Japan First Time (Part VI - Letter from Yokohama)

ญี่ปุ่นครั้งแรก ตอนที่

จดหมายจากโยโกฮาม่า



ใช่แล้วค่ะ วันนี้พวกเราโค้งคำนับอำลาโอซาก้าและเกียวโต

เพื่อไปโยโกฮาม่า และไปพักที่โตเกียวกันอีกสองคืนสุดท้าย

ว่าแต่...ทำไมต้องจดหมายจากโยโกฮาม่า

มันคือชื่อเพลงของพี่ปู พงษ์ศักดิ์ คัมภีร์ ซึ่งคุณนี้ดร้องขับกล่อมพวกเราสาวๆ ค่ะ 55

หลังจากผ่านเมืองของสาวๆ กันมาแล้ว ก็มาถึงเมืองที่คุณนี้ดขอเที่ยว

เพราะนอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ราเม็งแล้ว

สถาปัตยกรรมที่นี่ก็น่าสนใจสำหรับคนจบมาทางด้านนี้ด้วย

ซึ่งสาวๆ ไม่ค่อยเข้าใจหรอก สนใจแต่ถ่ายรูปตัวเองกับวิว กร๊ากกกก

แต่วันนี้อะไรๆ ก็ไม่ราบรื่น 

คือถ้าเมื่อวานเรียกเงิบ วันนี้ขอเรียกว่าพลาด (Fail)

ตั้งแต่ตื่นสาย อดไปอาราชิยาม่าตามที่คิดกันไว้เมื่อวาน (Fail1)

ก็เลยต้องเช็กเอาท์ กินอาหารเช้า ซึ่งเราเลือก western style 

จากนั้นพวกเราก็ลากกระเป๋าปุเลงๆ ขึ้นชินคันเซนไปสถานีชินโอซาก้า

เอ๊ยยยยย ผิดเมืองอีกแล้ว Shin Yokohama สิหล่อน (Fail2)

แล้วระหว่างทางนะ ดันนอนยังไงก็ไม่หลับ ต้องเขียนไดอารี่ยิกๆ

คนอื่นเค้าหลับปุ๋ยสบายใจจนเกือบถึงโยโกฮาม่ากันเลย



อาหารเช้าวันนี้ค่ะ



ถ้าโตเกียวเป็นเมืองหลวง คาวากูชิโกะเป็นเมืองตากอากาศ

เกียวโตเป็นเมืองเก่า โอซาก้าเป็นเมืองใหญ่

โยโกฮาม่าก็เป็นทั้งเมืองท่า เมืองใหม่ เมืองประดิษฐ์ และเมืองตะวันตก

ดูได้จากสถาปัตยกรรมและโบสถ์ที่เห็นได้ทั่วไปในเมือง

ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังไปเที่ยวฮ่องกงมาเก๊าอะไรทำนองนั้น

พอลงจากชานชาลาที่สถานีชินโยโกฮาม่า พวกเราก็ไปหาที่ฝากกระเป๋ากัน

ใครใช้กระเป๋าเดินทางไซส์ใส่ผู้ชายญี่ปุ่นกลับบ้านได้หนึ่งคน

ระวังกระเป๋าใหญ่เกินไปจนใส่ล็อคเกอร์ไม่ได้นะคะ ทีนี้ล่ะยุ่งแน่

แต่ของพวกเรายัดได้พอดี แถมมีที่เหลืออีกต่างหาก

จากนั้นก็ได้เวลาเดินตามหาพิพิธภัณฑ์ราเมนโยโกฮาม่ากันค่ะ

..........................................................................

ปกติเราไปไหนเราก็จะเสิร์จหาสถานที่แล้วเดินตาม Maps

แต่ทีนี้หายังไงก็หาไม่เจอ จนมารู้ว่า สะกดชื่อเป็น

Shin-Yokohama Raumen Museum (ไม่ใช่ Ramen = Fail3)

เพราะที่นี่ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ราเมนแห่งแรกของญี่ปุ่นนะคะ เลยต้องสะกดไม่ให้ซ้ำกัน

เดินจากสถานีมาพอสมควร ก็ถึงพิพิธภัณฑ์ที่หน้าตาเหมือนตึกแถว

เข้าไปยิ่งรู้สึกเลยว่ามันประดิษฐ์มากๆ เหมือนเพลินวาน

คือทางเข้ากับร้านขายของที่ระลึกสวยทันสมัยสไตล์จี้ปุ่น

แต่พอลงชั้นใต้ดินไปหาของกิน พี่แกตกแต่งซะดูน่ากลัว

มันมืดๆ ทึมๆ อับๆ แอบสกปรกนิดๆ เหมือนตรอกที่มียากูซ่ามาเก็บค่าที่

คือมันสมจริงนะ แต่...ไม่เหมาะกับการทำเป็นร้านอาหารเลย

และเงยหน้ามองเห็นท้องฟ้าสดใสกับเมฆขาว นึกว่า Venetian Macau

เอาเหอะ ช่างหัวเรื่องสถานที่และการตกแต่ง มาเข้าเรื่องอาหารกันเลยดีกว่า

ญี่ปุ่นก็ยังคงความน่ารักสไตล์ญี่ปุ่น พอลงมาถึงที่ปุ๊บ คุณลุงพนักงานต้อนรับมาเลยจ้า

อาสาถ่ายรูปรวมให้ แถมพูดไทยหลายคำได้ชัดเปรี๊ยะ แสดงว่าคนไทยคงมาบ่อย

โบรชัวร์ที่แจกมาให้เราเลือกดูร้านอาหารยังมีภาษาไทยเลย น้ำตาจะไหล

ถึงจะพิมพ์ผิดซะเป็นส่วนใหญ่แต่ก็อ่านเข้าใจได้นะคะ

ถ้ามีเวลาอยากจะอีดิท จัดหน้า ปรู๊ฟ และตรวจเลย์เอาท์ให้ใหม่เหลือเกิ๊น

แต่ตอนนี้หิวแล้วๆๆๆ เลือกร้านที่จะกินกันเหอะ พวกเราแยกย้ายกระจายตัว

นิกกี้เลือกร้าน Men-no-bo Toride

เลือก Signature Menu เส้นราเม็งเล็กราดด้วยน้ำซุปกระดูกหมูพร้อมไข่ยางมะตูม

วิธีการเลือกคือ ใส่เงินที่ตู้หน้าร้านและเลือกเมนู เลือกเครื่องดื่ม คูปองจะออกมา

จากนั้นก็เอาคูปองมายื่นให้พนักงานในร้านค่ะ

ราเม็งอร่อยใช้ได้ ถึงเราไม่ค่อยชอบเส้นเล็กเท่าไหร่ ก็กินจนหมดเกลี้ยง เพราะหิว



ดูไข่ต้มยางมะตูมนี่สิคะพี่น้องงงงง มันเจ้มจ้นมากกก!!!



ราเม็งเส้นเล็กไปหน่อยยยยย แต่มันเป็นจุดขายของร้านเค้า



จากนั้นเราก็ออกมาหากินอีกร้าน (ห๊ะ!) นั่นคือ Ikemen ราเม็งฟิวชั่นสไตล์ญี่ปุ่นผสมอเมริกัน

เพราะเป็นร้านที่เปิดโดยคนญี่ปุ่นอยู่ที่อเมริกาจนโด่งดัง ก่อนจะมาเปิดที่ญี่ปุ่น

เจ้าของยังหนุ่มยังแน่นหน้าตาดีมีรถขับโทรศัพท์ฉายสไลด์ใส่ผนังได้แต่อยู่แอลเอ จบ

อ้อ Fail4 คือเพิ่งรู้ว่าราเม็งทุกร้านมีไซส์เล็กให้เลือก เผื่อบางคนอยากชิมให้ครบทุกร้าน

แต่ร้านแรกดันสวาปามชามใหญ่ไปแล้วนี่สิ (--‘’) แต่ความตะกละ เอ๊ยความหิว

ทำให้เราสามารถกินชามเล็กได้อีก เป็นเมนูดังของร้านเช่นกัน ชื่อ Johnny’s Dip

เป็นการเอาเส้นราเม็งใหญ่เหนียวนุ่ม มาจุ่มกับซอสสูตรพิเศษของทางร้าน

อร่อยแบบแปลกๆ สมกับเป็นราเม็งฟิวชั่น



วิธีกินก็คือ เอาเส้นราเม็งไปจุ่มในน้ำจิ้มค่ะ



หลังจากอิ่มจนอืดดดดดดด ก็ได้เวลาเดินเล่น

บอกตามตรง ทุกคนคิดตเหมือนกันว่าบรรยากาศเหมือนหลุดเข้าไปในตรอกนางโลมโบราณ

ซึ่งความจริงมันไม่ควรเป็นแบบนี้ ทางเค้าคงตั้งใจให้ให้ออกมาแนวในหนัง

Always Sunset on the Third Street แต่ดันออกมาน่ากลัว มืดอับทึมเกินไป

หรือมีแต่พวกเราที่คิดวะเนี่ย คนอื่นเค้าว่าสวยกันหมด นับว่าเป็น Fail5 ละกัน 55555



ไม่รู้ว่าฉากกับคน ใครน่ากลัวกว่ากัน



จากนั้นพวกเราก็เดินกลับสถานี เพื่อนั่งรถไฟไปสถานี Nihon Odori

และสถานที่ต่อไปคือท่าเรือโยโกฮาม่าหรือ Osanbashi Yokohama International Pier

แต่ก็เกิด Fail6 คือ รถไฟไปได้กลางทางก็จอด 

และประกาศอะไรไม่รู้ “!@#%*)นิฮงโอโอริ”

อ่ะ ได้ยินคำนี้ สบายใจละ รถไฟจอดแช่ไปเลยค่ะ ครึ่งชั่วโมง

สักพักประตูปิด เฮ้ยยยยยยย!!! รถไฟมันย้อนกลับทางเดิมว่ะแกร

แล้วที่เฟลกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ก็คือเน็ตเสรือกมาใช้ไม่ได้ห่าเหวอะไรตอนนี้

สรุปย้อนกลับมาชินโยโกฮาม่า ดูรถไฟดีๆ แล้วนั่งไปใหม่อีกรอบ

..............................................................................


ท่าเรือโยโกฮาม่ามีด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยนะตัวเอง

เพราะมีเรือโดยสารข้ามประเทศด้วย แถมวันนี้บรรยากาศคึกคักสุดๆ

เพราะมีเรือสำราญจากอังกฤษมาเทียบท่า และมีงานเปิดตัวแจกลูกโป่งสีฟ้าทั่วงาน

แต่เราน่าจะมาถึงตอนงานเลิกไปแล้ว คนเลยไม่เยอะ นั่งชิลถ่ายรูปกันได้ตามสบาย

อากาศร้อนก็จริง แต่ลมเย็นโบกสะบัดผมปลิวกันปรกหน้าปรกตาไปหมด



ระหว่างทางเดินมีกิมมิคเก๋ๆ ตลอดนะประเทศนี้



ด้านหลังคือเรือสำราญลำที่ว่าค่ะ ทุกคนคงอยากเห็นเรือมากกว่าดิฉันสินะคะ

ขออภัย หารูปเรือไม่เจอจริงๆ



"...จดหมายตีตราจ่าหน้าว่ามาจากแดนไกล..."

แล้วที่เพิ่งมารู้ทีหลังคือ ชื่อเพลงจริงๆ คือ โยโกฮาม่า (--'')



สาว สาว สาว



จากนั้นก็ได้เวลากลับมาที่สถานีชินโยโกฮาม่า เพื่อเอากระเป๋า และนั่งรถไฟไปโตเกียว

และนี่คือ FAIL N0.7 ซึ่งก็คือ ดิฉันทำรหัสเปิดล็อคเกอร์เก็บกระเป๋าหาย!!!!!

โอ๊ยยยยยย ควรไปกระโดดให้รถไฟสายเมื่อกี๊ทับ หรือโดดลงน้ำที่ท่าเรือมันซะ

สังหรณ์ใจตะหงิดๆ ว่าควรถ่ายรูปกระดาษรหัสใบจิ๋วนั้นไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้มา

แต่ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย จริงอย่างโบราณว่าไว้

ความโกลาหลบังเกิดขึ้นทันที เลยขอแนะนำวิธีคนที่ทำรหัสล็อคเกอร์ตู้หายนะคะ


1. อย่าเพิ่งวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ เพราะเค้าดูแลคนละส่วนกัน 

ให้หาเบอร์โทรของบริษัทเจ้าของล็อคเกอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตรงป้าย

