Welcome(ยินดีต้อนรับ)
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 

พ่อจ๋าแม่จ๋า…อย่าฆ่าหนู /ดร.แพง ชินพงศ์

พ่อแม่ถือเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของลูก อาจกล่าวได้ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ สิ่งนี้จึงเป็นความกังวลของพ่อแม่หลายคนว่าเราจะเลี้ยงลูกอย่างไรดีนะ ที่จะให้เขาเติบโตขึ้นเป็นคนดีมีคุณภาพได้ จริง ๆ แล้วพ่อแม่แต่ละคนก็มีวิธีการและเทคนิคในการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกัน แต่พ่อแม่เคยสำรวจดูตัวเองกันบ้างไหมว่า การเลี้ยงลูกของเราเหมือนเป็นการฆ่าเขาไปในตัวด้วยหรือเปล่า เราอาจจะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆว่ามีลูกหลายๆคนที่ทำให้พ่อแม่มีความทุกข์ เช่น ทำตัวดื้อ ไม่เชื่อฟัง หรือเกเร แต่ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่ก็อาจทำร้ายหรือฆ่าลูกทั้งเป็นด้วยการเลี้ยงดูของเรานี่เอง ซึ่งพอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้

1.พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็นเทวดา พ่อแม่ประเภทนี้มี 2 แบบคือ

- พ่อแม่ที่คิดว่าลูกตนเหนือมนุษย์คนอื่น เช่น ลูกเราเก่งกว่า ดีกว่า หล่อกว่า สวยกว่า พ่อแม่ประเภทนี้มักยกยอปอปั้นลูกเกินควร ผลร้ายของการเลี้ยงดูลูกแบบนี้ก็คือ เด็กจะเป็นคนหลงตัวเอง รู้สึกดูถูกคนอื่น มักมีปัญหาในการปรับตัวและอยู่กับคนอื่นลำบาก

- พ่อแม่ที่เอาอกเอาใจลูกมากเกินไป ไม่เคยตักเตือนหรือช่วยแก้ไขเมื่อลูกทำผิด เวลาที่ลูกมีปัญหาอะไรพ่อแม่ก็ช่วยคิดช่วยจัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง และเมื่อลูกอยากได้อะไรแม้จะเป็นสิ่งที่มีราคาแพงหรือลำบากยากเย็นมากแค่ไหนก็ต้องหามาให้จนได้ ผลร้ายที่เกิดขึ้นกับลูกที่พ่อแม่เลี้ยงแบบเอาอกเอาใจมากเกินไปก็คือ เด็กจะเป็นคนชอบพึ่งพาคนอื่น ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง มีอะไรชอบโทษคนอื่นไว้ก่อน และเห็นแก่ตัว

2.พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็นนักโทษ พ่อแม่ประเภทนี้มักชอบกดดัน ข่มขู่และลงโทษลูกอย่างรุนแรงทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจเกินกว่าเหตุ เช่น การเฆี่ยนตีลูกอย่างรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก การด่าว่าลูกด้วยถ้อยคำหยาบคาย การพูดจาประชดประชัน การประจานให้เจ็บใจและอับอาย การกระทำเหล่านี้สร้างบาดแผลร้าวลึกที่ฝังลงในจิตใจของลูกซึ่งจะส่งผลให้ลูกเป็นคนดื้อ ก้าวร้าว ดุร้าย อารมณ์รุนแรง ต่อต้านสังคม มองว่าตนเองไม่มีคุณค่า และชอบประชดชีวิตตัวเองในทางตกต่ำ

3.พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็นนาย/นางอิจฉา กรณีนี้มักเกิดขึ้นในครอบครัวที่มีลูกมากกว่า1คน โดยพ่อแม่ให้ความรักแก่ลูกไม่เท่าเทียมกัน เช่น อาจจะรักลูกชายมากกว่าลูกสาว รักลูกคนเล็กมากกว่าลูกคนโต ไม่ค่อยรักลูกคนกลาง หรือในบางกรณีที่พ่อมีภรรยาหลายคนอาจจะรักลูกที่เกิดจากภรรยาคนหนึ่งมากกว่าอีกคนหนึ่ง ผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกคือ เป็นคนขี้อิจฉา ขี้หึง ขี้หวง หวาดระแวง เข้ากับคนอื่นได้ยาก ใจน้อย ทิฐิสูง ไม่รู้จักพอ และชอบเอาชนะชิงดีชิงเด่นกับคนอื่น

4.พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเป็นคนขี้เหงา มักเกิดขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่ทำแต่งานไม่เคยสนใจลูก หรือในครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้าง บางรายต้องเอาลูกไปฝากไว้ให้คนอื่นเลี้ยง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกห่างเหิน ซึ่งผลร้ายที่เกิดขึ้นกับลูกที่พ่อแม่เลี้ยงแบบทิ้งขว้างนี้คือ ลูกจะเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขี้เหงา โหยหาความรัก ถ้าโตขึ้นอาจกลายเป็นคนจำพวกชอบมีกิ๊กเยอะๆแต่ไม่ชอบผูกพันกับใคร เพราะจะรู้สึกว่าตนเองมีค่ามากกว่าเมื่อได้รับความรักความสนใจเป็นพิเศษจากคนหลายๆคนในเวลาเดียวกัน





