ลมหายใจของใบไม้
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
2 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
:::โทรจิต: ศาสตร์ลึกแต่ไม่ลับ:::





โทรจิต...ระบบสื่อสารแห่งอนาคต

วิวัฒนาการของระบบสื่อสารของมนุษย์ได้ก้าวออกมาจากร่างของพวกเขา กระโดดขึ้นบนหลังสัตว์ เหินฟ้าไปกับขานก (พิราบ) และมาบัดนี้ล่องหนหายตัวไปกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณไฟฟ้า คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ หรือคลื่นแสง ระบบสื่อสารของมนุษย์กำลังพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มันกำลังก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตกาล แต่ขณะเดียวกัน มันกำลังถอยหลังกลับเข้าสู่ทางเดิมของมัน นั่น คือ ร่างกายของมนุษย์ แหล่งกำเนิดคลื่นพลังจิตของโทรจิต : ระบบสื่อสารแห่งอนาคต

โทรจิต หรือ Telephaty

คือ การรับรู้ความรู้สึกพิเศษจากความคิดของบุคคลอื่นหรือ
หมายถึงการติดต่อสื่อสารทางจิตจากจิตหนึ่งไปสู่อีกจิตหนึ่ง คำๆ นี้อนุพันธ์มาจากภาษากรีด คือ tele หรือโทร ซึ่งหมายถึง “หนทางไกล” (distance)
และ pathe หรือ จิต หมายถึง “ความรู้สึก” (felling) หรือ “เกิดความรู้สึกขึ้น” (occurrance) และนอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่อธิบายปรากฎการณ์นี้อีก เช่น “การติดต่อสื่อสารทางชีวภาค” (biocommunication) ซึ่งรัสเซียชอบใช้คำนี้มาก

ความจริงแล้วมนุษย์เราได้สัมผัสกับปรากฏการณ์ทางโทรจิตมาตังแต่สมัยบรรพกาลแล้ว แต่คนสมัยก่อนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่น การเกิดลางสังหรณ์ หรือฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อันที่จริงมนุษย์สมัยโบราณมีการติดต่อกันด้วยพลังจิตดีกว่าคนสมัยนี้เสียอีกเพราะภาวะจิตใจไม่ถูกรบกวน และภาษาในสมัยนั้นก็ไม่สลับซับซ้อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์ หรือ รูปภาพ ซึ่งสามารถเข้าใจและถ่ายทอดกันได้ง่าย

แต่พอความศิวิไลซ์ของมนุษย์ก้าวเข้ามา อำนาจพิเศษในด้านพลังจิตของมนุษย์นั้นก็ถูกบดบังไปอย่างน่าเสียดายและมิหนำซ้ำ กลับกลายเป็นว่าเรื่องของอำนาจจิตเป็นเรื่องของพวกคลั่งศาสนาและไสยศาสตร์ไปเสียอีก
นักวิทยาศาสตร์เพิ่มจะหันมาสนใจเรื่องของโทรจิตเมื่อไม่กี่สิบปีมานี่เอง
นักวิทยาศาสตร์ชาติที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้มากที่สุด คือ รัสเซีย

เหตุที่ทำให้รัสเซียสนใจเรื่องราวของการติดต่อด้วยพลังจิตนี้ก็เพราะแรงกระตุ้นจากนักแสดงละครสัตว์ ชื่อ วลาดิมีร์ ดูรอฟ เขาเป็นนักฝึกสัตว์ที่มีความชำนิชำนาญมาก ดูรอฟเชื่อว่าสัตว์ที่เขาฝึกสามารถอ่านจิตใจของเขาออก และมันสามารถจับกระแสจิตของเขาได้ อย่างในการสั่งให้สนุขวิ่งไปที่โต๊ะแล้วคาบเอาหนังส่อที่วางอยู่บนนั้นมาให้เขา

ดูรอฟก็จะเริ่มการส่งโทรจิตด้วยการจับหัวสุนัขตัวนั้นเข้ามาไว้ในระหว่างมือทั้งสองข้าง แล้วก็จ้องมองมันตาเขม็ง จากนั้นเขาจะค่อยๆ ถ่ายทอดคลื่นความคิดเข้าไปในดวงจิตของมัน อธิบายถึงสิ่งที่จะให้มันทำทีละขั้นตอนด้วยจิตต่อจิตโดยไม่ปริปากพูดเลยสักคำ แล้วสุนัขแสนรู้ของเขาก็วิ่งปร๋อเข้าไปคาบหนังสือมาให้เขาดังประสงค์ สร้างความประหลาดใจและประทับใจแก้ผู้ชมยิ่งนัก

