|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สังเกตเสียงร้องของลูกน้อย 4 คำที่มีความหมาย
บางคนอาจคิดว่าเสียงร้อง อ้อแอ้ ของเด็กทารกนั้น เป็นเพียงเสียงที่เกิดจากความไร้เดียงสาของเด็กน้อย แต่หากคุณแม่คนไหนอยากจะเป็น ซูเปอร์มัม คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่แล้วหันมาสังเกตลูกน้อยของเราว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ เพราะแต่ละคำที่ออกจากปากของเขาล้วนมีความหมายทั้งสิ้น
ทางแป้งเด็กแคร์ได้ทำการศึกษากลุ่มคุณแม่ส่วนใหญ่ พบว่ามักจะประสบปัญหาการไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงในการส่งเสียง อ้อแอ้ ของลูก ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในสิ่งที่ลูกสื่อสารออกมาได้ และยังส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจของลูกอีกด้วย ซึ่งคุณแม่สามารถเริ่มต้นกับการเปิดเผยความลับ ภาษาเด็กทารก ของเด็กไทยวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน กับแคมเปญ แคร์ ไขปริศนาหาความสุขเพื่อลูกน้อย ที่จะพาคุณแม่คนเก่งทั้งหลายไปหาคำตอบว่า สิ่งที่ลูกน้อยของคุณส่งเสียงออกมานั้น เขาต้องการอะไร ลูกหิวหรือไม่ อาจจะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว หรือว่าง่วงนอน
พริสซิลา ดันสแตน ผู้เชี่ยวชาญการสื่อสารภาษาเด็กทารกระดับโลก ให้ความรู้กับคุณแม่มือใหม่ว่า เด็กทารกคนไทยวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน จะสื่อสารออกมาด้วยภาษาสากลหลักๆ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ทั้งหมด 4 คำ ได้แก่
1.เฮะ ถือเป็นเสียงที่เด็กร้องบ่อยที่สุด เพื่อบอกคุณแม่ว่าลูกกำลังรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งอาจจะเกิดจากความเปียกชื้น ร้อน เหนียวตัว เนื่องจากประเทศไทยมีภูมิอากาศร้อนชื้น อบอ้าว ทำให้ผิวทารกเปียกชื้นได้ง่าย เกิดความระคายเคืองแก่ผิว โดยคุณแม่ดูแลด้วยการอาบน้ำและทาแป้งโรยตัว เพื่อป้องกันการเปียกชื้นและยังป้องกันไม่ให้เกิดผดผื่น
2.เอ๊ะ บอกถึงอาการที่ลูกน้อยมีลมในท้อง คุณแม่ควรดูแลด้วยการอุ้มลูกขึ้นมาประคองศีรษะลูกให้พาดบ่า โดยกันหน้าเข้าหาคุณแม่แล้วตบหลังลูกเบาๆ หรืออาจจะอุ้มลูกให้ลุกขึ้นมานั่ง โน้มตัวลูกไปข้างหน้าเล็กน้อยและตบหลังลูกเบาๆ ก็ได้เช่นกัน
3.อาว หากลูกเปล่งคำนี้ออกมา นั่นหมายความว่าลูกกำลังง่วงนอนและอยากจะพักผ่อนเต็มทนแล้ว
4.อึนเนะ เสียงร้องนี้มีความหมายว่าลูกกำลังกระหายน้ำหรือหิวนม อยากให้คุณแม่ป้อนนม ป้อนน้ำให้รู้สึกอิ่ม
ด้านศาสตราจารย์แพทย์หญิงอลิสา วัชรสินธุ หัวหน้าหน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวถึงข้อดีของการที่คุณแม่เข้าใจภาษาเด็กทารก เพราะจะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการด้านต่างๆ ที่ดีขึ้น
พัฒนาการที่ดีขึ้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาการด้านร่างกาย เมื่อแม่ดูแลเอาใจใส่ให้ลูกเกิดความรู้สึกสบายตัว หรือได้รับอาหารที่พอเหมาะกับความต้องการ พร้อมกับการพักผ่อนที่เพียงพอ เด็กทารกก็จะเติบโตแข็งแรงและส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์ตามมา 2.พัฒนาการด้านจิตใจ เด็กจะรู้สึกมั่นใจปราศจากความวิตกกังวลและไว้ใจแม่หรือผู้เลี้ยง รวมถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว 3.พัฒนาด้านสังคม เด็กจะพัฒนาปฏิสัมพันธ์กับแม่หรือผู้เลี้ยงดูในทางบวก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาการความสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญยังฝากบอกถึงวิธีการฟังเสียงลูกน้อยให้ได้ผลคือ คุณแม่จะต้องเลี้ยงลูกเอง และควรอยู่กับลูกตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อสังเกตความแตกต่างในเสียงร้องของลูก ถ้าเป็นไปได้ควรอัดวิดีโอเอาไว้เพื่อที่จะได้นำกลับมาดูซ้ำ ซึ่งหากได้สังเกตพฤติกรรมลูกไปนานๆ และจดบันทึกอย่างชัดเจน ไม่นานคุณแม่ก็จะจดจำและรับรู้ความรู้สึกจากเสียงของลูกได้ไม่ยากเลย
ที่มา: //women.kapook.com/baby00069/
Create Date : 28 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 13:40:39 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1074 Pageviews. |
|
|
|
โดย: postlab วันที่: 1 ธันวาคม 2551 เวลา:10:50:58 น. |
|
|
|
โดย: oh my IP: 180.222.144.107 วันที่: 27 เมษายน 2554 เวลา:9:36:04 น. |
|
|
|
|
|
|
|
...หรือเรายังแยกไม่ออกก็ไม่รู้นะ....