|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
แชทออนไลน์พบคนในเน็ต 2
มันแก่กว่าพ่อแกอีกหว่ะ
" กิ๊ฟ "เพื่อนหญิงคนสนิทของลูกก็มีกิ๊กทางเน็ตอยู่กับเค้าเหมือนกัน พ่อไม่รู้หรอกว่าพากันแอบนัดเจอกันในตอนนั้น(ม.6 เทอมแรก) เห็นว่าโตๆกันแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ก็เลยไม่ได้เข้มงวดกับลูกมากนัก
เสาร์นั้นลูกขออนุญาตออกไปทำรายงานกลุ่มบ้านเพื่อน ไปกันหลายคน ดูแล้วไม่น่าห่วงเท่าไร พอพ่อไปส่งลูกที่บ้านเพื่อนเสร็จก็รีบกลับเลย บังเอิญว่ามีงานต้องเร่งรีบทำ ก็เลยไม่ได้อยู่รอ
ลูกเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ทำงานที่บ้านเพื่อนเสร็จแล้ว บรรดาเพื่อนๆที่มาด้วยกันต่างก็แยกย้ายกันไป บางกลุ่มไปดูหนัง บางกลุ่มเดินเที่ยวห้าง บ้างก็กลับบ้าน ตอนนั้น กิ๊ฟ เพื่อนของลูกเพิ่งจะมาสกิดบอกว่าให้ไปเป็นเพื่อนหน่อย ได้นัดกับชายที่รู้จักกันทางเน็ตเอาไว้ ลูกปฎิเสธไม่ได้เพราะคราวก่อน กิ๊ฟก็เคยไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย ตอนที่ลูกเคยนัดเพื่อนชายในเน็ตคราวนั้น
ความคิดของเด็ก ม.6 พ่อว่า ลูกคงอยากคิดอะไรเป็นแบบของตัวเค้าเองบ้าง บางทีดูเหมือนว่าชอบแสดงออกมาให้เห็นว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ ผิดชอบชั่วดี รู้ เหตุนี้ จึงน่าจะเป็นสาเหตุเดียวที่ลูกไม่ได้โทรมาบอกพ่อในตอนนนั้น
13.00 น.เพื่อนชายที่รู้จักกันทางเน็ตของกิ๊ฟก็มาถึงที่จุดนัดพบ ลูกบอกว่าเพื่อนชายของกิ๊ฟคนนี้หน้าตาค่อนข้างเป็นคนมีอายุแล้ว เห็นจอดรถอยู่บริเวณที่ด้านหน้าหอคอย เก๋งคันดำติดฟิมส์ดำมืด เดินโบกไม่โบกมือส่งยิ้มให้มาแต่ใกล ...
" เฮ้ย !!! หน้าแก่กว่าพ่อข้าอีกว่ะ " ลูกอุทานใส่เพื่อน ส่วนกิ๊ฟก็ได้แต่ยิ้มหน้าแหยๆ คงคาดเดาอะไรเอาไว้ผิดถนัด
" เออข้าก็ว่างั้นว่ะ แต่ตอนที่พี่แกส่งรูปมาไมไม่เห็นแก่อย่างนี้วะ เสียงเพราะโคดๆอ่ะ " กิ๊ฟ เปรยๆออกมาแบบว่าคงผิดหวังมากมาย
" แกแน่ใจนะ ลองกดโทรศัพท์เข้าไปดูดี๊ โน่นๆ กำลังเดินข้ามถนนมาแร่ะ "
" เออ แต่ไม่ทันแล้วว่ะเดินยิ้มมาโน่นแล้ว " กิ๊ฟเพื่อนรักยิ้มตอบรับเพื่อนชายคนนั้นที่กำลังเดินข้ามถนนมา น้ำเสียงกระวนกระวายและดูจะใจประหม่าเล็กๆ
เป็นเค้าจริงๆ !!!
