กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
2
3
4
6
7
8
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
 
All Blog
เล่นหุ้นรายวันคือการเดาอย่างมีศิลปะ

วันหนึ่งผมถามลูกศิษย์ว่า  ทำไมเลือกเล่นหุ้นตัวนี้ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ อาจเสี่ยงมากไปสักหน่อย  ลูกศิษย์ว่า คิดว่าน่าจะขึ้นได้ แต่ไม่มีเหตุผลสนับสนุน  วันรุ่งขึ้นก็โพสในสโลแกนของโปรแกรมพูดคุย skype ว่า การเล่นหุ้นคือการเดาอย่างมีศิลปะ      ตรงใจผมจริง ๆ


วันนี้มาคุยกันเรื่องหุ้นว่า  ผู้คนทั้งหลายเขาเล่นกันอย่างไร  ทำไมคนส่วนมากยังต้องถามนักวิเคราะห์บ้าง เพื่อนผู้รู้นำบ้าง คำตอบคือ ขอความมั่นใจเป็นกำลังใจสนับความเห็นส่วนตัวที่เล่นหุ้นตัวนั้น ๆ นั่นเอง บางท่านผ่านการเสียเงินค่าเรียนวิชากราฟเป็นเงินหมื่นแล้ว  ก็ยังต้องเที่ยวถามไปทั่วอีก  สิ่งที่ฝังไว้ในใจคือความไม่มั่นใจ  ไม่เชื่อเพราะตนเองพบกับตัวว่า กราฟบอกขึ้น แต่ของจริงลง  เครื่องมือบอกจะขึ้น แต่ของจริงพลิกผันจนจับทางไม่ถูก  จึงไม่มั่นใจ จนแล้วจนเล่า เวลาผ่านไปแค่ไหนก็ไม่ชัวร์


สุดท้ายต้องคอยถามนักวิเคราะห์เสมอว่า แนวต้านเท่าใด แนวรับตรงไหน ถึงจะมีคำตอบจากนักวิเคราะห์มาจดไว้ ราคาก็ยังพลิกผัน  จนบางท่านเลิกนับถือกันเลย  หาว่าหลอกกัน


นั่นคือความจริงของระบบการซื้อขายและระบบของตลาดหุ้น   ถ้านักวิเคราะห์รู้(โดยไม่มีข่าววงในเป็นตัวช่วย  ป่านนี้นักวิเคราะห์ กี่ร้อยพันคน คงรวยกันคนละหลายร้อยพันหมื่นล้านแล้ว) เขาคงไม่มานั่งตอบคำถามให้เราหรอก   นักวิเคราะห์ที่เก่งก็เหมือนหมอดูที่ชำนาญ นอกจากรู้แนวทางเดินของหุ้นว่าความน่าจะเป็นไปได้อย่างไร ยังต้องรู้ใจและนิสัยคนเล่นที่ถามมาด้วย  ดังนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ศิลปการพุดครองใจคน ปลอบใจคน และให้กำลังใจคนเล่นเป็นสำคัญ  ส่วนวิชาที่ปล่อยออกมาแม้ไม่อาจตอบว่า " ฟันธง" ก็ต้องมีศิลปการเดาให้ดี


ชาวหุ้นมือใหม่ควรศึกษาเรียนรู้จากรุ่นเก่าด้วยประสพการณ์ แต่รู้จักคนรุ่นใหม่ทางวิชาการ  หากสองอย่างผสานรวมกันได้ดี เล่นอย่างงัยก็มีโอกาสได้มากกว่าเสีย  ต่างกันที่ได้มากหรือน้อยเท่านั้น


เล่นหุ้นคือศิลปทางกลยุทธที่เหนือกว่าการค้าอื่นใดเสียอีก  แต่คนส่วนใหญ่ที่เล่นโดยใช้หลักการทางตั้งรอรับ ไม่ใช่ตั้งรุก  โดยมีความคิดว่า ตนเองรายย่อยไม่มีอิทธิพลต่อการเข้ารวมการสร้างราคาได้  จึงมักเล่นด้วยวิธีรับไม่รุก  เช่นเวลาจะซื้อต้องตั้งรอซื้อ  เวลาขายก็ตั้งรอขาย หรือไม่ก็นั่งรอคนอื่นทำจนราคามาถึงใจคิด แต่หากรู้วิธีรุก ก็อาจดักทางเดินไว้ สองทาง แบบที่ว่าปิดหัวกินหาง ปิดหางได้หัว  การทำเช่นนั้นได้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เช่นพื้นความรู้ความชำนาญ  มีความกล้าหาญในทางที่ถูก มีโปรแกรมเครื่องมือที่ดีช่วย และไม่โลภมากจนเกินจริง สุดท้ายคือวินัยที่เข้มงวด


แล้วจะมาคุยกันต่อไปวันหน้า







Free TextEditor



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2554 21:19:44 น.
Counter : 4040 Pageviews.

4 comments
  
ยินดีที่ได้อ่านข้อคิดดีๆ จากอ.nowya อีกครั้งครับ

คนส่วนมากขาดความมั่นใจ
เพราะความรู้ที่ได้ศึกษามามากมาย
ไม่สามารถให้คำตอบที่แม่นยำพอทำเงินได้
พอหุ้นตกจนกลัว ก็ขายหมา ซื้อหมาอีกตัว
พอหุ้นขึ้นจนฮึกเหิม ก็ขายหมูผอม ไปซื้อหมูที่เตรียมโดนเชือด
แล้วหมูผอมที่เพิ่งขายไปก็โดนขุนจนอ้วนคาตา
ฯลฯ

สรุปคือรายย่อยโดนปั่นจนใช้วิชาไม่ถูกจังหวะนะเอง.
โดย: teeranet IP: 183.89.164.242 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:42:22 น.
  
ติดตามอ่านบทความอยู่เสมอ ขอบคุณครับ
โดย: จิ้งจกเขียว IP: 183.89.255.86 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:45:27 น.
  
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ

เคยเจ๊บเพราะหุ้นมา แต่เคยรวยเพราะหุ้นเหมือนกัน ขนาดส่งลูกเรียนเมืองนอกได้

กำลังกลับมาลงทุนใหม่ แต่คราวนี้ขอ slow but sure ไม่เสี่ยงแล้ว เพราะอายุมากแล้ว ขอแบบสบาย ๆ ไม่นั่งติดหน้าจออีกแล้ว

จะติดตามมาอ่านบ่อย ๆ ต่ะ
โดย: ธารน้อย วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:46:03 น.
  
ชอบบทความนี้มากค่ะ ขอบคุณค่ะ
โดย: Supissara IP: 171.6.244.99 วันที่: 5 ธันวาคม 2557 เวลา:12:16:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nowya
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]



ชาวกรุงเทพฯ เล่นหุ้นมาตั้งแต่ตลาดหุ้นอยู่สยามเซ็นเตอร์ ผ่านการกำไรและเจ๊ง ครบทุกรส มองเห็นขบวนการปั่นราคา และมองเห็นรายย่อยที่เล่นเจ๊งกันต่อหน้าต่อตา ยืนอยู่หลัง ผจก ตลาดฯ สมัยมีคนจะฆ่าตัวตายที่อาคารสินธร
เห็นใจรายย่อยที่เข้ามาเล่นแบบไม่รู้อะไร แต่อยากรวยเร็ว ๆ ด้วยทุนน้อยๆ อยากเก็งกำไร แต่ไม่รู้อะไรคือวิถีการเก็งกำไร
จึงอยากมีส่วนในการช่วยชี้แนะบ้างเท่านั้นเอง
New Comments