว่างประเทศ

คงปฏิเสธได้ยากกว่า ในภาพรวม คนไทยเรามองชาวพม่าเป็นชาติที่ด้อยกว่า

.

ผมเองก็ไม่ปฏิเสธความรู้สึกนั้น ... แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสความด้อย และความล้าหลังด้วยตนเองเป็นครั้งแรก ก็ต้องมองไปที่ต้นเหตุ คือ รัฐบาลทหารพม่าอีกรอบ

เพราะผู้นำทหารนั้นมองประชาธิปไตยและการร่างรัฐธรรมนูญแห่งชาติเป็นเพียงเครื่องมือซื้อเวลากับนานาประเทศเท่านั้น


..



..

ผมเปรยเล่นๆกับเพื่อนร่วมทางว่า
... เมื่อได้มาเห็นสภาพบ้านเมืองที่ล้าหลังแบบนี้แล้ว น่าจะลองสวมเสื้อสกรีนคำว่า “ปลดปล่อย อองซาน ซูจี” เข้าไปเดินเล่นในพม่าเหมือนกันนะ


แต่หากผมทำจริงล่ะก็

จากการเที่ยวพม่า 1 ชั่วโมง ผมอาจได้รับสิทธิพิเศษจากทางการทหาร ให้อยู่พม่า เพิ่มเป็น 1-5 ปี


..



..

น่าเสียดายที่มีเวลาอย่างจำกัด

การเยือนพม่าอย่างไม่เป็นทางการของผมในครั้งนี้ จึงใช้เวลาไปเดินกินลมชมพม่าได้เพียงชั่วโมงเศษ
จากนั้นต้องรีบเข้ามาฝั่งไทย เพื่อเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ



แต่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ข้ามฝั่งชายแดน
... ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า สมองกำลังซึมซับสิ่งที่คล้ายกับเป็นแรงบันดาลใจ หรือแรงกระตุ้นบางอย่าง

..



..

“เปลี่ยน”


ระหว่างเดินทางด้วยรถตู้ไปยังสนามบิน

ขณะที่เพื่อนร่วมทางหลายคนนั่งคุยกันออกรส บ้างก็งีบหลับเอาแรง
... แต่ผมกลับนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันสองวันที่ผ่านมาอย่างเงียบๆ



คิดถึงแววตาของเด็กชาวเขาเผ่าม้งขณะที่ได้รับเสื้อยืดตัวใหม่

คิดถึงอาหารมื้อค่ำแบบง่ายๆที่ร่วมทานกับน้องๆนักศึกษาในค่ายอาสาฯ

คิดถึงแสงแดดอ่อนๆยามเช้าบนโครงการหลวง

คิดถึงลมเย็นๆในตลาดไนท์บาซ่าร์

คิดถึงเด็กพม่าแต่งตัวมอซอที่เดินเข้ามาขายโปสการ์ด

ฯลฯ


.

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ความคิดถึงที่ว่าเป็นความรู้สึกในแง่มุมไหน

โหยหา โศกเศร้า ตื่นเต้น ประทับใจ ซาบซึ้ง หรือฟุ้งซ่าน

.

แต่ผมแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่า ประสบการณ์สั้นๆที่ได้มาตลอด 2 – 3 วันจากการเดินทางในครั้งนั้น คงทำให้มุมมองของตัวเองที่มีต่อโลกกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกนิด




และบางทีเมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ผมอาจจะต้องเริ่มคิดเริ่มทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง
..



..

หลังจากวันนั้น คนที่ไม่ค่อยเห็นประโยชน์สำคัญจากการเดินทางไปท่องเที่ยวอย่างผม

... ก็เริ่มมีมุมมองความคิดที่เปลี่ยนไป



แม้จะยังมีอุปสรรคมาขัดขวางไฟในการเดินทาง จนบางครั้งเริ่มจะมอดเอาดื้อๆไปบ้างเหมือนกัน
... ทั้งจากภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่น รวมถึงข้อจำกัดเรื่องเวลาจากหน้าที่การงาน ที่ต่างก็มาคอยฉุดรั้งให้ผมเดินไปข้างหน้าได้อย่างเชื่องช้า จนต้องใช้เวลามากถึง 2 ปี

.
.

