Japan First Time (Part V – Arashiyama Incomplete )

ญี่ปุ่นครั้งแรก ตอนที่


โรแมนติกล่มสลายที่อาราชิยาม่า


ถ้าเมื่อวานคือวันแห่งความฟิน ฟิน และฟิน

วันนี้คือวันแห่งความซิ่ม เงิบ และหลง

ดูจากสภาพสิคะ



..........................

...................

........

อีซิ่มนี่ใคร

........

...................

..........................

คือ...เมื่อวานใช้ร่างอย่างหนักไง เดินช้อปปิ้งจนสามทุ่มไง 

อาหารเย็น (ซึ่งก็คือมาม่า) ก็ไม่ยอมกินไง

ตื่นตีห้ากว่าเพราะต้องออกจากโรงแรม 6:30 น. เจแปนนิสเวสเทิร์นเบรคฟาสต์อะไรไม่มีให้แดร๊กทั้งนั้นไง

และเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าทำไมผู้หญิงญี่ปุ่นถึงพกน้ำตาเทียมกันทั้งนั้น

เพราะที่นี่ อากาศแห้งชิบหายยยยย

ตื่นเช้ามากับอาการร่างพัง ภูมิแพ้กำเริบรุนแรง ตาแห้งจนใส่คอนแท็กเลนส์ไม่ได้

สรุปวันนี้ ใส่แว่นกับผ้าปิดปาก โคตรเหมือนคนโรคจิตบนรถไฟในการ์ตูน 

-----


จบเรื่องความซิ่ม มาต่อกันที่ความเงิบ

โปรแกรมวันนี้คือ นั่งรถไฟ JR ไปเกียวโต จากนั้นต่อรถไปสถานี Saga Arashiyama

ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของเกียวโต แต่ออกนอกเมืองไปเป็นชนบทธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร

พอไปถึงสถานี ก็เดินๆๆๆๆๆๆ เพื่อไปหาสะพานสวยๆ ถ่ายรูป 

แต่พวกเราหาไม่เจอ เพราะรูปตัวอย่างมีดอกไม้ซากุระมาเต็ม

พอมาเจอตัวจริง รถยนต์วิ่งข้ามไปมา ต้นไม้โกร๋นๆ เหลือแต่กิ่งก้าน เลยคิดว่ามาผิดที่

เพ่งกระบอกตาดูอีกที เออ..มาถูกที่แล้วล่ะ แค่มันสวยน้อยกว่าในรูปไปหน่อยนึง



ถ้ามาตอนซากุระบานหรือฤดูใบไม้ร่วง คงจะสวยมาก

-----


พอได้เวลาอันสมควร พวกเราทั้งสี่คนก็เดินย้อนกลับมาที่สถานี ขึ้นรถไฟไปที่ Umahori 

เพื่อไปนั่งรถไฟสายโรแมนติก แต่ปรากฏว่า

“The train close Wednesday” 

เจ้าหน้าที่สถานีกล่าวเป็นภาษาอังกฤษสไตล์วาซาบิย้ำไปมาหลายรอบ 

เพื่อให้ดื่มด่ำกำซาบเข้าเซลล์สมองพวกเราที่ยืนเอ๋อกันอยู่

คือภาษาอังกฤษคุณโอเค เราฟังออก แต่เราช็อกอยู่ ขอเวลาเงิบแป๊บบบบบบ

ความจริงนิกกี้ผิดหวังไม่มากเท่าไหร่ เพราะไฮไลท์ส่วนตัวอยู่ที่ชิบุย่า

แต่สงสารนัชชิที่สุด 

เพราะนี่คือไฮไลท์ที่นัชชิหมายมั่นปั้นมือมากๆ ตามประสาคนมากับแฟน 

ทำอะไรไม่ได้ นอกจากข้ามไปฝั่งตรงข้ามเพื่อขึ้นรถไฟกลับอาราชิยาม่า

และปลอบใจกันว่า“ไว้พรุ่งนี้พวกเรามากันใหม่นะ ตื่นตีห้าอีกวันเดียวเอง”

