Noise219@Melbourne
เรื่องเพี้ยน ๆ ของเทคนิเชี่ยนคู่ใจ

เราเป็นวิศวกรค่ะ ทำงานอยู่บริษัทญ่ายยยมากแห่งหนึ่งที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก แต่อย่าไปสนใจเลยค่ะ ว่าบริษัทอะไร เพราะวันนี้ เราจะมาเล่าเรื่องของเพื่อนร่วมงานให้ได้อ่านกัน เพื่อนร่วมงานคนแรกที่จะเล่า เป็นเรื่องของน้อง technician ที่เคยทำงานเป็นคู่หูกันเมื่อครั้งที่เราทำงานอยู่บริษัทก่อนหน้านี้


เรารักงานที่เราทำมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวงานที่มีความน่าสนใจ แต่ส่วนสำคัญที่สุด น่าจะมาจากเพื่อนร่วมงาน สาเหตุที่จะเล่าเรื่อง Technician คู่ใจ คนนี้ก็เพราะน้องเทคฯ คนนี้น่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานกลุ่มแรก ๆ ที่ทำให้เราเกิดความรัก ความผูกพันธ์ในอาชีพนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงน้องคนนี้ ก็ทำให้เรายิ้มได้แทบทุกครั้ง

เทคฯ คนนี้ชื่อวิทย์ เป็นเด็กจบใหม่ และอายุก็ยังน้อย หน้าตาและท่าทางก็ไม่น่ามาเรียนด้านนี้เอาซะเลย น่าจะไปเรียนอะไรที่จบมาแล้วทำงานสบายกว่านี้ ประเภทงานในออฟฟิศมากกว่า แต่ก็อย่างว่า คนเราจะดูกันแค่หน้าตาหรือบุคลิกภายนอกอย่างเดียวก็ดูจะไม่ค่อยเป็นธรรม

ตอนนั้นเราทำงานอยู่บริษัทแรก ออฟฟิศหลักก็อยู่จังหวัดชลบุรี แต่ต้องมีไปออก site แถบภาคตะวันออก ตะวันตก และภาคกลาง งานที่ทำก็เป็นงานพวกติดตั้งอุปกรณ์ Router ซึ่งในตอนนั้นเวลาไปทำงานที่ไหน ก็มักจะไปกันเป็นคู่ อาจมีไปเยอะกว่านั้น ถ้าต้องเร่งงานให้ทันเสร็จเวลา ส่วนใหญ่เราก็จะไปกับน้องเทคฯ คนนี้แหละ วิทย์ก็จะทำหน้าที่ขับรถจากชลบุรี พาเราไปถึงที่ที่จะทำงาน พอไปถึง เขาก็ช่วยเราขนอุปกรณ์ขึ้นตึก อย่าเพิ่งนึกว่าง่าย เพราะ Router ที่เราไปติดตั้งในสมัยนั้น ไม่ใช่ตัวเล็ก ๆ เหมือนที่เราเห็นไปปัจจุบัน มันเป็นอุปกรณ์ที่ต้องเอาไปติดตั้งตามชุมสายโทรศัพท์ เรียกว่าเป็นชุมสายย่อย ๆ ของ Router อีกทีนั่นแหละ

อันที่จริง หน้าที่ในการติดตั้งพวกนี้ก็จะเป็นของวิทย์ ส่วนเราก็จะทำส่วนที่เป็นซอฟท์แวร์ แต่เราก็เห็นว่าเขาขับรถมาเหนื่อย ๆ ก็อยากให้พักบ้าง เพราะวัน ๆ พวกเราอาจต้องไปหลายที่ ประกอบกับว่าเราก็เป็นพวกหญิงแกร่ง (ม่ายช่าย...ก็เคยทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กแล้วไง งานแค่นี้ จิ๊บจ๊อย)

ด้วยความที่เราสองคนต้องพึ่งพาอาศัยกันแบบนี้แหละ วิทย์ก็เลยถูกมองว่าเป็น ”น้องรักของเรา” ไปโดยปริยาย แต่เราก็รักเขาเหมือนน้องชายจริง ๆ นั่นแหละ

