ศพไม่เงียบ : เรียนธรรมะกับหนัง
ตั้งแต่เขียนบล็อคกรุ๊ปนี้ (Movie Addicted) มา ยังไม่เคยได้มีโอกาสพูดถึงหนังไทยกันเลย ดังนั้น วันนี้ขอเขียนถึงหนังไทยที่เพิ่งมีโอกาสได้ดู
Mildfullness and Murder : ศพไม่เงียบ
หนังเรื่องนี้เข้าฉายบางโรงทั่วประเทศเท่านั้น เนื่องจากเป็นหนังนอกกระแส และไม่ได้มีนักแสดงนำระดับแม่เหล็กอะไร เอาง่ายๆ เรียกว่าไม่รู้จักเลยจะดีกว่า แต่กลับกลายเป็นว่า หนังนอกกระแสที่ดูไม่มีอะไรน่าสนใจเรื่องนี้นั้น เป็นหนังไทยที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังจัดฉายในเทศกาลหนังชื่อยาว อย่าง International Thiller and Spy Film Festival 2010 ซึ่งรวบรวมหนังแนวสืบสวนสอบสวนชวนตื่นเต้นทั่วโลก
แต่ที่ไม่ธรรมดากว่านั้นก็คือ ศพไม่เงียบ คว้าไปถึง 3 รางวัลเล็กๆ ไม่ใหญ่อะไรอย่าง...
ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ถ่ายภาพยอดเยี่ยม
...ไม่ใหญ่จริงๆแหละเนอะ
นับว่าเป็นหนังชั้นดีที่ได้รับการยอมรับโดยมาตรฐานสากล สำหรับคนดูแล้ว การเป็นหนังรางวัลไม่ได้หมายความว่า "อยากไปดู" เพราะต้องยอมรับว่า... หลายคนที่ไปดูหนังมีแรงจูงใจที่ไม่เหมือนกัน แต่ถ้าลองได้สัมผัสช่วงเวลาเก้าสิบนาทีกับหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหา ภาพ การแสดง ทุกสิ่งทุกอย่างของหนังเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่เราเรียกมันว่า " สิ่ ง ที่ เ ห็ น แ ล ะ เ ป็ น อ ยู่ "
เนื้อหาของหนังนั้น แม้ว่าจะดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของอดีตนักหนังสื่อพิมพ์ แต่ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่า ผู้ประพันธ์คงได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของใครสักคนแน่ๆ พอได้มาหาข้อมูลหนัง แล้วไปเจอบทวิจารณ์นึงของ คุณแถวอีเบาะขวาสุด เลยอยากลองเอามาฝากกัน ในตอนที่นักวิจารณ์หนังท่านนี้เขียนไว้ช่วงนึงว่า...
' ศพไม่เงียบ ร้อยเรียงเรื่องราวที่นำไปสู่การคลี่คลายปม ของการฆาตกรรมด้วยปัญหาซับซ้อนที่เกิดในสังคมไทย ที่เราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในชีวิตประจำวัน
ที่ปัจจุบันมันได้เกิดและกระจายตัวอยู่ในทุกย่อมหญ้า มีเพียงแต่ว่าเราจะแกล้งปิดหู ปิดตา ปิดทวารทั้ง 5 ไม่รับรู้-รับฟังหรือไม่อยากรับรู้-รับฟัง แกล้งทำเป็นดัดจริต ฤๅแสแสร้งว่ามันไม่เกิดขึ้นจริงในสังคม ที่ใกล้ตัวและใกล้วัดเช่นที่เป็นอยู่จริง
ดั่งหนัง
ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่มีอยู่ ให้คนในสังคมไทยได้ตระหนัก ลุกขึ้นมาป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกัน '
เป็นคำวิจารณ์ที่ชวนคิดและพูดถึงสังคมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้จากหนังรางวัลชั้นเยี่ยมเรื่องนี้ ได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ และเป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่คนไทยทุกคนไม่ควรพลาดด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนตัวแล้ว... ช่วงนึงที่หนังพูดถึงการมาบวชของพระอนันดา (ตัวละครหลัก) อดีตนายตำรวจที่ขอทิ้งชีวิตคฤหัสถ์อันขื่นขม แล้วหันหน้ามาศึกษารสพระธรรมแทนนั้น ทำให้คิดถึงการสนทนาธรรมะ (มั้งนะ) กับเพื่อนรัก ที่ตอนนั้นกำลังอารมณ์ขึ้นมาก กับข่าวมารศาสนามั่วสีกาปาราชิกสุดอุจาด ก่อนจะหันมาปรารภอย่างหมายมาดว่า "ไอ้พวกนี้มันเลวจริงๆ ไม่คิดอยากจะเป็นพระ แล้วจะบวช ให้เสื่อมศาสนาทำไม มันรู้ความหมายของคำว่าศาสนาบ้างหรือเปล่าวะ เห็นอะไรแบบนี้แล้วขึ้น เสื่อมจริงๆ เฮ้อ... เออ แล้วสำหรับเมิง ศาสนาสำคัญยังไงวะ"
เอิ่ม... เอาแล้วไง มันอินทีไร ต้องโดนทุกทีสิน่า ! อืม... เราชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะตอบ
"ไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นศาสนาสำคัญยังไง หรือว่าตามหลักจริงๆ ที่ถูกนั้น ศาสนาควรมีความหมายว่าอะไร แต่สำหรับตัวกุแล้ว ศาสนาสำคัญและมีความหมายแบบนี้...
ในวันที่ชีวิตไม่เหลือใครให้รัก และหมดแล้วซึ่งคนจะมารัก อย่างน้อยที่สุด ในวันนั้น ยังคงรู้ว่า มีสิ่งหนึ่งที่จะไม่ทอดทิ้งเรา หากเราไม่ทอดทิ้งสิ่งนั้นไปก่อน
นั่นคือ ศ า ส น า"
ดูเหมือนว่า เจ้าเพื่อนตัวแสบจะพอใจในคำตอบที่ให้ไปพอสมควร มันจึงยิ้มกริ่มในสไตล์หญิงวัยยี่สิบห้าที่วางเป้าหมายปลงคิ้วบวชในบั้นปลายชีวิต
ก็... ต้องบอกว่า คำตอบดราม่าไปหน่อยแต่ก็ตรงตามความคิดที่มีอยู่จริง ถึงวันนี้ ศาสนาจะเต็มไปด้วยความเสื่อมหรือสิ่งละอันพันละมากที่ยากจะหมดไปได้ ตามยุคสมัยอันถูกรุกเร้าจากเหง้าของราคะ ดังที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า
อันไฟใด จะเสมอ 'ไฟราคะ' เห็นจะไม่มี
อย่างไรเสีย หากเรายังคงอยู่กับศาสนาด้วยปัญญาและดำเนินไปตามประสงค์นั้นแล้ว ศาสนาจะไม่มีทางเสื่อมถอยไปได้ ไม่ว่าศาสนานั้นจะถูกเรียกว่าอะไรก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก ทีวีวัยมัน
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2556 22:06:10 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1262 Pageviews. |
|
|