แต่สุดท้าย....พวกเราก็หมดแรงเกินกว่าจะตื่นมาที่นี่อีกรอบหนึ่ง

เศร้า

-----


เสียใจยังไงเราก็ต้องไปต่อ เหมือนการแข่งขันรีอาลิตี้เอเอฟเดอะสตาร์

โปรแกรมต่อไปที่ถูกเลื่อนขึ้นมาอย่างว่องไวคือ“ป่าไผ่ไฮโซโก้วเกร๋”

ซึ่งก็เดินไปทางเดิมที่ไปสะพานนั่นแหละ (วันนี้ได้เดินย้อนไปมาหลายรอบ)

ซึ่งปรากฏว่า ไผ่มันคงโตไม่ทันใจนักท่องเที่ยวที่หลงรูปถ่ายในรีวิวแบบเรา

เพราะมันวิเวกวิเหวงโหวงมาก ไม่แน่นขนัดอัดกันเป็นกลุ่มๆ เลย

แต่เรากลับชอบที่นี่นะ มันสงบดี 

แถมดีใจที่ได้เห็นสุสานคนญี่ปุ่นแบบชัดๆ (ห๊ะ!)

คือสุสานบ้านเค้าโคตรเป็นระเบียบ แท่นหินสีขาวสะอาดเรียงกันเป็นแถว

สุสานสไตล์ฝรั่งที่เคยเห็นที่ฮ่องกงกับมาเก๊ายังไม่เนี้ยบขนาดนี้เลยอ่ะ

ขอไม่ลงรูปสุสานละกัน ใครไม่อินเท่าเราอาจจะนึกว่ารีวิวทริปนี้โดนผีหลอก



ป่าไผ่สองข้างทาง กลางคืนจะมีเปิดไฟหลากสีด้วย



ข้างในมีวัดด้วย อยู่เลยจากสุสานไปหน่อย



วันนี้ถ่ายรูปลำบาก เพราะต้องถอดแว่นเก็บผ้าปิดจมูกออกซะก่อน

-----


โปรแกรมถัดไปคือ”วัดเท็นริวจิ” ซึ่งมีชื่อเสียงด้านสถาปัตยกรรมเช่นกัน

แต่วันนี้อากาศไม่แจ่มใส พระอาทิตย์ไม่อุทัย ไปซ่อนตัวซ่อนหัวใจหลังก้อนเมฆ

ถ่ายรูปไม่สวย คนก็ป่วยๆ ไม่สดใส สรุป เรากับปุ้มรออยู่ด้านนอก

เพราะ....



ด้านหน้าวัดเท็นริวจิ หลังจากนี้ต้องเสียค่าเข้าชม




คนนึงเล่น คนนึงกิน


-----

คือก่อนถึงทางเข้าวัดเนี่ย มีร้านขายของเยอะแยะ

แล้วเราไปเจอขนมที่เราอยากกินมาตลอดตั้งแต่รู้จักญี่ปุ่น

นั่นคือเยลลี่ในผลส้ม ว่ากันว่ามันอร่อยนักหนา แต่เก็บได้ไม่นาน

ที่กะจะหิ้วกลับประเทศไทยนี่จบเลยนะ เน่าง่ายกว่าโตเกียวบานาน่าอีก

แถมสนนราคามหาโหด ลูกเดียว 400 กว่าบาท!!!