บอกรายละเอียดวิธีการใช้ตู้ จดเอาไว้ค่ะ

2. เตรียมเหรียญไว้ให้มากที่สุด เพราะต้องใช้หยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะ

3. ได้เวลาตามหาเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟแล้วค่ะ ต้องหาคนที่พูดภาษาอังกฤษ

กับเราได้ด้วยนะคะ แล้วพามาที่ตู้โทรศัพท์ เขาจะช่วยคุยและบอกตำแหน่งตู้

ล็อคเกอร์ให้ เพราะเจ้าหน้าที่ของบริษัทล็อคเกอร์ส่วนใหญ่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

4. จากนั้น หาอะไรทำฆ่าเวลาเลยค่ะ รวมทั้งหาเวลารถไฟใหม่ เพราะต้องรอ

เจ้าหน้าที่มาไขตู้ให้เรา และต้องให้เขาถ่ายพาสปอร์ตไว้ รวมทั้งเสียค่าปรับ 600 เยน



ได้เวลาเงิบกันยาวๆ เลยค่ะ ท่านผู้อ่านทั้งหมดทั้งมวล

พวกเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากฝากกระเป๋าอีกรอบ

(ใช่ค่ะ เพื่อนๆ กดกระเป๋าออกมากันแล้ว พอฝากอีกรอบ ทุกคนถ่ายรูปรหัสเลย)

ไปหาอะไรกินกันเดินๆๆๆๆๆๆๆ เลือกๆๆๆๆๆๆๆๆ

สรุปที่ข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya ซึ่งดิฉันกินเป็นประจำตอนอยู่กรุงเทพฯ

และนี่คือ Fail8 ไม่ใช่ว่ากินของที่มีในเมืองไทยอย่างเดียวนะคะ

ดิฉันทำน้ำสลัดซัดเข้าหน้าตัวเองจังๆ เต็มๆ เลอะหมดทั้งหน้าทั้งผมทั้งเสื้อโค้ต

คนไม่ใช่ทำอะไรก็พลาดจริงๆ วันนี้



เป็นอาหารที่กินไปอยากร้องไห้ไปอีกหนึ่งมื้อ



อย่างน้อยๆ ข้าวหน้าเนื้อก็อร่อย ถูก และอิ่มท้องดี

เหลือเวลาอีกพอสมควร พวกเราเลยกลับมาที่เดิม หน้าลิฟต์ที่เราฝากกระเป๋าไว้

แตขึ้นลิฟต์ไปชั้นที่เขียนไว้ว่า Loft เพื่อช็อปปิ้งเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ

Loft ที่นี่ตื่นตาตื่นใจมาก เจอแบรนด์ Country & Stream ที่อยากได้ด้วย

แต่สินค้าหมดเกือบทุกตัวแฮะ สงสัยจะขายดีจัด

พอใกล้เวลาสองทุ่มที่เจ้าหน้าที่ล็อคเกอร์จะมา ก็มาเจอกับ Fail9

เมื่อเราเห็นว่าคนเปิดล็อคเกอร์ยังไม่มีวี่แววว่าจะมา เลยวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนั้น

แต่เสียเวลาคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้ชายคนอื่นๆ อยู่นานมาก กว่าจะรู้เรื่องว่า

เธอไปพักทานข้าว และพอเรากับเจ้าหน้าที่วิ่งกลับมาที่ล็อคเกอร์

เจ้าหน้าที่มาเปิดล็อคเกอร์แล้ว เพื่อนเลยรับสมอ้างเป็นเจ้าของกระเป๋าแทนเรา

โค้งคำนับขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่สถานีชินโยโกฮาม่าสิบรอบ

ก็ยังไม่สมกับความน่ารักและการช่วยเหลือของเค้าเลยค่ะ ขอบคุณเธอจริงๆ

เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับเธอไว้

แต่มหกรรมความ Fail ยังตามมากระหน่ำกรูไม่หยุดยั้ง

เรามาถึงโตเกียวลงที่สถานี Shinagawa ใกล้โรงแรมที่พัก

ลากกระเป๋าปุเลงๆ ลงบันไดเลื่อนที่แคบชิบหาย (สังเกตได้ว่าเริ่มหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ)