เรื่องเพี้ยน ๆ ของวิทย์ก็มีอยู่เยอะแยะ แต่ที่ทำให้เราปวดหัวมากที่สุด ก็เรื่องที่เขามักจะหลงทางเป็นประจำนี่แหละ แรก ๆ ที่เราไปทำงานต่างจังหวัดกับเขา เราก็มักจะนอนหลับเอาแรง (นั่งรถปุ๊บ ก็หลับปั๊บ) มีอยู่วันหนึ่ง ที่พวกเราจะต้องไปทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรี พวกเราก็นั่งรถออกจากชลบุรีกันตั้งแต่เช้า เราก็หลับไปในรถโดยมีวิทย์เป็นคนขับ เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกที ก็ตอนที่เขาสะกิดเราแล้วบอกว่า

“เจ๊ ๆ ตื่น ๆ ผมว่าผมหลงแล้วแหละ เจ้ช่วยดูหน่อยดิ๊ ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน"

ความตื่นตระหนกของวิทย์ทำให้เราตาสว่างได้เลยเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เราเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน แต่ก็บอกให้เขาขับต่อไปอีกหน่อย ประเดี๋ยวถ้าเจอทางแยกค่อยว่ากันอีกที ซึ่งก็นับว่าโชคยังดี ยังไม่ได้หลงไปไหนไกล แค่แถว ๆ บ้านโป่งนั่นเอง ตั้งแต่นั้นมา เราไม่กล้าหลับอีกเลย ต้องคอยนั่งบอกทางให้เขาตลอด จากที่เราไม่เคยใส่ใจเรื่องถนนหนทาง เพราะขับรถไม่เป็นก็อย่างหนึ่ง และด้วยความที่เกิดเป็นหญิง ความสนใจด้านนี้ก็มีน้อยด้วยอีกอย่างนึง ก็กลายเป็นว่าเราต้องคอยศึกษาเส้นทางอยู่ตลอดเพราะถ้าเราพลาดเมื่อไหร่ ก็รับประกันได้เลยว่า วิทย์จะพาหลงทางอีกตามเคย

เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดีเสมอไป เมื่อวันหนึ่ง วิทย์ต้องขับรถกลับบ้านโดยไม่มีเราไปด้วย แม้ว่าตอนนั้นพวกเราจะมีน้องเทคฯ อีกคนไปด้วยแต่คนที่ไปด้วยก็ไม่ต่างไปจากวิทย์เท่าไหร่นัก ครั้งนั้น พวกเราไปทำงานที่จังหวัดอยุธยา ตอนขากลับ เราก็จะแวะหาเพื่อนที่กรุงเทพ เนื่องจากว่าเป็นคืนวันศุกร์ เราก็เลยขอให้สองคน เขาแวะส่งเราแถว ๆ ฟอร์จูนทาวน์ ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเวลาในตอนนั้นก็ประมาณตีหนึ่งเห็นจะได้ พอส่งเราเสร็จ เราก็ทวนเส้นทางให้ทั้งสองคนอีกรอบหลังจากที่ซักซ้อมกันมาพอสมควรระหว่างทาง เราบอกให้เขาขึ้นทางด่วนที่พระรามเก้า แล้ววิ่งตามป้ายบอกทางไปบางนา จะออกถนน บางนา-ตราด

เพื่อน ๆ คงคิดว่า น่าจะไม่มีอะไรใช่ไหมหละ ดึกขนาดนั้น รถก็ไม่ค่อยติด ไฟก็สว่าง เปล่าเลยค่ะ

พอเราเจอเพื่อนก็นั่งคุยกันสักครู่ (ไม่เกินสิบห้านาที) กำลังจะไปอาบน้ำ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอเห็นเบอร์โทรศัพท์ก็รู้ทันทีว่ามีปัญหาแน่ ๆ