ถามว่าอร่อยมั้ย อร่อยมาก 

ฟินมั้ย ฟินที่ซู้ดดดด



มันมาเป็นลูกพร้อมเปลือกพร้อมใบ ในถุงจะมีน้ำแข็งแห้งมาให้ด้วย



โอยยยย อยากทำกินเอง จะเหมือนของเค้ามั้ยน้อ เพราะให้ถ่อไปซื้ออีกรอบก็ไม่ไหวนะ


-----

พอสองคนคู่รักออกมาจากวัดเท็นริวจิ ก็ได้เวลาอาหารเช้า

เดินย้อนกลับไปทางเดิม (อีกแล้ว) เพื่อหาร้านข้าว แต่ไม่มีร้านไหนเปิดเลย

เดินจนจะถึงสถานีรถไฟ ก็เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับมา (อีกรอบ)

เพื่อกินอาหารที่ร้าน Zakka Café ตรงทางสามแพร่ง

ร้านนี้ตกแต่งสไตล์โรงอาบน้ำเก่า ปูกระเบื้อง มีอ่างอาบน้ำ มีก๊อก น่ารักดี

ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ชั้นสองเป็นร้านขายของ แต่สนนราคาไม่น่ารักเลย

นิกสั่งข้าวแกงกะหรี่ไป รสชาติก็พอใช้นะ แต่ Coco Ichibanya อร่อยกว่าเยอะ



ถ่ายรูปยังไง ได้มาแค่นี้หว่า

-----

แล้วพวกเราก็สิ้นสุดภารกิจที่ Arashiyama ได้เวลากลับเข้าเมืองเกียวโต

นั่งแท็กซี่ไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือ “วัดคินคะคุจิ” หรือวัดทอง

ประวัติคร่าวๆ คือโชกุนองค์หนึ่งเป็นคนสร้าง มีชื่อเสียงในฐานะวัดอิคคิวซัง 

แต่สุสานของอิคคิวซังไม่ได้อยู่ที่นี่นะ เพราะอิคคิวเป็นลูกของโชกุนองค์ก่อน

ที่ควรจะโดนประหาร แต่หนีมาบวชเป็นเณรเสียก่อน ถือเป็นหนามตำใจโชกุน

ก่อนเข้าต้องเสียค่าเข้าชมวัดตามธรรมเนียม แต่เจ้าหน้าที่วัดค่อนข้างดุกว่าที่อื่นๆ

อาหาร น้ำ ขนม ไอติม ห้ามเอาเข้าเด็ดขาด ซึ่งเราชอบมาก 

พอเข้าไปในวัด รู้เลยว่าที่นี่ไม่ได้กว้างใหญ่เหมือนวัดน้ำใส

ตัววัดทองมีสามชั้น แต่เป็นทองคำแค่สองชั้น

บ้างก็ว่าเป็นตัวแทนโลกกับสวรรค์ แต่บ้างก็ว่า ยังสร้างไม่เสร็จ

และที่แน่ๆ คือ วัดนี้ไม่ใช่ของเก่า ผ่านการบูรณะมาแล้วเพราะถูกไฟไหม้บ่อยมาก



แนวตั้ง เห็นภาพสะท้อนด้วย สวยเป็นสองเท่า



กว่าจะถ่ายรูปได้เหนื่อยพอสมควร

หลบทั้งนักท่องเที่ยว เด็กทัศนศึกษา เลนส์ที่ยาวยังกับกล้องปาปารัสซี่


------

ได้เวลากลับโอซาก้า แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เพราะสองในสี่ของพวกเรา

ขึ้ น ร ถ ไฟ ไ ม่ ทั น

เรากับนัชชิขึ้นรถไฟมาก่อน และรู้ว่าต้องไปลงที่โอซาก้า ไม่ใช่ชินโอซาก้า

และสองคนที่ยังอยู่ที่เกียวโตคือคุณนี้ดและปุ้ม ซึ่งมี Wi-fi แต่ไม่มีรายละเอียดทริปในมือ

เราสองคนห่วงเพื่อนมากว่าจะกลับโอซาก้าและมาถูกสถานีมั้ย

จากนั้นก็เป็นเวลาของความบ้าคลั่ง

ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าหาสัญญาณอินเทอร์เน็ต

มีการไปขอคนญี่ปุ่นแชร์เน็ตเอย ไปขอฝรั่งเอย ไปขอคนไทยเอย

การไปโบกผ้าพันคอเพื่อตามหาเพื่อนแม่มมันทุกขบวนรถไฟที่มาจอด

แต่ในที่สุดพวกเราก็มาเจอกันจนได้ค่ะ 

เพราะเพื่อนไปถามทางนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วยกัน

เก่งมากเลยเพื่อนกรู น้ำตาจะไหล

-----

และน้ำตาจะไหลเอาจริงๆจังๆ ก็ตอนที่เดินจากสถานีโอซาก้าไปปราสาทนี่แหละ

โอ๊ยยยยย จะไกลไปไหน 

ผ่านสวนสาธารณะที่ใหญ่น้องๆ สวนลุมพินีก็แล้ว

ผ่านโอซาก้าโดม ที่ดีหน่อยว่าเล็กกว่าอิมแพ็คอารีน่าเมืองทองธานีก็แล้ว

คือเดินจนขาลาก เห็นแต่ครึ่งบนของปราสาทแบบลิบๆ ทำไมไม่ถึงสักทีวะคะ

และที่พาลพาโลขนาดนี้คงเป็นเพราะ

หนึ่ง กรูง่วง การนอนเที่ยงคืนตื่นตีห้าเริ่มส่งผล

สอง กรูมาอยากเข้าห้องน้ำอะไรตอนนี้

สาม ห้องน้ำที่นี่สกปรกชิบหาย

และสี่ บ่นไปบ่นมา ในที่สุดก็ถึงแล้ว ปราสาทโอซาก้า

แต่เราแค่ถ่ายรูปข้างนอกนะ ไม่ได้เข้าไปข้างใน

เพราะเราว่าที่นี่ก็เหมือนวัดทอง ตรงที่ถูกบูรณะมาพอสมควร

เพราะปราสาทผ่านการทำลายทั้งจากน้ำมือมนุษย์และธรรมชาติหลายครั้ง

ปัจจุบันตัวปราสาทมีแม้กระทั่งลิฟท์ เพื่อความสะดวกสบายค่ะ



อีกหนึ่งกิมมิคของญี่ปุ่นคือ งานฝาท่อ



ดีใจจัง ที่ซากุระยังพอมีเหลือให้เราเห็น



ด้านหน้าปราสาทค่ะ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นอาคารต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ สำนักงานตำรวจโอซาก้า



ตัวปราสาทโอซาก้า ถ้าไม่เหนื่อยมากก็อยากขึ้นไปอยู่นะ

แต่วันนั้น ยอมรับเลยว่า ไม่ไหวแล้ววววววววว

-----

ออกจากปราสาทโอซาก้า ได้เวลาอาหารเย็น

พวกเราเลือกไปที่ถนนเท็นจิมบาชิซุจิ สถานี Temma

เป็นถนนที่ยาวมากกกกก คล้ายๆ มงก๊กที่ฮ่องกง แต่เดินง่ายกว่า

เพราะถนนคนเดินจะยาวๆ มีร้านสองข้าง คั่นด้วยถนนรถวิ่งเป็นระยะๆ

โจทย์อาหารเย็นวันนี้ค่อนข้างยาก เพราะ

หนึ่ง ไม่เอาเทมปุระ 

สอง ไม่เอาข้าวหน้าปลาไหล

สาม ไม่เอาราเม็ง เพระพรุ่งนี้ไปถึงพิพิธภัณฑ์ราเมนเลยจ้า

สี่ อยากกินปิ้งย่าง

ห้า ถ้าได้ข้าวแกงกะหรี่ก็ดี ตอนเที่ยงวันนี้ยังไม่ฟิน

เดินข้ามถนนมาเป็นสิบรอบ (เว่อร์!! แค่ 5-6 รอบ) ก็มาเจอร้านนึง

ไม่รู้ทำไมถึงถูกชะตา ทั้งๆ ที่เมนูหน้าร้านก็เตือนพวกเราแล้วว่า “ญี่ปุ่นล้วนๆ”