เพราะหาลิฟต์ไม่เจอ จากนั้นก็เลี้ยวขวาไปตรงถนนเพื่อหาที่จอดรถบัสโรงแรม

เจอรถบัสปุ๊บ คนขับโบกไม้โบกมือให้เราเดินตาม

เนื่องจากเค้าจะไม่จอดรับผู้โดยสารนอกป้าย (เป็นระเบียบดีแท้)

เดินตามรถบัสไปจนครบรอบสถานี เลยเพิ่งสำนึกรู้ว่า

ลงบันไดเลื่อนเมื่อกี๊ เลี้ยวซ้าย เดิน 20 ก้าว ก็ถึงป้ายรถบัสโรงแรมแล้ว

Fail10 สินะ

เชรี่ยยยยยยย กรูเหนื่อยนะเว้ยยยยย

.................................................................................


ขึ้นรถไปถึงโรงแรม Toyoko-Inn เพื่อพบกับ Fail หมายเลข 11

เมื่อดิฉันป้ำเป๋อคิดเองเออเองว่า จ่ายค่าโรงแรมแล้วด้วยบัตรเครดิตของตัวเอง

ซึ่งความจริงแล้วทั้งทริปนี้ เราจ่ายล่วงหน้าเฉพาะค่าตั๋วเครื่องบินกับ JR PASS

ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้สาเหตุ ว่าทำไมสมองถึงคิดอะไรพิลึกพิลั่นได้ขนาดนั้น

และที่โง่ที่สุดคือเอาเงินค่าโรงแรมไปจ่ายค่าอาหารมื้อใหญ่ที่คาวากูชิโกะไปแล้ว

สรุป รวมเงินจากเพื่อนใหม่ไม่ทัน รูดบัตรกันตรงนั้นเลยค่า

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บัตรเครดิตมีไว้อุ่นใจจริงๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนในทริปควรจะมีไว้นะคะ

และอย่าให้คนที่ (เพิ่งรู้ตัวว่า) ไม่ละเอียดรอบคอบ (แบบเรา) ถือเงินกองกลาง

ในที่สุด ก็ถึงห้องพัก

ไม่ต้องพูดถึงแพลนไปเดินชมโตเกียวยามค่ำคืนใดๆ ทั้งนั้น

ทุกคนเหนื่อยมาก สลายร่าง กายละเอียดแทบจะหลุดออกจากกายหยาบแล้ว

แต่....เราจะจบคืนนี้แบบธรรมดาได้ไง

เมื่อดิฉันอยากกินยาแล้วหลับๆไปให้พ้นคืนนี้ซะ แล้วน้ำหมด ก็เลยลงไปซื้อ

โรงแรมนี้มีชุดนอนให้ด้วยนะ อาบน้ำเสร็จก็ลงมาแม่มทั้งอย่างนั้นเลย

เปิดประตูลิฟต์ตึ๊ง! เจอแขกคนอื่นๆ มาให้ชุดเที่ยวชุดสูทเต็มยศ อายมั้ยนั่น Fail12

ยังค่ะ ยังไม่พอ ปกติซื้อน้ำเปล่าได้น้ำเปล่า ครั้งนี้ซื้อน้ำเปล่าได้ Poccari Sweat

น้ำดื่มเกลือแร่ที่รสชาติแย่ที่สุดเท่าที่เคยกินมาในชีวิต เท่ากับ Fail13

กล้ำกลืนกระเดือกยาเข้าไป หลังจากมั่นใจว่าเป็นพาราเซตามอลแน่ๆ

และขึ้นลิฟต์มายังห้องตัวเอง เพื่อที่จะพบว่า

กรูไม่ได้เอาคีย์การ์ดออกมา...........และรูมเมทอาบน้ำอยู่

Fail ที่เท่าไหร่แล้ววะ

จบเห๊อะ

.............................................................................




Create Date : 30 กรกฎาคม 2557
Last Update : 30 กรกฎาคม 2557 23:34:27 น.
Counter : 1671 Pageviews.

1 comments
  
ตอนนู๋ไป ก็ไปลงที่โยชิโนยะเหมือนกันค่ะ
คือเลือกไม่ถูก ก็ไปโดนอาหารที่เคยกินในไทยซะงั้น 55555
โดย: ilovevalentine วันที่: 3 สิงหาคม 2557 เวลา:18:14:21 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

NickyOkawa
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



นักเขียน นักอ่าน และเจ้าของร้านฝึกหัด
กรกฏาคม 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
31