หลังจากที่เฝ้าดูละครสัตว์ของดูรอฟแสดงอยู่ได้ไม่นาน
วลาดิมีร์ เบคห์เทเรฟ (พ.ศ.2400-2470) นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโซเวียต ก็อดรนทนไม่ไหวต้องกระโดดเข้ามาศึกษาในเรื่องนี้ และผลการศึกษาก็เป็นที่น่าพอใจมาก เพราะดูรอพสามารถส่งกระแสจิตให้สุนัขของเขาทำตามคำสั่งได้แม้ว่าสุนัขตัวนั้นจะไม่เห็นตัวเขาก็ตามและที่ทำให้เบคห์เทเรฟปักใจเชื่อในเรื่องการส่งถ่ายความคิดนี้ยิ่งก็คือ คำสั่งเหล่านั้นเขารู้เพียงคนเดียวโดยที่ดูรอพไม่เคยรู้มาก่อนเลย

จากงานทดลองร่วมกับดูรอพนี่เองที่ทำให้เบคห์เทเรฟมีแรงหนุนเนื่องให้หันมาศึกษาเรื่องของโทรจิตอย่างจริงจัง หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นหัวหน้าสถาบันวิจัยสมอง แห่งมหาวิทยาลัยเลนินกราด

ในปี 2465 เขาตั้งคณะกรรมการเพื่อการศึกษาการสะกดจิต และทดลองส่งกระแสจิตระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ขึ้นในการทดลองครั้งหนึ่งบันทึกไว้ว่า

ส่ง : รูปสามเหลี่ยมที่มีรูปวงกลมอยู่ข้างใน ผู้รับก็สนองตอบในทันที (วาดรูปเป้า)
ส่ง : ภาพเครื่องจักรวาดด้วยดินสอแบบง่ายๆ ผู้รับก็ปฏิบัติตามได้อย่างแน่นอนและยังตรวจดูเส้นร่างรูปของเครื่องจักรใหม่อีกตั้งหลายครั้ง

ในปี พ.ศ. 2467 เบคห์เทเรฟได้ตัวผู้ที่อุทิศตนให้กับการทดลองทางโทรจิตอีกคนหนึ่ง คือ ลีโอนิค แอล. วาซิลิเอฟ (พ.ศ. 2434 - 2509) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเขาเอง (ต่อมาได้เป็นศาสตรจารย์ทางประสาทสรีระวิทยาประจำสถาบันวิจัยสมอง)

วาซิลิเอฟปักใจเชื่อในเรื่องของโทรจิตที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เนื่องจากประสบการณ์ที่เขาต้องเอาชีวิตเข้าแลก ตอนอายุ 12 ขวบ
เขาตกลงไปในแม่น้ำและเกือบจะจมน้ำตายเขาบอกผู้ปกครองของเขาฟังว่า
เธอเห็นเขากำลังจะจมน้ำและยังเห็นรายละเอียดอีกด้วยว่า หมวกสีขาวใบใหม่ของเขาถูกพัดพาไปับกระแสน้ำด้วยนี่เองที่ทำให้วาซิลิเอฟต้องหันเหชีวิตมาทุ่มเทให้กับการศึกษาทางโทรจิต เพื่อหาข้ออรรถาธิบายทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องนี้

อีกสองปีต่อมา วาซิลิเอฟได้ดำเนินชุดการทดลองของเขาเองที่โรงพยาบาลเลนิน กราด ซึ่งเป็นการศึกษาการสะกดคนให้คนที่ถูกสะกดจิตแสดงกิริยาท่าทางอันน่ารำคาญเล็กๆ น้อยๆ เช่น ให้ยกแขน ยกขา หรือแม้กระทั่งเกาจมูก เขาประสบความสำเร็จ 16 ครั้งจากการทดลอง 19 ครั้งภายหลังจากการที่ทดลองซ้ำ เขาก็ประกาศว่าการเคลื่อนไหวของร่างกายเนื่องจากจิตสำนึก หรือจิตไร้สำนึก อาจมีสาเหตุมาจากการสะกดจิตเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้แล้ววาซิลิเอฟยังพบอีกว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำให้บางคนหลับหรือตื่นได้โดยการควบคุมทางจิตระยะไกลแม้ว่าระยะจะไกลถึง 1600 กิโลเมตร ยิ่งกว่านั้นเขายังพบอีกว่า แม้จะจับเอาผู้ส่งกระแสจิตเข้าอยู่ใน กรงฟาราเดย์ (Faraday cage : ในนั้นเกือบจะไม่มีรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าใดๆ ผ่านเข้าไปได้เลย) ก็ไม่มีผลใดๆ ต่ออัตราความสำเร็จของเขา