แล้วพ่อแม่แบบไหนล่ะ ที่น่าชื่นชม

1.พ่อแม่ที่มีคุณธรรม พ่อแม่ควรทำความดีต่างๆให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง เช่น พูดจาดี มีความคิดที่ดี มีจิตใจที่เมตตากรุณา รวมถึงการให้ความยุติธรรมกับลูก ให้อภัยเมื่อลูกทำสิ่งที่ผิดพลาด และไม่จ้องจับผิดลูก

2.พ่อแม่ที่เข้าใจในพัฒนาการของลูก พัฒนาการของเด็กแต่ละวัยนั้นมีความแตกต่างกัน พ่อแม่จึงควรใส่ใจและศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้ เพื่อที่จะรู้ถึงวิธีส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจและสติปัญญา และรู้วิธีแก้ไขเมื่อลูกมีพฤติกรรมและพัฒนาการที่ผิดไปจากเกณฑ์ปกติ

3.พ่อแม่ที่เข้าใจในความรัก เริ่มตั้งแต่ความเข้าใจในความรักของตัวพ่อและแม่เอง ที่ทั้ง2ฝ่ายต้องมีความรักที่แน่นแฟ้น มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งเมื่อพ่อแม่รักกันลูกก็อบอุ่นมีความสุข นอกจากนั้นแล้ว พ่อแม่ต้องเข้าใจในความรักที่มีต่อลูกให้ถูกต้องด้วย ความรักที่ดีต้องไม่มีเงื่อนไข ต้องรักลูกในแบบที่เขาเป็น แม้ว่าเขาจะไม่หล่อ ไม่สวย ไม่น่ารัก ไม่เก่ง แต่เขาก็คือลูกของเรา ความรักอาจช่วยให้ลูกหล่อไม่ได้ สวยไม่ได้ เก่งไม่ได้ แต่ช่วยให้เขาเป็นคนอบอุ่นและมีจิตใจที่ดีได้

4.พ่อแม่ที่ส่งเสริมให้ลูกมีความเชื่อมั่น การที่พ่อแม่ทำให้ลูกมีความรู้สึกปลอดภัย โดยไม่ใช้อารมณ์ดุด่าหรือตำหนิลูกโดยไร้เหตุผล จะทำให้เขาเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง กล้าเรียนรู้ในสิ่งใหม่ เป็นคนที่กล้าตัดสินใจและมีความคิดสร้างสรรค์

5.พ่อแม่ที่ยอมรับลูกอย่างที่เขาเป็น พ่อแม่ควรยืดหยุ่นและให้อิสระลูกได้แสดงออกตามวัย เพราะนั่นเป็นการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้แก่ลูกที่เขาสามารถคิดหรือทำอะไรด้วยตนเองได้ อย่าบังคับหรือกดดันลูกจนเกินไป เพราะเขาจะรู้สึกมีปมด้อยว่าทำนั่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ จนพาลจะไม่ยอมคิดไม่ยอมทำอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้ามก็ไม่ควรปล่อยปละจนถึงขั้นไม่อบรมสั่งสอน เพราะจะทำให้ลูกไม่รู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร

การเลี้ยงดูลูกก็เหมือนเราปลูกต้นไม้ ถ้าปลูกแล้วปล่อยทิ้ง ไม่รดน้ำ ไม่ใส่ปุ๋ย ไม่ตัดกิ่งก้านใบที่แห้งที่เสีย หรือถ้ารดน้ำมากไป ใส่ปุ๋ยมากไป ต้นไม้ก็อาจตายได้ในสักวัน ถ้าพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกของเราเป็นเหมือนต้นไม้ที่ถูกทำให้ตายแบบนี้ ยังไม่สายที่วันนี้เราจะเริ่มต้นดูแลต้นไม้เล็กๆของเราต้นนี้ ด้วยความรัก ความเข้าใจและความเอาใจใส่ให้เติบใหญ่เป็นต้นไม้ที่สวยงามและมั่นคงแข็งแรงตราบนานเท่านาน



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 มีนาคม 2552 17:15 น




 

Create Date : 04 มีนาคม 2552
1 comments
Last Update : 4 มีนาคม 2552 18:10:16 น.
Counter : 657 Pageviews.

 

Very good ka.

 

โดย: CrackyDong 4 มีนาคม 2552 18:33:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


nunjoy
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




การเป็นตัวของตัวเองอะแหละดีที่สู้ดดดดด!
Friends' blogs
[Add nunjoy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.