We HaVe OnLy OnE LiFE tO LiVe, So LoVe aNd LaUgH.
|
|||
Japan First Time (Part III Hattori & Glico at Osaka) ญี่ปุ่นครั้งแรก ตอนที่ 3 มีนัดกับฮัตโตริและกูลิโกะที่โอซาก้า วันนี้เป็นวันแห่งการเดินทางค่ะ เริ่มต้นจากการนั่งรถไฟสายฟูจิ กลับเข้าเมืองมาที่ Otsuki แต่ด้วยความที่สถานี Otsuki ไม่มีรถไปโอซาก้า พวกเราเลยต้องนั่งรถมาที่ Hachioji เพื่อนั่ง JR PASS ไป Osaka (ไม่ต้องย้อนกลับไปไกลถึงชินจูกุนะคะ) และแน่นอนว่าตารางรถไฟแบบละเอียดถูกรังสรรค์ขึ้นโดยนัชชิ พวกเราสามคนที่เหลือเดินตามลูกเดียวจ้า มีประโยชน์อยู่บ้างตอนช่วยกันมองหาชานชาลา .................................................................................................................... ประเด็นหลักที่เราจะพูดถึงในวันนี้คือของกิน (เอ๊ะ ก็เห็นพูดแต่เรื่องของกินทุกวันนะ) อาหารเช้าเรากินแบบ Japanese Style (อีกแล้ว) จากที่โรงแรม อาหารเช้าญี่ปุ่นนี่วุ่นวายนะ บอกตรงๆ ว่าสงสารคนล้างจาน ทั้งข้าว ซุป ผักดอง 3-4 อย่าง ไข่ม้วน ปลาย่าง น้ำจิ้ม ถั่วหมัก ฯลฯ คนกินหนึ่งคนใช้ภาชนะไม่ต่ำกว่า 12 ใบ กินเสร็จแล้วไปโค้งขอบคุณพนักงาน 5 ครั้งก็ยังไม่พอ อาหารเช้าที่โรงแรมแบบ Japanese Styleeee!!! ................................................................................................................... ส่วนอาหารเที่ยงซื้อเตรียมไว้มากินบนรถไฟจ้า แต่ก่อนหน้านั้นเรานั่งซัดขนมที่ซื้อจากร้านขายของที่ระลึก สถานี Kawaguchiko หน้าตาขนมน่ากินมาก รสชาติก็อร่อย แต่แพ็คเก็จไม่ไหวนะ เหมือนเต้าส้อ ยิ่งเพื่อนบอกว่าเหมือนโมจิป้ากุหลาบ (ทำนองเดียวกับขนมหม้อแกงแม่กิมลั้ง) จบกัน โมจิลูกพีชของดิชั้น ส่วนอาหารเที่ยงซื้อที่สถานี Otsuki มีเรื่องฮาตรงที่เราถามพนักงานว่า เป็นเนื้อวัวใช่มั้ย โดยใช้คำว่า กิวนิคุ? แต่เค้าไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลิศๆ ของเรา พอใช้คำว่าBeef? พนักงานก็ชี้ไปที่เบียร์กระป๋องอีก กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเมื่อยทั้งปากเมื่อยทั้งมือ แต่ขอบอกว่า ข้าวหน้าเนื้อที่ได้มาอร่อยสมกับการเจรจาจริงๆ อาหารเช้าของโรงแรมอาจทำให้ทุกคนอิ่ม ยกเว้นดิฉัน ขนมสารพัดฟูจิที่สถานี Kawagushiko น่ารักน่าซื้อมาก ถ้าไม่ติดว่าต้องไปเที่ยวต่อ ก็อยากซื้อเหมือนกันค่ะ และนี่คือโมจิป้ากุหลาบ เอ๊ย โมจิรสลูกพีช นี่คืออะรายยยย ข้าวหน้าเนื้อแสนอร่อยนั่นเองค่า ^^ ................................................................................................................... ความจริงระหว่างทางไปโอซาก้าหลายชั่วโมง เราควรจะได้นอนหลับสบายๆ ก็ดั๊นมาเจอมนุษย์ป้าเอาที่ญี่ปุ่นจนได้ เป็นสองมนุษย์ป้าพูดฝรั่งเศสแต่ไม่รู้สัญชาติจริง คือที่นั่งในรถไฟแบ่งเป็นสองแถว แถวซ้ายมีสามที่นั่ง แถวขวามีสองที่นั่ง ทีนี้พวกเราเห็นขบวนมันว่างๆ ก็เลยตัดสินใจนั่งแบบสองคนต่อสามที่นั่ง เพราะหมดแรงยกกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ข้างบน ทีนี้เบาะแถวหน้าน่ะว่าง แต่มีกระเป๋าของใครไม่รู้วางอยู่ตรงที่นั่ง พวกเราก็งงว่าของใคร พอคนอื่นจะมานั่งก็นั่งไม่ได้ รู้สึกเลยว่าโดนเพ่งเล็งว่าเป็นกระเป๋าของพวกเรา พอคนเริ่มขึ้นรถไฟเยอะเข้า มีฝรั่งคู่หนึ่งจะมานั่ง และขอให้เราเอากระเป๋าออกไปให้หน่อย เราเลยบอกว่าไม่ใช่ของเรานะ ยูอยากนั่งก็ยกขึ้นไปเก็บข้างบนละกัน ปรากฎว่าป้าฝรั่งที่นั่งแถวสองที่นั่งด้านหน้าทางขวาของพวกเรา ปราดเข้ามาทันที บอกว่าเป็นกระเป๋าของเธอเอง ไม่ต้องเอาขึ้นไปข้างบน พวกยูสองคนก็นั่งกันไปสิ เราก็อ้าวววว ทำไมป้าทำตัวงงๆ แบบนี้ ถ้าป้ามานั่งตรงหน้าพวกหนู ก็จบแล้วนะ พอคู่ฝรั่งหนุ่มสาวมานั่ง เจอเจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาก็บอกว่า กระเป๋าให้วางไว้ด้านหน้าตัวเอง ไม่ก็ยกขึ้นไปที่ชั้นวางเหนือศีรษะ เดือดร้อนพวกเขาอีกทีนี้ จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องจบยังไง รู้แค่ว่า ไปเจอสองป้ามหาภัยที่วัดที่เกียวโตในวันต่อมา โลกของมนุษย์ป้ามันช่างกลมยิ่งนัก ................................................................................................................... สถานีต่อไป Shin Osaka ได้เวลาตะลุยเมืองที่เราชอบที่สุดในทริปญี่ปุ่นครั้งแรกแล้ว แค่ลงรถไฟมาเจอสถานีก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง เพราะเห็นร้านอาหารมากมายราคาไม่แพง แถมมีที่ช็อปปิ้ง คือโดนทิ้งให้อยู่ที่นี่ครึ่งวันก็ยังไหว แต่ตอนนี้พวกเราต้องไปหาโรงแรม ShinOsaka Station Hotel Annex ที่เราจะพักถึงสามคืน ขอบอกว่าโรงแรมบริเวณนี้ตั้งชื่อคล้ายๆ กัน ก่อนเข้าไปดูชื่อโรงแรมให้ดีนะคะ ของเราถือว่าใกล้สถานีรถไฟที่สุดแล้ว โรงแรมดีมาก ห้องกว้างสุด และห้องน้ำใหญ่สุดในบรรดาโรงแรมที่เราพักมาทั้งหมด เดินข้ามสะพานเหนือทางรถไฟกันเกือบทุกวัน .................................................................................................................. หลังจากเช็กอิน เลือกอาหารเช้าแบบ Japanese Style พักผ่อนเล็กน้อย ก็ได้เวลาตะลุยโอซาก้ายามค่ำคืน เป้าหมายของเราวันนี้คือไปเดินเล่นที่ Dotonburi และ Shinsaibashi เพื่อกินอาหารเย็นและสักการะเทพเจ้ากูลิโกะเด็ทสึก๊ะ (ป้ายกูลิโกะยักษ์นั่นเอง) พวกเราก็นั่งรถไฟลงสถานี Namba และสังเกตเห็นว่ามีป้ายโคนันกับฮัตโตริ เฮย์จิ เต็มเลย (ถ้าใครอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ คงนึกออกว่ามีตอนที่ฮัตโตริพาพวกโคนันมาเที่ยวโอซาก้าด้วย) หลังจากเจอป้ายกูลิโกะ พวกเราก็ไปจองคิวกินปูที่ร้านปูยักษ์ คิวยาวแบบรอเป็นชั่วโมง แต่พอใกล้ถึงเวลา ไปเตร็ดเตร่ดูเมนู และคิดเป็นเงินไทยได้ว่า กินหมดไปสามพันบาทก็ไม่มีทางอิ่ม จบ แคนเซิลคิวไปกินอะไรที่เหมาะกับเราอย่างราเมนจับกัง เอ๊ย ราเมนมังกรดีกว่า ร้านอะไรก็ไม่รู้เสียงดังโหวกเหวก คนขายดุมาก ห้ามถ่ายรูป ห้ามนั่นนี่โน่น วิธีการกินก็คือ ซื้อคูปอง เอามายื่นให้พนักงาน รอเวลาโต๊ะว่าง เข้าไปนั่ง แล้วก็รีบๆ กินให้หมด เพราะคนต่อคิวเยอะ ถึงหน้าตาจะธรรมด๊าธรรมดา ราคาก็โคตรถูก (ถูกที่สุดในทริปเลยนะ) แต่อร่อยว่ะเฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย เทพเจ้ากูลิโกะเด็ทสึก๊ะ มีร่างอวตารเปลี่ยนสีได้มากมาย กับสาวๆ และเทพเจ้าชินจิ คากาวะ โฆษณาทุกสินค้ายกเว้นของใช้ผู้หญิง เอ๊ะ! รึว่าจะมีแต่พวกเราไม่เห็น จองคิวไว้ แต่ไม่ได้กิน โฉมหน้าราเมนมังกร ................................................................................................................. กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาช็อปปิ้ง Matsumoto Kiyoshi ที่นี่มีภาษาไทยกำกับหลายอย่างเลยนะ และได้พบว่าของที่นี่ถูกกว่าทุกที่ที่เคยซื้อมาเลยอ่า ฮือออ กลับไปนอนแช่น้ำแก้ช้ำใจดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเอาแรงไปเที่ยวเกียวโต ขอปิดท้ายด้วยรูปพอร์เทรตนะคะ (สภาพแมนเหลือเกิน) ตามไปเที่ยวด้วยค่ะ ขนมน่ารัก+น่ากินมากกก
โดย: จิตหลอน วันที่: 13 มิถุนายน 2557 เวลา:22:26:34 น.
|
NickyOkawa
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] นักเขียน นักอ่าน และเจ้าของร้านฝึกหัด Group Blog All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |