Noise219@Melbourne
ผจญภัย ในต่างแดน

เหตุผลที่ลาออกจากงานแรก และต้องลาจากจากน้องเทคฯเพื่อนซี้ก็เพราะเหตุผลสองสามข้อ ข้อที่มีผลกับเรามากที่สุดก็คือ ไม่ชอบสไตล์การทำงานของหัวหน้า แต่เหตุผลที่ให้ไปกับหัวหน้าที่ตอนที่ลาออกคือ อยากทำงานในกรุงเทพฯ และอยากเรียนต่อ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย

กำลังเซ็ง ๆ หัวหน้าอยู่ ก็พอดีโอกาสก็วิ่งเข้าหา เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เราทำงานอยู่ออฟฟิศที่ชลบุรีนั่นแหละ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่เคยเรียน ป.ตรีมาด้วยกัน

"สนใจมาทำงานบริษัทเดียวกับเราป่ะ" กุ้ง คือชื่อของเพื่อนของเราคนนี้

"เราได้ยินพี่ต่ายที่เขาทำ OSS อยู่บอกว่าเขากำลังหาคนเพิ่ม น้อยใช้พวก UNIX เป็นใช่ไหม"

OSS (Operating Support System) คือระบบควบคุมโครงข่ายโทรศัพท์ ทั้งที่เป็นระบบเคลื่อนที่ และไม่เคลื่อนที่ และ UNIX ก็คือชุดคำสั่งของระบบปฏิบัติการอย่างหนึ่ง ที่รู้จักกันทั่วไปก็เช่นยูนิกซ์ที่ใช้กับ Linux, SUN และ HP

“ก็พอได้อ่ะ” เราตอบไปแบบไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่

“ภาษาอังกฤษก็โอเคใช่ไหม หัวหน้าใหญ่เป็นฝาหรั่งเว้ย ต้องสัมภาษณ์กะฝาหรั่ง” กุ้งบอกมา เราก็อึ้ง ๆ เล็กน้อยถึงปานกลาง ไอ้โอเคของเรากะของเค้านี่ มันก็คงจะต่างกันอยู่นะ เหอๆๆๆ

“ไม่ต้องห่วงนะ คุณดอนแกเป็นคนสวีเดน พูดภาษาอังกฤษชัด” กุ้งปลอบใจ

สุดท้าย เราก็ตัดสินใจส่งใบสมัครไปที่บริษัทใหม่ ไม่ถึงอาทิตย์ ฝ่ายบุคคลก็โทรมานัดให้เรามาสัมภาษณ์ แล้วก็เป็นอย่างที่กุ้งว่าจริง ๆ ซะด้วย หัวหน้าใหญ่ที่ชื่อคุณดอนเนี่ย แกเป็นฝรั่งที่พูดภาษาอังกฤษชัดจริงๆ และที่สำคัญคือ คุณดอนนี่แกหล่อไม่ใช่เล่นเล้ย (ขอบอก ฮ่ะๆๆ) เราก็เลยได้มาทำงานกะแกที่บริษัทใหม่นี่แหละ และที่นี่เอง คือจุดเริ่มต้นของชีวิตฮาเฮในต่างแดนของเรา

หน้าที่ใหม่ที่ได้รับ ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน เมื่อเทียบกับหน้าที่เดิมที่เคยทำ

จากที่เคยไปทำงานอยู่หน้าไซด์ มีปัญหาอะไรก็โทรหาบริษัทที่ขายทั้งอุปกรณ์และซอฟแวร์ให้ ก็ต้องมาคอยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านที่บริษัทเราขายอุปกรณ์และซอฟแวร์ให้แทน จากที่เคยเป็นคนขี้เกียจอ่านคู่มือ แม้จะเป็นภาษาไทยก็เถอะ ก็ต้องมานั่งอ่านคู่มือที่เป็นภาษาอังกฤษเป็นตั้ง ๆ จากที่เป็นคนที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้ ก็ต้องมานั่งพูด นั่งคุยทั้งวัน จากที่เรียนหนังสือก็ไม่ชอบเลยจริง ๆ ไอ้คอมพิวเตอร์เนี่ย สุดท้ายก็ต้องมานั่งปลุกปล้ำกะมันทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันดึก นี่แหละน๊า เค้าถึงได้บอกว่า เกลียดอะไรก็ได้อย่างนั้น

ตอนแรก ๆ ก็เครียดเลยหละ แต่ก็ต้องทำใจ เพราะไอ้น้อยซะอย่าง เกียร์ถอยหลัง เข้าไม่เป็น ฮ่ะๆๆๆ

จะว่าโชคดีก็คงจะใช่ หัวหน้าเห็นเราเครียดหรือไงไม่รู้ เลยส่งไปอบรมต่างประเทศ จริง ๆ ตอนที่ทำอยู่บริษัทแรกก็เคยไปฝรั่งเศสกับออสเตรเลียมาแล้ว แต่ตอนนั้นไปกะเพื่อนหลายคน ที่แรกที่ไปก็นี่เลย มาเลเซีย

ทริปแรกที่มาเลเซีย ไม่มีอะไรประทับใจมากนัก เลยไม่อยากเล่า (เอ๊า แล้วจะพูดถึงทำไมหละเนี๊ย อิอิอิ) ไปเล่าทริปสองดีกว่าเนอะ สนุกกว่าเยอะ

ทริปที่สอง หัวหน้าส่งไปสต๊อกโฮมค่ะคุณผู้ชม สต๊อกโฮมเป็นเมืองหลวงของประเทศสวีเดน (นั่นแน่ เริ่มสนใจหละซี้) ทริปนี้ก็ต้องไปอบรมระบบคิดเงินของโทรศัพท์ ที่เรียกว่า Charging system ทริปนี้ต้องไปคนเดียวค่ะ เป็นการไปยุโรปและสวีเดนคนเดียวเป็นครั้งแรก โดยที่มีคุณเลขาคนสวยของหัวหน้าใหญ่สุดหล่อเป็นคนจองโรงแรมให้ เธอบอกว่า

“โรงแรมนี้อยู่ติดกับออฟฟิศที่จะไป จะได้สะดวก”

เรามารู้ทีหลัง หลังจากไปถึงแล้ว ว่าคุณเลขาเธอเข้าใจผิด ออฟฟิศที่เราจะไปน่ะ อยู่คนละที่กับออฟฟิศที่เธอคิด ห่างกันเยอะเลย

เครื่องบินที่เรานั่งไปสต๊อกโฮม เป็นไฟล์ของการบินไทย เราได้นั่งข้าง ๆ คนไทยคนหนึ่งที่จะไปอบรมที่สต๊อกโฮมเหมือนกัน แต่คนละที่ คุยกันไปคุยกันมา ก็เข้าใจว่า โรงแรมที่เราพัก เป็นทางผ่านที่จะไปโรงแรมที่เขาพัก เขาก็เลยชวนให้เรานั่งลีมูซีนไปกับเขา ไอ้เราก็ใจง่าย ก็เลยตอบตกลง ไม่ได้รู้เล้ย ว่าชีวิตจะพบกับความลำบากแสนสาหัสจากการตัดสินใจครั้งนั้น

เครื่องที่รานั่งไปลงจอดก่อนเจ็ดโมงของเช้าวันอาทิตย์ พอผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองเสร็จเราก็เรียกแทกซี่ พวกเราก็นั่งลีมูซีนจากสนามบินไปที่โรงแรมที่เราพัก ตอนที่รถไปจอดเราก็มัวแต่คุยกับเพื่อนที่นั่งมาด้วย ไม่ทันได้สังเกตสิ่งรอบตัว พอร่ำลากันเสร็จ เราก็หิ้วกระเป๋าเราลงจากรถ แล้วเขาก็จากไป

ลงมาจากรถได้ก็ลากกระเป๋าจะเข้าไปในโรงแรม ถึงตอนนี้ เราเริ่มรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมานิด ๆ กะว่าอีกไม่นานก็จะได้ปล่อยแล้วแหละ แต่ตอนนี้เองที่เพิ่งจะสังเกตว่าโรงแรมนี้เงียบผิดปกติ ไม่มีแม้แต่พนักงานที่คอยช่วยยกกระเป๋าลงจากรถ และไม่มีแม้กระทั่ง Reception

“แงๆๆๆ โรงแรมมันปิดอ่ะ”

เพิ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่จะเข้าไปผลักประตูนี่แหละ หันกลับไปจะเรียกเพื่อน มันก็ไปไกลซะแล้ว เราเห็นกระดาษแผ่นเบ้อเริ่มติดอยู่ ว่าโรงแรมนี้ปิดวันเสาร์อาทิตย์ และจะเปิดอีกทีตอนห้าโมงเย็น

ไอ้เรื่องรอแค่ครึ่งวัน ค่อนวันนี่เรื่องเล็กสำหรับ แต่เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นก็คือเรื่องฉี่นี่แหละ ตอนนั้นก็คิดว่า เอาวะ รอก็ได้ แต่หาที่ฉี่ก่อนดีกว่า เพราะถึงตอนนี้ มันเริ่มจะปวดมากขึ้นทุกทีแล้ว แฮ่ๆๆ

แต่ให้ตายเถอะโรบิน มองไปทางไหน ก็ไม่เห็นวี่แวว ว่าจะมีที่ไหนให้สาวไทยได้ฉี่ได้เลยอ่ะ มองไปรอบ ๆ ในละแวกนั้นก็เหมือนกับจะเป็นเขตอุตสาหกรรม มากกว่าจะเป็นใจกลางเมือง

ใครที่เคยไปสวีเดน คงจะพอรู้ดี ว่าร้านค้าที่นี่จะไม่เปิดวันอาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาจะปิดก่อนหกโมงเย็น ทำยังกะว่ากลัวจะรวยซะเหลือเกินงั้นแหละ (จริง ๆ แล้วเค้าไม่อยากทำเยอะ เพราะทำได้เท่าไหร่ ก็จ่ายภาษีไปซะเยอะนั่นแหละ)

เดินสำรวจพื้นที่อยู่สักพัก ข้าศึกเริ่มบุกหนักขึ้น ตอนแรกที่ปวดท้องฉี่ ตอนนี้ก็เริ่มปวดอึด้วย คาดว่าจะต้านไม่ไหวแล้วแน่ ๆ ถ้าหาตัวช่วยไม่ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ก็เลยยกโทรศัพท์โทรหาเลขาคนสวยที่เมืองไทย โทรไปก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง

“เล็กช่วยโทรถามหัวหน้าให้หน่อยดิ ว่าเราจะโทรเรียกแทกซี่ได้ที่เบอร์ไหน แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าทำไม”

ฮ่ะๆๆ ไม่บอกก็รู้ว่าเรารีบขนาดไหน แต่เลขาบอกว่าโทรหาหัวหน้าไม่ได้ ก็เลยโทรหาเพื่อนชาวสวีเดนอีกคน ชื่ออิ๊กม่าให้แทน ได้เบอร์มาเราก็รีบกด และก็ได้ยินเสียงนี้ตอบกลับมา

“#..?>*\|}*#^~.?>*\|}*#^~.?>*\|}.$*^.&*#^~…………………. คลิก”

ไม่เข้าใจหละซี้ อิอิอิ ไม่แปลกหรอก เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งหมดนั้น เราเข้าใจแค่ตอนที่มันวางสายไป ก็เลยโทรกลับไปหาเลขาคนเดิมที่เมืองไทยอีกรอบ

“คุณเล็กขา เรามะเข้าใจว่ามันพูดบ้าอะไร ไม่มีภาษาอังกฤษเลย พูดจบก็วางหูอ่ะ” เราบอก

“ อ้าว เหรอ สงสัยเป็นระบบอัตโนมัติมั้ง” เธอว่า

“คงงั้นแหละ ช่วยโทรขอให้อิ๊กม่าโทรเรียกแทกซี่ให้ที ข้าศึกบุกถึงประตูเมืองแว้วววว” ว่าแล้วก็บอกที่อยู่ของเราให้เลขาไป

“อ้อ บอกอิ๊กม่าด้วยนะ ว่าให้บอกแทกซี่ ว่าช่วยพาเราไปหาโรงแรมให้เร็วที่สุด โรงแรมไหนก็ได้” เรากำชับไปอีกที

สักพักเธอก็โทรกลับมาบอกว่า

“เขาโทรให้แล้วนะ อีกไม่เกิน 15 นาทีคงจะมา”

“ขอบคุณมาก ๆ เลย ถ้าไม่ได้เล็ก เห็นทีต้องเสียทีข้าศึกแน่ ๆ เหอๆๆๆ”

สิบห้านาทีที่รอคอยแทกซี่ในวันนั้น ช่างยาวนานเหมือนสิบห้าปีเลย เรางี้รอจนหน้าเขียว ๆ จะกลายเป็นดำอยู่แล้ว พอแทกซี่มาถึงก็แทบจะกระโดดขึ้นรถ คนขับก็ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ดี รีบบึ่งพาเราไปตระเวนหาโรงแรม แถมทำหน้าที่เจรจากับ Reception ให้เราอีกต่างหาก แต่วันนั้น เราคงจะพกความซวยไปด้วยจริง ๆ นั่นแหละ ช่างบังเอิญจริง ๆ ที่โรงแรมส่วนใหญ่ก็เต็ม

“โอ๊ย พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกช้างด้วย จะให้ทำอะไรก็ยอมแล้ว แงงงงงง”

ผ่านไปเกือบ ๆ ชั่วโมงเราก็ได้พักที่โรงแรม ๆ หนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่า

“ว่างแค่คืนนี้คืนเดียวนะคะ พรุ่งนี้คุณต้อง Check out เพราะมีคนจองเต็มหมดแล้ว”

เอาวะ คืนเดียวก็คืนเดียว เรื่องอื่นไว้ว่ากันทีหลัง ตอนนี้ต้องรีบกำจัดข้าศึกออกไปให้พ้นเมืองเราซะก่อน

พอขอบอกขอบใจคนขับแทกซี่ก็รีบ Check in

“เฮ้อ..รอดตายแล้วตรู นึกว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ซะแล้ว”

เช้าวันจันทร์ เราก็ต้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า เอ้ย ม่ายช่าย แล้วก็เรียกแทกซี่ไปที่ออฟฟิศ ไปถึงก็ฝากสัมภาระไว้กับคนที่เป็นคนสอนนั่นแหละ แล้วก็บอกเขาว่า

“คืนนี้ไอไม่มีที่พัก ยูช่วยหาให้หน่อยจิ” ว่าแล้วก็ร่ายยาว บ่นถึงเรื่องราวที่เราได้ผจญมาเมื่อวาน แต่คนสวีเดนนี่ ถ้าไม่เป็นพวกเส้นลึก ก็คงจะสุภาพมากซะจนไม่อยากหัวเราะให้เราขัดเขินแน่ ๆ

สรุปว่าวันนั้น คนสอน ก็ต้องเป็นธุระหาโรงแรมให้เรานอน แต่โรงแรมส่วนใหญ่ก็เต็มหมด

"อืม โรงแรมเต็มหมดเลย เอาไงดีหละเนี่ย" เขาว่า

"ไม่ต้องเครียดไป ไม่มีที่นอน ฉันก็จะนอนที่นี่หละ" เราว่างั้น แต่เค้าน่ะ ต๊กกะใจ รีบบอกเราว่า

"เฮ้ย ยูจะนอนที่นี่ได้ไง"

"พูดเล่นน่า (ฮ่ะๆๆๆ) คงจะมีสักที่ว่างให้เรานอนได้แหละ ไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร" เราบอก แต่กว่าจะหาได้ก็นานพอดู

พอวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เราก็ไปเดินเที่ยวในเมือง สต๊อกโฮม เป็นเสมือนเมืองในฝันของเราเลยหละ เพราะทัศนียภาพที่งดงาม เนื่องจากสร้างอยู่ริมแม่น้ำและทะเล ส่วนที่เรียกว่า Grand Palace ก็อยู่บนเกาะที่มีสะพานเชื่อมต่อจากตัวเมือง ทริบนั้น เราตั้งใจว่า ที่นี่แหละ ที่ฉันอยากมาใช้ชีวิตตอนแก่ (แต่ถึงตอนนี้ เปลี่ยนใจแล้วค่ะ อิอิอิ)

กลับจากทริบนั้น เพื่อน ๆ ที่ออฟฟิศที่เมืองไทยก็รู้กันหมดแล้วเรื่องที่เราโดนปล่อยเกาะ รวมไปถึงเรื่องที่โดนข้าศึกบุกจนแทบเอาชีวิตไม่รอด

“ไงน้อง ได้ข่าวว่าฉี่ราดที่สต๊อกโฮมเหรอ เหอๆๆๆ”

โอ้โห มันลือกันไปด๊ายยยย

เรื่องเปิ่น ๆ ในสวีเดนของเราไม่ได้จบแค่นั้น สองปีหลังจากนั้น เราก็มีโอกาสได้ไปสวีเดนอีกครั้ง คราวนี้ ไปอีกเมืองนึง ชื่อ โกเธนเบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ กับประเทศเดนมาร์ก และนอรเวย์ เพราะที่นี่เอง ที่เราเกือบโดน ตม. ของนอรเวร์ส่งกลับ โทษฐานเซ่อซ่า ไม่วีซ่าแต่อยากจะเข้าประเทศเค้าอีก

ทริบนี้ เราจะต้องไปกับลูกค้ารัฐวิสาหกิจและเพื่อน ๆ จากบริษัทอื่นอีกหลายคน แต่เราต้องเดินทางคนเดียวอีกตามระเบียบ เพราะคนอื่น ๆ เขาไปกันหมดแล้ว เราก็นัดหมายกับคนที่สวีเดนให้ไปรับที่สนามบิน

ตอนที่อยู่บนเครื่องก็นั่งติดกับคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งไปทำงานและตั้งรกรากอยู่ที่โกเธนเบิร์กนั่นแหละ เราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรมากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วเราจะหลับ อิอิอิ พอต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่โคเปนเฮเก้นก็แยกย้ายกันไปนั่งคนละทิศคนละทาง

พอเราผ่านขั้นตอนทางศุลกากร และรับกระเป๋าเสร็จ ก็ออกมายืนรอคนที่มารับอยู่ด้านนอก รออยู่นานก็ไม่เห็นมีใครมาซะที ก็พอดีมีเสียงทักขึ้น

“อ้าว น้อง ยังไม่มีใครมารับอีกเหรอ” เสียงนั้นก็มาจากคนที่คุยกะเราบนเครื่องบินนั่นแหละ

“ยังเลยพี่ สงสัยจะไม่มาแล้วหละ เดี๋ยวว่าจะเรียกแทกซี่ไปโรงแรมเองดีกว่า แล้วทำไมพี่ถึงเพิ่งจะออกมาหละ” เราบอก

“ก็พี่ต้องเคลียร์ของบางอย่างอ่ะ เออ.. เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวไปกะพี่ก็ได้ พี่มีรถมารับ เดี๋ยวไปส่งที่โรงแรมให้” เขาว่า

ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ตอนนั้น สงสัยจะเป็นเพราะเราเป็นคนใจง่ายอ่ะ พอเค้าชวนเราก็เลยถามว่า

“ไม่รบกวนพี่เหรอ เดี๋ยวเรียกแทกซี่ไปเองก็ได้ค่ะ ค่ารถบริษัทออกให้อยู่แล้ว” แหะๆๆ ทำเหมือนเกรงใจ แต่เปล่าหรอก