ลูกเล่าต่อถึงที่ไปที่มาของเรื่องนี้ให้ฟังต่อว่า กิ๊ฟเพิ่งได้รู้จักกับเพื่อนชายคนนี้ได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น จากการโพสต์ E-MAIL หาเพื่อนสนทนาทางเว็ป หลังจากที่คุยกันผ่านทางหน้าต่าง MSN ได้สักระยะ ก็เปลี่ยนมาคุยกันทางโทรศัพท์ จนต่อมาสนิทสนมกัน กิ๊ฟบอกว่าค่อนข้างรู้ใจกันมาก เรียกว่าเป็นความรักเลยก็ว่าได้ (เด็กทุกวันนี้เค้ารักกันง่ายนะ)
แต่ในการพบเจอกันในวันนั้นทำเอากิ๊ฟต้องพบกับความผิดหวังอย่างมาก หน้าตาที่ผิดกับรูปภาพที่เคยส่งมาให้ ทำให้กิ๊ฟอยากตะโกนร้องออกมาดังๆ แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือเพื่อนชายคนนี้ มือไว พูดจาเอาอกเอาใจจนเกินเหตุ ชอบจับมือถือแขน จับเอวและจับที่หัวไหล่ในขณะที่นั่งคุยกัน
ลูกบอกว่าตอนนั้นได้แอบสกิดเพื่อชวนกิ๊ฟกลับบ้านตั้งหลายครั้ง แต่เพื่อนชายของกิ๊ฟกลับตวาดใส่และแสดงกิริยาไม่พอใจ ที่เห็นลูกอยู่เป็นก้างขวางคอ ตอนนั้นเค้ายื่นเงินให้ 100 บาท บอกว่าให้ไปหาซื้ออะไรกินที่ด้านนอกโน่น ขอคุยเป็นการส่วนตัวกับกิ๊ฟก่อน ส่วนกิ๊ฟอิดออดเหมือนว่าไม่อยากอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน แต่ก็คงเพราะความเกรงใจและความไม่ประสาของเด็ก ที่ไม่เท่าทันเกมส์ของผู้ใหญ่ในตอนนั้นก็เลยต้องตามน้ำไป ...
" มันไล่หนูเลยพ่อ บอกให้ไปใกลๆ " ลูกพูดบอก พร้อมกับทำหน้าตาตื่นเมื่อเธอเล่ามาถึงตอนนั้น
" แล้วหนูทำไงต่อล่ะ ? "
" เรื่องอะไรจะไป ไปให้โง่ดิ ตอนนั้นเริ่มหมั่นไส้มันขึ้นมาแล้วด้วย " ลูกแสดงกิริยาออกมาให้เห็นว่าฉุนเจ้าหมอนั่นเสียเต็มประดา ...
เริ่มมาแนวเดิมอีกแล้ว คราวนี้ชักชวนกิ๊ฟไปขึ้นรถให้ได้บอกว่าจะพาไปนั่งรถเที่ยวกินลม ท่าทางหมอนี่คงเอาจริง ไม่ปล่อยโอกาสให้ลูกกับเพื่อนได้คุยกันเลย ส่วนลูกก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเพื่อนกิ๊ฟคิดอะไรอยู่ และทำไมไปให้ความเกรงใจหมอนั่นมากนักอาจเป็นเพราะรักหรือเปล่า หรืออาจจะเกรงใจเกินไป จนไม่กล้าผละออกมาจากตรงนั้น
" หนูสกิดชวนกิ๊ฟกลับบ้านทีไรหมอนั่นมันทำตาขวางใส่หนูทุกทีเลยอ่ะพ่อ "
" ยังบอกอีกนะว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นขอเวลาหน่อยไม่ได้หรือไง " ลูกบอกแค้นสุดแค้น มาหาว่างี้ได้ไง ก็นี่มันเพื่อนสนิทของฉันนะแก ...
ลูกบอกว่าขืนปล่อยให้เวลามันล่วงเลยไปมากกว่านี้ต้องแย่แน่ วินาทีนั้นเลยจำเป็นต้องผละออกไปจากตรงนั้นสักพัก เพื่อโทรศัพท์ติดต่อให้คนมาช่วย คนแรกที่คิดถึงมากที่สุดในตอนนั้นคือ พ่อ หลังจากที่หลบออกมาพ้นหูพ้นตาดีแล้ว ลูกรีบหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง กดเข้าเบอร์พ่อทันที แต่ปรากฎว่าไม่มีสัญญานตอบรับ
มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ มารู้ทีหลังว่าตอนนั้นแบตของพ่อหมดพอดี และพ่อก็กำลังสาละวนอยู่กับงานที่ทำค้างอยู่ก็เลยลืมที่จะชาร์จมันเอาไว้ พอเห็นว่าติดต่อพ่อไม่ได้แน่แล้วลูกก็รีบกดไปยังเบอร์ของเพื่อนชายอีกคน (ที่นับถือเป็นพี่) ที่อยู่ใกล้ตรงนั้นมากที่สุด เมื่อติดต่อได้แล้วลูกจึงรีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างคร่าวๆ ให้เพื่อนชายคนนั้นฟังอย่างรวดเร็ว แล้วขอความช่วยเหลือ โดยการให้เพื่อนชายรีบมาตรงที่ลูกและกิ๊ฟอยู่
หลังจากนั้นลูกก็รีบเดินกลับเข้ามาที่เดิม ...
แกไปใหนมาวะ กิ๊ฟถาม
เออ ไปห้องน้ำมาว่ะ ลูกตอบออกมาสั้นๆและไม่พูดอะไรต่อ แต่สายตาหมอนั่นกลับจ้องมองด้วยความโมโห จนลูกบอกว่ารู้สึกกลัวมากจนแทบไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นเลยต่อไปด้วยซ้ำ
หนูเกลียดสายตามันอ่ะพ่อมองเหมือนกับจะฆ่าจะแกงกันเลยแหละ ลูกทำปากแหยๆ บ่งบอกว่ารู้สึกเอือมระอากับหมอนั่นเต็มที ...
พวกเค้ายังคงนั่งคุยกันอยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ แต่หมอนั่นก็ไม่วายที่จะคุยถึงเรื่องเดิมคือ เซ้าซี้ชักชวน ให้กิ๊ฟไปขึ้นรถกินลมอยู่นั่นแหละ
" หมอนี่ปากหวานมากนะพ่อมือ ไวด้วย ชอบเอามือมาโอบกอดตรงตะโพกของพื่อนหนูอ่ะ "
ลูกเล่าบอกด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองหน้าตาจริงจัง พ่อคิดในใจว่าหมอนี่ไม่ใช่ธรรมดาแน่ อาจเคยทำอย่างนี้มาก่อนแล้วก็เป็นได้ เพราะดูจากพฤติกรรมแล้ว เป็นคนค่อนข้างกล้าไม่น้อย นี่ถ้าลูกไม่แยแสเพื่อนในตอนนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากคิดเลย ใจหายบอกไม่ถูก
ไม่เกิน 15 นาที เพื่อนชายที่ลูกโทรไปตามก็มาถึง เค้าพาเพื่อนชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันติดตามมาด้วยอีก 1 คน
หาแทบตายมาอยู่กันตรงนี้ นี่ เอง เพื่อนชายทักทายก่อน ส่วนหมอนั่นทำหน้าตาเลิ่กลั่ก คง งง เต็มทีว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นแล้ว
ส่วนกิ๊ฟยิ้มหน้าใส่ เหมือนว่าดีใจที่คราวนี้ต้องได้กลับบ้านแน่แล้ว " พ่อบอกว่าให้มาตาม " เพื่อนชายที่มาตามทำหน้าตาจริงจังเล่นเอาหมอนั่นพูดอะไรไม่ออก ...
ไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้วทีนี้ ลูกรีบคว้ามือกิ๊ฟให้รีบลุกขึ้นทันใด " ไป ๆๆๆ !!! กลับบ้านกันได้แล้ว คราวนี้ถ้าแกไม่กลับ ข้าจะไม่อยู่ด้วยแล้วนะโว๊ย "
ลูกบอกว่าตอนนั้นพยายามที่จะเอากิ๊ฟกลับให้ได้ ส่วนกิ๊ฟรีบลุกตามทันที หมอนั่นนั่งงงเป็นไก่ตาแตก คงนึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ (ไม่ใช่หมูเสียแล้ว)
หลังจากที่ทั้งหมดพากันออกมาจากตรงนั้นได้แล้ว ต่างก็พากันแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อนชาย 2 คนนั่นไปส่งกิ๊ฟขึ้นรถสองแถว ส่วนลูกนั่งรถกลับบ้านเอง ...