แต่ในระยะเวลาเกือบ 2 ปี ก็เป็นช่วงชีวิตที่ผมให้เวลากับการศึกษาข้อมูลทั้งจากหนังสือ และเว็บบอร์ดหัวข้อการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น


ค่อยๆอ่านเอาความรู้ ค่อยๆดูเป็นแรงบันดาลใจ
... ว่าการเดินทางของคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร

.
.
.
.
.

แล้วมันจะน่าตื่นเต้นขนาดไหน หากในวันหนึ่งเราจะเริ่มต้นมี “บทบันทึกการเดินทาง” ของตัวเอง











- (ไม่) จบบริบูรณ์ –


เพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้ คือ ... “จุดเริ่มต้น”

..



Create Date : 12 ตุลาคม 2553
Last Update : 12 ตุลาคม 2553 16:56:07 น. 10 comments
Counter : 2145 Pageviews.  

 
ดูอบอุ่นดีจัง^^


โดย: ยังไงก็น้อง วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:20:05:16 น.  

 
สวัสดีครับ


แวะมาทักทายนะครับ

ฝันดีๆนะครับ


โดย: boyalonejang วันที่: 12 ตุลาคม 2553 เวลา:20:24:15 น.  

 
วันนี้คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของเเรงบันดาลใจ
ขอบคุณค่ะ


โดย: ทานตะวัน_ธันวา IP: 119.46.125.235 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2553 เวลา:17:01:27 น.  

 
อ่านจนเพลินเลยครับ


โดย: ipixel IP: 58.181.220.245 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:56:50 น.  

 
สวัสดีค่ะ แวะผ่านมาอ่าน ให้ข้อคิดมากมาย
ทุกคนมีความฝัน สุดแต่ว่าจะมีโอกาสได้ทำไหม
และถ้ามีโอกาสแต่ไม่ทำก็มี แต่สิ่งที่คุณทำมัน
ดีจริงๆ นะ แล้วคุณก็ได้พบสิ่งที่ดีดี อย่าหยุดแรงบันดาลใจนะ สิ่งที่ได้มาคุ้มจริงๆ ขอบคุณค่ะ
ที่แบ่งปันประสบการณ์


โดย: ตู๋ IP: 58.64.55.181 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:41:46 น.  

 
ภาพสวยมากๆจ้า และรู้สึกได้ถึงคุณค่าของการเดินทางค่ะ ไว้มาเยี่ยมอีกค่ะ ชอบบล๊อคที่ให้ความรู้สึกดีแบบนี้จ้ะ


โดย: Messilovely วันที่: 14 พฤศจิกายน 2553 เวลา:9:09:49 น.  

 
ร้สึกว่าชิวิตมีคุณค่าแม้เวลาเหลือน้อย ขอบคุณทีให้ความรู้สึกนั้น


โดย: coke KUfishery IP: 125.25.221.116 วันที่: 4 ธันวาคม 2553 เวลา:11:21:19 น.  

 
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันเรื่องราวท่องเที่ยวครับ


โดย: ชวนพรรณ IP: 192.168.50.191, 183.89.168.109 วันที่: 14 ธันวาคม 2553 เวลา:2:15:14 น.  

 
เป็นเรื่องราวที่ดีมากเลยครับ


โดย: คนขับช้า IP: 182.232.118.193 วันที่: 19 ธันวาคม 2553 เวลา:6:18:19 น.  

 
สุดยอดครับนี่แหละเชียงรายดินแดนแห่งขุนเขา ทะเลหมอก ดอกไม้งาม สาวสวย เหนือสุดแดนสยาม จนใครหลายๆคนยกให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในเมืองไทย


โดย: Royter วันที่: 8 มกราคม 2554 เวลา:9:09:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]