“ไม่หรอก เดี๋ยวน้องนั่งข้างหลังก็ได้ ที่ว่างเยอะแยะ”

เราก็เลยโอเค (อีกแล้ว) แต่พอเห็นรถที่มารับเขาเท่านั้น เราก็ชักอยากจะเปลี่ยนใจ ทำไมน่ะเหรอ ก็มันเป็นรถกระบะที่ไม่มีเค็บน่ะ แต่ข้างหลังมีหลังคาปิดเรียบร้อย กำลังลังเลอยู่ พี่คนนั้นก็โยนกระเป๋าเราขึ้นรถ แล้วก็บอกให้เรารีบ ๆ เข้า แล้วเขาก็ไปขึ้นข้างหน้า นั่งคู่กับคนขับ เราก็เลย

“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน คงไม่โดนหลอกไปขายแถว ๆ นี้หรอกมั้ง” ว่าแล้วก็กระโดนขึ้นรถเลย

ก่อนจะเล่าต่อ ก็ขอเตือนน้อง ๆ และเพื่อน ๆ ว่าอย่าทำอย่างนี้เด็ดขาด ใครมาชวนแบบนี้ให้หนักแน่นเข้าไว้ อย่าใจอ่อน ไม่คุ้มกันเลย

ที่บอกอย่างนี้ก็ไม่ใช่อะไร ตอนที่รถเขาพาเราเข้าเมือง เป็นช่วงที่ทรมานสุด ๆ เพราะความกลัว กลัวสาระพัด คิดไปต่าง ๆ นานา โชคยังดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนที่พี่คนนี้เขาส่งเราที่โรงแรม เราก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากที่เรา Check in ก็ได้รับโทรศัพท์จากคนที่นัดหมายกับเราว่าจะไปรับเรา

“อยู่ที่ไหนเหรอ ไอรอยูอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมงแล้วนะ” เขาว่า

“รอที่ไหน ฉันก็รอยูตั้งนาน นึกว่าจะไม่มารับ ก็เลยมากับเพื่อน ตอนนี้อยู่โรงแรมแล้วแหละ” เราบอก

“อ้าวเหรอ ทำไมไม่เห็นหละ ก็รออยู่ตรง Domestic Terminal เนี่ย งั้นเดี๋ยวไอไปหาที่โรงแรมนะ พอดีเปลี่ยนแผนนิดหน่อยต้องย้ายไปอยู่อีกที่นึง”

เอ๊า เจริญหละพ่อคุณ ฉันมาจากเมืองไทย พ่อถ่อไปรับที่อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ คงจะได้เจอกันหรอก งั้นก็ร้องเพลงรอไปก่อนหละกัน ฮ่ะๆๆ (ชั่วร้ายเจง ๆ)

“ขอโทษนะ ไอนึกว่ายูไปเปลี่ยนเครื่องที่สต๊อกโฮมน่ะ” เขาพูด เหมือนจะรู้ว่าเรานึกตำหนิเขาในใจ อิอิอิ

“ไม่เป็นไร” ปากก็บอกว่าไม่เป็นไรหละ แต่ใจน่ะคิดว่า มันคงจะบ้าแน่ ๆ เพราะเราส่ง flight detail มาให้แล้วนี่ว่าจะมาจากโคเปนเฮเก้น แต่ก็ยังดี ที่อุตส่าห์ไปรับ ถึงจะไม่ได้เจอก็เถอะ

ไอ้แผนที่เขาบอกว่าเปลี่ยนก็เนื่องจากพวกเรามากันหลายคน แล้วช่วงนั้นก็เป็นช่วง High Season เขาเลยไม่สามารถจองโรงแรมให้พวกเราอยู่ได้ทุกคน จะมีอพาตเมนท์ว่างก็อาทิตย์หน้า เขาบอกว่า ตอนนี้คนอื่น ๆ ไปอยู่ Youth Hotel ที่อยู่นอกเมือง ถ้าเราไม่ขัดข้องก็เก็บของไปกะเค้าเดี๋ยวนี้เลย

เหอะๆๆๆ พูดก็พูดเถอะ ถึงจะบอกเราว่าขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเรา แต่สีหน้าและท่าทางแกก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เราก็เลยต้อง Check out ออกจากโรงแรมนั้น ทั้งๆ ที่เพิ่งจะ Check in เข้ามาไม่ถึงชั่วโมง

โรงแรมใหม่ที่ว่านี่ตั้งอยู่นอกเมืองจริง ๆ เพื่อน ๆ ที่มาถึงก่อนหน้านี้ก็มีทั้งคนที่รู้จักและคนที่ไม่รู้จัก เราได้นอนกับพี่เอ๋ ซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มนั้น