แต่อย่างไรก็ตามวาซิลิเอฟก็ยังประสบความล้มเหลวในจุดมุ่งหมายหลักของเขาในการที่จะหาคำอธิบายพื้นฐานทางฟิสิกส์เกี่ยวกับโทรจิต
(ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขามีเสียงเล่าลือกันว่าเขาได้ทำการวิจัยอย่างลับๆ ให้กับรัฐบาลโซเวียตเพื่อศึกษาและนำเอากลไกของโทรจิตมาประยุกต์ใช้กับงานทางด้านการทหาร)

โทรจิตเป็นระบบการสื่อสารที่เกิดขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ

มิเกล คูนิ นักพลังจิตอีกคนหนึ่งที่สนใจงานพัฒนาด้านนี้ เชื่อว่าความกดดันทางอารมณ์สูงสุดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดของคนเรา เป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ทางอำนาจจิตได้ จากการศึกษางานด้านพลังจิตกับคนจำนวนมาก
เขาพบว่าอารมณ์ของคนเรานั้น เป็นสวตซ์ปิดเปิดการส่งโทรจิตธรรมชาติได้โดยอัตโนมัติอย่างเช่น เมื่อเราต้องประสบกับเหตุการณ์รุนแรง หรือเกิดอุบัติเหตุกับญาติพี่น้องหรือคนสนิท อารมณ์ที่เครียดสูงสุดนี้ก็จะเป็นตัวเปิดสวิตซ์การส่งหรือรับโทรจิตโดยฉับพลันทันที อย่างในกรณีที่เกิดกับทหารเรือดำน้ำรัสเซียคนหนึ่งซึ่งป่วยและต้องนอนพักอยู่ที่ฐานทัพ จึงไม่ได้เดินทางออกไปกับเรือเที่ยวนั้น พอตกบ่ายเขาก็ฝันไปว่า เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือกำลังดำลง เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปในเรือได้ ตัวเขาค่อยๆ จมลงไปในน้ำพร้อมกับเรือ เขาสำลักน้ำเข้าไปหลายอึกและรู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำตาย

จนบัดนี้เขายังจำฝันร้ายนั้นได้ติดตา เพราะหลังจากที่เราเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพ เขาก็ทราบว่าเพื่อนของเขาจมน้ำตายเนื่องจากติดอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือกำลังดำลงสู่ใต้ผิวน้ำ

นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า โทรจิตเป็นประสาทสัมผัสที่ 6 ของคนเรา ที่นอกเหนือไปจาก หู , ตา , ลิ้น , จมูก และกายซึ่งทุกคนมีความสามารถพิเศษทางโทรจิตนี้แฝงอยู่ หากแต่ถูกบดบังด้วยจิตใจที่หม่นหมอง ดังที่มีคำกล่าวอ้างกันอยู่เสมอว่าอำนาจทางโทรจิตของคนเรานั้นมีอยู่มากในคนรุ่นบรรพกาล และมาเหือดหายไปเมื่อมนุษย์มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น

ยูริ คาเมนสกี้ นักชีวฟิสิกส์ นักส่งกระแสจิต ผู้ร่วมทดลองกับคาร์ล นิโคลิเอฟ นักแสดงพลังจิตผู้ลือชื่อของรัสเซีย ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ความจริงแล้วคนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีความสามารถในการส่งและรับกระแสจิตด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสามารถพิเศษนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและแน่นอน

บางคนอาจมีความสามารถพิเศษนี้มากกว่าคนอื่นๆ
ในวิชาปรจิตวิทยา (Parapsychology) ของรัสเซียนั้นถือว่าผู้ส่งและผู้รับกระแสจิตนั้นมีความสำคัญเท่ากัน เพราะถ้าผู้ส่งกระแสจิตส่งมโนภาพที่เลือนลางมาให้เราก็จะได้แต่ภาพที่เลือนลางนั้นด้วย

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้รับและผู้ส่งข่าวสารทางจิตจักต้องฝึกปรือกันมาอย่างดี และต้องสามารถสร้างมิตรสัมพันธ์ทางจิตหรือรับคลื่นกระแสจิตให้เข้ากันได้เป็นอย่างดีด้วย