พอถามพนักงานต้อนรับสาวแว่น น้องก็เชิญชวนเราเข้าร้าน

เพื่อให้พวกเรารู้ว่า เฮ้ยยย ญี่ปุ่นล้วนๆ ไม่เจือปนภาษาอังกฤษเลยจริงๆ ด้วย

มื้อนั้นรอดมาได้ เพราะเมนูมีรูปประกอบ กับหนังสือ Survival ญี่ปุ่นแท้ๆ

คือแบกใส่กระเป๋าทุกวัน ไม่เคยจะใช้จริงจัง งานนี้ได้ใช้แล้วเว้ย

ได้กินไก่ย่างหมูย่างสบายใจไร้กังวล ไม่มีตูดเป็ดตับไก่ตีนห่านปนมาให้เสียรมณ์

และที่ดีใจคือร้านนี้อร่อยทุกอย่างเลย เด็ดสุดคือ มันหวานทอด

หน้าตาเหมือนเฟรนช์ฟรายแต่โรยน้ำตาลมา สั่งเพิ่มอีกจานทันที่ที่ชิมไปครึ่งนึง

และไฮไลท์ของวันนี้ที่เริ่ดเลอกว่าวัดคินคะคุจิคือพนักงานชาย

คือนอกจากน้องสาวแว่น อีก 8 คนเป็นชายล้วนที่ หน้า ตา ดี มาก

จนเรานึกว่าที่นั่งกินอยู่นี่คือ Host Club ตัวสูงชะลูดตูดปอดด้วย สเป็คเราเลย

แถมคนที่ดูเป็นหัวหน้าพนักงานพยายามใช้ภาษาอังกฤษบอกทางไปชมซากุระ

ประทับใจมากกกกกกกกกกกกกก

ที่เหนื่อยๆ ซิ่มๆ เงิบๆ มาทั้งวันนี่ หายวับ!!!

แต่ขออภัยที่รูปอาหารไม่มีเลย เพราะหิวมาก กินอย่างเดียว

ชื่อร้านก็ไม่ยอมจด ดีนะที่ถ่ายรูปหน้าร้านเอาไว้

ใครไปเที่ยวโอซาก้า ลองไปกินร้านนี้ดูนะคะ แนะนำจริงๆ 555555



ป้ายประตูทางเข้าเท็นจิมบาชิซุจิ เห็นได้จากทุกทางข้าม



หน้าร้านอาหารปิ้งย่าง



สั่งอาหารแบบเครียดๆ เมนูญี่ปุ่นล้วนนะจ๊ะ ทั้งหน้ามีรูปประกอบอยู่สามอย่าง

-----


เป็นเอนทรี่ที่ยาวและวุ่นวายมาก เนื่องจากก็อปปี้ข้อความมาวางซ้ำ

เลยเซฟไม่ได้เพราะข้อความเกิน

พอตัดโน่นตัดนี่ตัดนั่นไป มาเจอว่า อ้าว ลงเท็กซ์ซ้ำนี่

ก็เกิดเสียดายสิ่งที่ตัดทิ้งไป มานั่งเพิ่มคำใหม่อีก เท็กซ์เกินอีก 

แต่ในที่สุด มันก็สำเร็จจนได้นะ ตอนที่ 5

ปิดท้ายด้วยรูปที่เราชอบที่สุดของวัน ตามธรรมเนียม ^^

ขอบคุณคุณนี้ดสำหรับรูปสวยๆ นะคะ







Create Date : 11 กรกฎาคม 2557
Last Update : 23 กรกฎาคม 2557 23:02:43 น.
Counter : 927 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

NickyOkawa
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



นักเขียน นักอ่าน และเจ้าของร้านฝึกหัด
กรกฏาคม 2557

 
 
1
2
3
4
5
6
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
31