เพราะว่าโรงแรมนี้อยู่ไกลเมืองมากนี่เอง คนเข้าพักก็เลยน้อย ห้องที่เรานอนก็เป็นห้องแบบห้าเตียง เป็นห้องน้ำรวม แต่มีแยกชายหญิง เรากับพี่เอ๋เป็นผู้หญิงแค่สองคนในกลุ่ม ก็เลยค่อนข้างจะสบาย แต่ด้วยความที่เราเป็นคนง่าย ๆ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร

ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว คนที่นี่บอกว่าอาจมีหิมะตกด้วยแต่พวกเราก็ไม่เคยได้เห็นหิมะตกจริง ๆ ซะที ตอนกลางคืน พวกเราก็มานั่งจับกลุ่มคุยกัน ก็เฮฮาปาตี้พอประมาณ มีอะไรก็เอามาแบ่งกันกิน

จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุด หลังจากที่พวกเราว่างจากภาระกิจส่วนตัว ก็มาจับกลุ่มคุยกันที่ห้องกลางห้องหนึ่ง ระหว่างที่คุย ๆ กันอยู่ อากาศข้างนอกก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิลดลงมากจนพวกเรารู้สึกได้ แล้วสิ่งที่พวกเราอยากเห็นจริง ๆ ก็ได้เห็น

เราวิ่งไปมองตรงช่องหน้าต่าง ก็เห็นคนที่อยู่ตามท้องถนนวิ่งเข้าไปหลบข้างในกันให้วุ่น เพราะหิมะขาวโพลนตกลงมา เปลี่ยนทิวทัศน์รอบบริเวณที่พักไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ เราก็ร้องเรียกเพื่อน ๆ ให้มาดู

“เฮ้ย หิมะตกแล้วเว้ย ตกหนักซะด้วย” เพื่อน ๆ ก็รีบมาดู

“เออ จริงว่ะ ดูนั่นดิ ฝรั่งวิ่งหนีเข้าบ้านกันใหญ่ ตลกดีว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งพูด

อันที่จริง มันก็คงเป็นเรื่องปกติ ที่คนเขาจะวิ่งหนีหิมะเข้าบ้านกัน แต่บังเอิญว่าพวกเราสะเหร่อไง อิอิอิ

“เออ จริงว่ะ ตลกดี พวกเราออกไปเล่นหิมะกันเถอะ” เพื่อนอีกคนชวน แล้วคนอื่น ๆ ก็เห็นดีเห็นงาม รวมถึงเราด้วย ฮ่ะๆๆๆ

ตอนที่พวกเราวิ่งออกไปเล่นหิมะกันข้างนอก ฝรั่งทั้งหลาย ทั้งที่วิ่งเข้าไปหลบ และกำลังจะวิ่งเข้าหาที่หลบ ก็หยุดมองพวกเราอย่างงงงัน เค้าคงจะคิดว่า

“ไอ้พวกกะเหรี่ยงบ้านี่มาจากไหนกันวะ เกิดมาไม่เคยเห็นหิมะกันรึไง”

วันนั้น อาจจะเป็นวันที่พวกเราเริงร่าที่สุดในรอบสัปดาห์ ใครจะว่าบ้าก็ช่าง หลังจากเล่นหิมะกันสนุกสนานอยู่นาน พวกเราก็ชวนกันไปนั่งเทรมเล่น อากาศที่ปกติเคยหนาว ก็หนาวมากยิ่งขึ้น ตอนที่อยู่บนรถเทรม ก็เห็นหนุ่มสาวเค้ายืนให้ความอบอุ่นกัน เห็นแล้วมันจั๊กจี๋ ยังดี ที่คนที่นี่ไม่ค่อยจุ๊บกันแบบเอาเป็นเอาตายตามท้องถนนเหมือนที่ฝรั่งเศส ไม่งั้นหละก้อ .... อิจฉาตาร้อน แหงมๆ

ก่อนที่จะมาที่นี่ ก็รู้ว่าเป็นช่วงฤดูหนาว แต่ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้ เสื้อผ้าที่เตรียมมาก็ไม่พอ พวกเราก็เลยต้องไปเดินชอพปิ้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะซื้อเพราะของแพง แต่ก็ต้องซื้อ นอกจากปัญหาเรื่องราคาแล้ว สำหรับ ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างก็คือเรื่องขนาดของเสื้อผ้า

เดินเลือกอยู่นาน ขอดู size S ก็แล้ว มันก็ยังใหญ่เกินไปสำหรับเราอยู่ดี

“เล็กสุดแล้วเหรอวะเนี่ย นี่มันทำมาให้เปรตใส่หรือไง ทั้งยาว ทั้งใหญ่”

เดินหาเสื้อผ้าอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ จนเมื่อยขาไปหมด กำลังจะถอดใจยอมทนหนาวไปเรื่อย ๆ อยู่แล้วเชียว ก็พอดีเหลือบไปเห็น

“บิงโก นี่แหละ ใช้ได้เลย”