คาเมนสกี้ ให้คำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการเป็นนักโทรจิตว่า จงทำตัวให้สบายผ่อนคลายอารมณ์ ลดภาวะความตรึงเครียดทางกายและทางใจลง และควรจะกำจัดความกังวลหรืออารมณ์ที่ขุ่นมัวออกให้หมดสิ้น จงทำให้มีความเชื่อมั่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเริ่มส่งข่าวสารทางจิตไปยังผู้รับนั้น ปล่อยใจให้ล่องลอยจงแน่วแน่อยู่กับข่าวสารและข้อมูลที่จะส่งพร้อมกับนึกถึงหน้าของผู้รับกระแสข่าวสารทางจิตจากเราให้กระจ่างอยู่ในดวงจิต เมื่อท่านฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จนมีความคุ้นเคยและสามารถปรับคลื่นกระแสจิตเข้ากันได้แล้ว ในไม่ช้าไม่นานท่านก็จะเปรียบเสมือนมี โทรจิเตอร์ (เครื่องรับส่งโทรจิต) ติดตัว ใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกสภาวะดินฟ้าอากาศ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะนักฟิสิกส์ชาวรัสเซียเชื่อว่าอำนาจจิตธรรมชาตินั้นน่าจะเกิดมาจากความสอดคล้องกันระหว่างคลื่นสมองของผู้ส่งและผู้รับที่มีอำนาจสัมพันธ์กันซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปสามารถฝึกปรับระดับจิตของพวกเขาให้เข้ากันได้ภายใน 3 เดือน (จริงหรือไม่คุณลองฝึกเอาดูแล้วกัน)

แล้วยังมีข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกโทรจิต ถ้าจะให้ได้ผลสูงสุด
นอกจากจะปฏิบัติตามข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว เราควรจะมีการนัดหมายเวลาเพื่อให้ปฏิบัติพร้อมเพรียงและสอดคล้องกัน (ในที่นี้หมายถึงต้องสอดคล้องกันทั้งทางกาย จิตใจ และเวลาด้วย) ดร.อิปโปลิท โคแกน เป็นนักวิทยาศาสตร์รัสเซียอีกท่านหนึ่งที่มีความสนใจในงานด้านโทรจิต และได้นำเอาระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษางานด้านนี้ที่สำคัญคือ เขาได้นำเอาเครื่องมือทดสอบอีอีจี หรือเครื่องวัดคลื่นสมอง (Electroencephalograph)มาใช้ในการทดลองการส่งและรับกระแสจิต ซึ่งจะแสดงให้เห็นตำแหน่งของการโฟกัสคลื่นความคิดในสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น เมื่อผู้รับได้รับภาพ ก็จะทำให้เกิดคลื่นกระตุ้นที่สมองส่วนออกซิปิตอล (occipital lobe)

ซึ่งเป็นสมองส่วนที่กี่ยวกับการมองเห็นหรือถ้าได้รับกระแสจิตเกี่ยวกับเสียงเข้ามา ก็จะเกิดคลื่นกระตุ้นขึ้นที่สมองส่วนเทมพอรอล (temporal lobe)
ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวกับการได้ยินเสียงเมื่อรัสเซียก้าวเข้าสู่สมัยอวกาศ มีการส่งดาวเทียมขึ้นโคจรรอบโลก และส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปล่องลอยในอวกาศการทดลองทางโทรจิตของเขาก็ก้าวตามขึ้นไปด้วย

นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียได้แย้มเรื่องราวดังกล่าวเมื่อครั้งที่ไปประชุมเกี่ยวกับมนุษย์อวกาศที่กรุงปารีส ในประเทศฝรั่งเศส พ.ศ.2509 ว่า นักวิทยาศาสตร์ระดับมันสมองของพวกเขาจำนวนมากเชื่อว่า การวิจัยค้นคว้าทางพลังจิตนั้นนับว่ามีความสำคัญต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆ มากโดยเฉพาะในการผจญภัยในอวกาศนั้น มนุษย์ควรนำเอาพลังจิตไปใช้ในกาสื่อสาร

เป็นที่ทราบกันดีว่ารัสเซียพยายามอย่างยิ่งที่จะฝึกมนุษย์อวกาศของพวกเขาให้มีความสามารถที่จะนำเอาโทรจิตไปใช้เป็นระบบสื่อสารส่วนบุคคลในอวกาศพวกเขาได้ฝึกการเพ่งสมาธิตามหลักการฝึกพลังจิตของโยคี และฝึกการส่งและรับกระแสจิตติดต่อกันระหว่างมนุษย์อวกาศกับผู้ที่อาศัยอยู่บนโลกนับครั้งไม่ถ้วน