" รถมันติดกระจกดำมืดเลยพ่อ จอดอยู่หน้าหอคอยอ่ะ ... น่ากลัว " ลูกพยายามเล่าถึงลักษณะของรถที่หมอนั่นใช้เป็นพาหนะขับมา ทำให้เรานึกไปว่า นี่ถ้ากิ๊ฟ หรือ เด็กสาวคนอื่นที่แอบมาเจอหมอนั่นลำพัง จะเอาตัวรอดได้เองหรือ เพราะจากที่สังเกตุพฤติกรรมหมอนี่ มันภัยสังคมชัดๆ ไม่อยากคิดเลยตอนนี้
ถือว่าเป็นความโชคดีของหมอนี่ที่ในวันนั้นโทรศัพท์พ่อไม่ได้ชาร์จแบตไว้ ลองนึกดูเล่นๆถ้าวันนั้นเกิดลูกติดต่อกับพ่อได้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะดูแล้วมันน่าจะมีอะไรสำคัญที่ต้องคุยกันอีกหลายเรื่อง มันอาจต้องนอนค้างอยู่สุพรรณอีกวัน
ถือว่า โชคดี มิใช่น้อย อยากให้มาอ่านเจอจริงๆ
(คติสอนลูก - อย่าให้ความเกรงใจกับคนชั่ว) ...
counter เดิม 280 อัพเดดใหม่ 2 พฤษภาคม 2551
Create Date : 20 กันยายน 2550 |
|
29 comments |
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 10:40:19 น. |
Counter : 603 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Untrue 20 กันยายน 2550 13:43:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 20 กันยายน 2550 14:34:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: pomme IP: 125.24.69.43 20 กันยายน 2550 14:39:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: opleee 20 กันยายน 2550 14:50:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: kateking(แม่คิงคอง) IP: 124.121.124.64 20 กันยายน 2550 15:13:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: ษิตรา (แม่นานา) IP: 58.10.149.200 20 กันยายน 2550 16:07:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: @panzy@ IP: 203.155.7.130 20 กันยายน 2550 16:20:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: อิจิโงะจัง IP: 203.146.147.122 20 กันยายน 2550 17:12:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: เปิ้ล(ลานศิลป์) IP: 125.24.173.177 16 มกราคม 2551 12:43:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่กะปอม IP: 125.24.82.37 20 พฤษภาคม 2551 18:30:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่กะปอม (Maekapomkha ) 20 พฤษภาคม 2551 18:37:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 29 พฤษภาคม 2551 9:39:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: a_mulika 7 มิถุนายน 2551 17:16:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: a_mulika 24 มิถุนายน 2551 23:09:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
สุพรรณบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ลูกเล่า-พ่อเขียน ลูกเขียน-พ่อนั่งปลื้ม แมวไม่อยู่หนูอดโซ
เป็นคนที่ไม่มีอะไร ที่น่าสนใจเท่าไรนัก บางครั้งบางทีอาจดูต๊องส์ๆ เสียด้วยซ้ำ
คนเราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราแก้้ไขอนาคตได้
บางเวลา บางจังหวะของชีวิต ก็ใช่ว่าจะราบรื่น ตกหลุมตกบ่อมาก็มาก ระวังเสมอไม่ให้ตกเหว พ่อเองพยายามพยุงลูกๆให้ลุกเดิน ถึงฝั่งด้วยมั่นคง เจ้าลูกชายมาได้ครึ่งทาง ลูกสาวจะถึงปลายทางอยู่รอมร่อ
หวังอยู่มากเหมือนกัน ที่จะพยายามสร้างความมั่นคง ให้กับพวกเค้า พยายามสุดสามารถเช่นกัน ที่จะไม่ให้พวกเค้าต้องมาลำบาก เศรษฐกิจบ้านเรา มันไม่ได้ดีอย่างที่ใครๆ เค้าคิด พ่อสอนลูกเสมอว่า สิ่งที่ลูกได้เห็น ได้รู้ และได้สำผัส นั่นแหละมันคือของจริง เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น ศรัทธาความจริง อย่าเอาตัวเราเองไปวัดกับใครเค้า แล้วก็อย่าเอาเค้า มาเป็นบรรทัดฐานให้กับตัวเรา "ทำด้วยตัวเองให้ถึงที่สุด เมื่อต้องรู้ว่าไม่ไหว แล้วค่อยกวักมือเรียกใครเค้า" ศรัทธาไม่ละลาย ลมหายใจยังอุ่นๆ
|
|
|
|
|
|
|