ว่าแล้วก็เดินตรงรี่เข้าไปเลือกซื้อเสื้อผ้าในแผนกนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเขินนะ ที่จะบอกว่าวันนั้น เราได้เสื้อผ้ามาจากแผนกเสื้อผ้าเด็กอ่ะ

ในทริบนี้ มีลูกค้าของเราที่เป็นรัฐวิสาหกิจมาด้วยหลายคน บางคนก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ๆ ในขณะที่บางคนก็พูดได้น้อยมากจริง ๆ โดยเฉพาะพี่ที่เราจะเรียกว่าพี่เอ (คนละคนกะพี่เอ๋ ที่พูดถึงไปเมื่อสักครู่) ซึ่งเรากำลังจะพูดถึงต่อไป พวกเราอยู่ที่นั่นประมาณสองเดือนจึงมีโอกาสไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย วันหนึ่ง ลูกค้าคนนึง ชื่อพี่หนุ่ยก็มาชวน

“อาทิตย์หน้าหยุดสามวัน ไปเที่ยวออสโลว์กันมั้ย ใกล้ ๆ แค่นี้เอง นั่งรถบัสไปกัน”

“ไปดิพี่ แล้วต้องทำวีซ่าหรือเปล่า” เราถาม

“อ๋อ ไม่ต้องทำหรอก เพื่อนพี่เคยไปแล้ว เขาบอกว่าไม่ต้องใช้วีซ่า” พี่แกว่า

ด้วยความที่เราเชื่อคนง่าย (อีกแล้วครับทั่น) เราก็เลยเชื่อเรื่องที่พี่คนนี้พูดโดยที่ไม่ได้นึกเอะใจอะไรเล้ยว่าชีวิตของเราอาจพบกับความลำบากอีกแล้ว

รวบรวมรายชื่อได้ทั้งหมดหกคนที่จะไปเที่ยวออสโลว์ เมืองหลวงของนอรเวย์กันในวันหยุด นอกจากเราแล้ว คนอื่น ๆ ก็คือลูกค้าเราทั้งหมด หนึ่งในนั้นก็มีพี่เอนี้ด้วย

วางแผนเที่ยวเสร็จ เย็นนั้น พวกเราทั้งหมดก็ไปที่สถานีขนส่งเพื่อจองตั๋ว พี่เอที่ว่านี่ จะออกแนวขี้เก๊กหน่อย แกชอบแยกตัวไปเดินตามลำพัง ทั้ง ๆ ที่ภาษาอังกฤษก็ไม่ค่อยจะเอาอ่าว คราวนี้ก็เช่นกัน

เราห้าคนก็ปรึกษากัน แบ่งงานกันทำ บ้างก็ไปซื้อตั๋ว บ้างก็ไปหาข้อมูล แต่พี่เอนี่ แกแยกตัวไปยืนโดดเดี่ยวอยู่ไม่ไกลจากที่พวกเรายืนกันอยู่นัก สักครู่ พวกเราก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสะสวย และแต่งตัวดีทีเดียว เธอเดินตรงไปหาพี่เอแล้วก็ถามว่า

“Excuse me, do you know how to go to xxx street?”
“ทราบไหมคะว่าดิฉันจะไปที่ถนน xxx ได้ยังไง”

สิ่งที่พวกเราเห็นในตอนนั้นก็คือเห็นพี่เออึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนที่แกจะตอบไปว่า

“Sorry, I can’t speak English”
“ขอโทษครับ ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้” เอิ๊กกกกกกกกกกกกก

สาวงามนางนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนที่จะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เธอคงจะนึกด่าตัวเองอยู่ในใจว่า

“คนเป็นร้อยยืนอยู่แถวนี้ ทำไมตรูต้องมาซวย เลือกถามตานี่ด้วยวะ”

พอเธอเดินจากไป พวกเราห้าคนก็หัวเราะกันดังลั่น เล่นเอาพี่เอเขินไปเลย แต่แกก็เดินกลับมาหาพวกเรา

"ซ ว ย ชิบห_ย อุตส่าห์ไปยืนหลบอยู่คนเดียว ยังไม่พ้นจะโดนอีก"

ระหว่างนั้น พวกเราก็ได้แต่นับวันรอจะได้ไปเที่ยวกัน แล้วในที่สุด มันก็มาถึง

เรานั่งรถออกจากโกเธนเบิร์กตอนประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ซึ่งตามตาราง พวกเราจะไปถึงออสโลว์กันตอนเช้าตรู่ ผู้โดยสารก็เยอะพอสมควร เรานั่งแถวหลัง นั่งรถไปได้ประมาณสามสี่ชั่วโมงก็มาถึงชายแดนของนอรเวย์ รถที่พวกเรานั่งมาก็ถูกตำรวจ ตม. เรียกให้หยุด มีตำรวจ ตม. สองสามนายเดินขึ้นมาบนรถ แล้วก็บอก

“ขอตรวจพาสปอร์ตหน่อยครับ”

ตอนแรกเราก็ยังไม่ได้คิดอะไร แต่พอ ตม. ตรวจมาถึงพี่ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าเรา เขาก็พูดว่า