และนอกจากนี้แล้วยังฝึกหัดการสะกดจิตตัวเองเพื่อนำไปใช้ในการเดินทางท่องอวกาศเป็นเวลานานแสนนานอีกด้วยอย่างไรก็ตามเรื่องเหล่านี้ก็รู้มาเพียงระแคะระคายเท่านั้น เพราะข้อมูลและผลการทดลองนั้น พี่รัสเซียเขาเก็บไว้เป็นความลับ ที่รั่วไหลออกมาก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง
เพราะจริงๆ แล้วรัสเซียกำลังนำเอาพลังจิตไปใช้ในงานทางด้านการทหาร
ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งให้แก่ข่ายการติดต่อสื่อสารแบบที่เรียกว่าศัตรูตรวจจับไม่ได้ และที่สำคัญกว่านั้นข่าวแว่วเข้ามากระทบหูว่า รัสเซียกำลังสร้างอาวุธพลังจิต เพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้ารัสเซียในเรื่องนี้ สหรัฐก็ได้ทำการทดลองรับและส่งกระแสจิตติดต่อระหว่างนักบินที่อยู่บนอวกาศกับคนที่อยู่บนพื้นโลกบ้าง

การทดลองนี้ทำกันขึ้นเมื่อครั้งที่ส่งอพอลโล 14 ขึ้นไปดวงจันทร์ โดยมีนักบินอวกาศ อี ดี มิทเชลล์ เป็นผู้ส่งภาพของไพ่ อีเอสพี มายังผู้รับซึ่งเป็นนักพลังจิต 4 คนบนโลก แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า

การทดลองครั้งนี้ทำได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะมิทเชลล์มีภาระหน้าที่อันหนักหน่วงต้องทำ (เรื่องที่เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า สหรัฐล้าหลังรัสเซียอยู่ประมาณ 30 – 50 ปี ทีเดียว)

ในอนาคตกาลนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่า
โทรจิตจะกลายเป็นระบบสื่อสารที่นำมาใช้ติดต่อกันในยามฉุกเฉิน
เช่น กรณีที่เครื่องมือติดต่อสื่อสารบนยานอวกาศขัดข้อง
และถ้าหากมนุษย์อวกาศได้รับการฝึกพลังจิตด้านอื่นๆ เช่น

การรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) ด้วยแล้ว อาจจะช่วยในการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่จะเกดขึ้นในการเดินทางด้านยานอวกาศที่มีความเร็วสูง
ยิ่งกว่านั้นนักปรจิตวิทยายังคาดหวังไว้ว่า

การสื่อสารทางจิตนี้จะเป็นสื่อภาษาสากลจักรวาลที่มนุษย์โลกจะใช้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวกาแล็คซีอื่นได้อันจะเป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างโลกและอายธรรมในกาแลคซีและในมวลเอกภพแห่งนี้





Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 30 ธันวาคม 2564 16:15:36 น. 0 comments
Counter : 3010 Pageviews.

Peakroong
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]





"หากต้องตัดสินใครสักคน

เริ่มจาก "ทำไม"คงจะดีกว่า"อย่างไร"

เพราะสิ่งที่มองเห็นไม่แน่ว่ามีอยู่จริง

สิ่งที่มองไม่เห็นใช่ว่าไม่มี

สิ่งที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่

สิ่งที่ไม่คิดว่าใช่สำหรับคุณ

มันอาจใช่เลยสำหรับใครอีกคน"


"
๐ ให้ลมหายใจของใบไม้เป็นบันทึกคนกล่อง
คำเขียนของคนล้มลุกคลุกคลาน
แต่ยังมีลมหายใจเป็นของตัวเอง
แม้ไม่ใช่ทุกอย่างที่มีหากเป็นทุกอย่างที่เป็น
เก็บความว่างเปล่าไว้เติมเต็ม..

๐ ขอบคุณตัวละครทุกตัว
ทั้งที่มีอยู่จริงและที่ไม่มีตัวตน
ขอบคุณวันเวลา-ครูบา-อาจารย์
ที่สอนให้เก็บเกี่ยว ฝึกให้คิด สอนให้เขียน

๐ ขอบคุณเพื่อนเพื่อนชาวไซเบอร์
ที่กรุยทางให้สร้างสรรรค์บล็อคได้เท่าใจ
ขอบคุณทุกภาพงดงามจากบล็อกน้องญามี่ขอบคุณ https://www.thaipoem.com
ที่ให้เพลงประกอบเป็นอมตะนิรันดร์กาล

๐ ขอบคุณความเป็นเธอ..
ที่ส่งผ่านการ"ให้"มาเสมอฝัน
ขอบคุณความเป็นฉัน..
คนเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างวันมาถักทอ


'ปีฆรุ้ง
27 มกราคม 2553


Friends' blogs
[Add Peakroong's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.