“คุณไม่ใช่คนสแกนดิแนเวียนี่ ขอดูวีซ่าหน่อยครับ”

สมัยนั้นยังไม่มีวีซ่าแชงเก้น ได้ยิน ตม. พูดเราถึงกับอึ้ง ซวยแล้วตรู วีซ่าไม่มีอ่ะ ไม่น่าไปเชื่อพี่หนุ่ยเล้ย แต่ตอนนั้นก็ยังใจชื้นว่า ถ้าโดนให้กลับก็กลับกันหมด สบายอยู่แล้ว แต่พอได้ยินพี่หนุ่ยแกพูดกับ ตม. นี่แหละ ทำเอาเราหนาวขึ้นมาเลย

“พาสปอร์ตของพวกเราเป็นพาสปอร์ตของรัฐบาลไทย สามารถเข้าออกประเทศคุณได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าอยู่แล้วนี่ครับ” พี่หนุ่ยบอก

“ใช่ครับ พาสปอร์สสีน้ำเงินที่เราใช้ เป็นพาสปอร์สพิเศษที่ทางรัฐบาลรับรอง” พี่อีกคนช่วยอธิบายต่อ

เอ๊า เพ่ วันก่อนที่คุยกัน พี่ไม่ได้พูดแบบนี้นี่หว่า ซวยแล้วตรู มีตรูคนเดียวที่ไม่ได้ถือพาสปอร์สของรัฐบาลไทย สงสัยจะโดนส่งกลับคนเดียวแหง ๆ (แงงงงงงงงงงงง แม่จ๋า)

“งั้นผมขอตรวจสอบก่อนนะ พวกคุณมากี่คน ผมขอพาสปอร์สของทุกคนมาด้วยครับ”

คุณตำรวจ ตม. เอาพาสปอร์สของพวกเราลงไปตรวจสอบอยู่นาน ระหว่างนั้น มีเราคนเดียว ที่ลุ้นกว่าใคร เวลาที่ต้องรออะไรแบบนี้ รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปช้าซะจริง ๆ

“ถือพาสปอร์ตสีน้ำเงินไม่เห็นบอกกันมั่งเลย ซวยเลยเนี่ย ถ้าโดนส่งกลับคนเดียวจะทำไง”

พาสปอร์สสีน้ำเงินในที่นี้คือพาสปอร์สที่ออกโดยรัฐบาลไทยสำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ถ้าเป็นพาสปอร์สทั่ว ๆ ไปที่พวกเราใช้กันจะเป็นสีเลือดหมู (พาสปอร์สรุ่นเก่า)

ลูกค้าที่มาด้วยกันพากันหัวเราะตลกขบขันเรากันยกใหญ่ แต่อารมณ์ในตอนนั้นนะ ไม่ขำเลยสักนิด รอนานเข้า เหงื่อก็เริ่มตก พี่หนุ่ยพูดว่า

“ถ้าโดนส่งกลับ เดี๋ยวพี่กลับเป็นเพื่อน”

ได้ฟังก็น้ำตาจะร่วงเผาะ จะเศร้าหรือจะซึ้งดีหละเนี่ย

สักครู่คุณตำรวจ ตม. ก็เดินถือพาสปอร์สขึ้นมาบนรถ เราก็กลั้นหายใจ ดั่งว่ารอคำพิพากษา โดยเฉพาะตอนที่เขายื่นพาสปอร์สให้เรานี่ รู้สึกเหมือนกับว่าโลกหยุดหมุนเลย

“โอเค ไปได้” พอเขาพูดจบ เราก็ตะครุบแขนเขาไว้

“หา!!! ผ่านหรือคะ” เรายังถามต่อ

“ครับ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ” เขาย้ำหนักแน่น

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ” เรายกมือไหว้คุณตำรวจ ตม. ประหลกๆ เขาก็หัวเราะขำ ๆ แล้วก็เดินลงรถไป แต่ไอ้พวกที่นั่งอยู่บนรถนี่ดิ หัวเราะกันดังลั่น


Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2551 22:52:31 น. 2 comments
Counter : 382 Pageviews.

 
ไปต่อกันที่กลุ่ม "ไกลบ้าน" นะคะ


โดย: NoiseN วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:14:51 น.  

 
อ้าว กะลังอ่านมันส์ๆ ย้ายวิกซะแระ อ่ะ ตามไป ๆ จะตามเจอป่ะเนี่ยะ


โดย: P.Ta วันที่: 17 มิถุนายน 2551 เวลา:22:08:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

NoiseN
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Noise219 นะคะเพื่อน ๆ มาในบล็อกใหม่เพราะของเดิมโดนไวรัสค่ะ

ขอบคุณป้ามด คุณ N_BEE810 และคุณเนยสีฟ้า สำหรับของแต่งบล็อกสวย ๆ นะคะ

^-^ ^_^ ^_^ ^_^

I love Melbourne Long Live the King
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
19 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add NoiseN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.