"ฮัลโหล ว่าไง ถึงไหนกันแล้ว" นี่เราทักขึ้นมาก่อนเลย มันก็เงียบไปหนึ่งอึดใจก่อนจะตอบว่า

"เจ๊ ผมว่าผมหลงอีกแล้วหละ"

"อ้าว หลงได้ไงอ่ะ แล้วอยู่ไหนกันหละเนี่ย"

"ไม่รู้เหมือนกันเจ๊ พอผมขึ้นทางด่วนมาปุ๊บ ไม่ถึงห้านาที ก็เป็นทางลงแล้วอ่ะ ผมก็สงสัยว่าทำไมมันเร็วจัง"

‘อ้าว แกไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วชั้นจะรู้ได้ไงหละเนี่ย’ เราก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ ก่อนจะพูดออกไป

"เออ.. ใจเย็น ๆ แล้วเห็นป้ายอะไรอยู่ข้างหน้าบ้างไหมล่ะ" เราพยายามทำใจเย็นไว้ ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากบอกว่า ‘น่าตบกะโหลกจริง ๆ นะแก ทวนแล้ว ทวนอีก ยังมาหลงทางได้อีกเหรอ’

"ป้ายเหรอ อ้อ ข้างหน้าบอกเลี้ยวขวาสุทธิสาร ตรงไปเป็นรังสิตครับ"

เราก็ถึงบางอ้อ!! เขาขึ้นทางด่วนพระรามเก้า ไปลงดินแดงนี่เอง

"เออๆๆ กลับรถใต้สะพานเลย แล้วกลับไปขึ้นทางด่วน แล้วก็อย่าหลงอีกหละ"

แล้วก็ทวนเส้นทางให้เขาอีกรอบ

"ครับเจ๊ ขอบคุณครับ"

‘เฮ้อ !! รอดไปอีกวัน’ แต่ก็ทำเอาเราต้องนั่งรอโทรศัพท์มันอยู่ถึงเกือบตีสาม เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขากลับถึงบ้านที่ชลบุรีเรียบร้อย

โดยทั่ว ๆ ไปต้องถึงว่าวิทย์เป็นเด็กดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เล่นการพนัน ยิ้มง่าย อารมณ์ขัน ที่เราชอบมาก ๆ ก็เรื่องที่เขาจะกินทุกอย่างที่เหลืออยู่บนโต๊ะอาหาร เก็บเรียบ ไม่มีเหลือ อันนี้เป็นนิสัยที่ดี เพื่อน ๆ ชอบ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้มันพบกับความลำบากเข้าจนได้

ตอนนั้นพวกเราไปทำงานที่กาญจนบุรีด้วยกัน แต่ครั้งนั้นไปกันสี่คนโดยมีเพื่อนจากออฟฟิศที่กรุงเทพไปด้วยอีกสอง ที่ทำงานก็อยู่เลียบเส้นทางไปน้ำตกไทรโยค แต่พวกเราอยากไปนอนที่เขื่อนศรีนครินทร์ พอทำงานเสร็จประมาณสองทุ่ม พวกเราก็ขับรถขึ้นไปหาที่พักโดยเลือกที่พักที่อยู่ใกล้ ๆ เขื่อน นัยว่าเช้าขึ้นมาก็เดินไปดูบรรยากาศเหนือเขื่อน สายหน่อยก็จะไปน้ำตกเอราวัณก่อนที่จะไปทำงาน

‘ว๊าว such a good plan !!!!’

พอได้ที่พักที่เป็นรีสอร์ทเล็ก ๆ พวดเราก็หิว ก็เลยสั่งอาหารตามสั่งมากิน ตั้งใจว่า สี่คน สั่งอาหารมาสี่อย่าง น่าจะกินหมด หนึ่งในจำนวนนั้นก็สั่งปลาน้ำจืดทอดกระเทียมด้วยหนึ่งจาน แต่เพื่อความแน่ใจ เราก็ถามเด็กที่มารับออเดอร์ว่า

"น้อง จานนึงนี้มันเยอะขนาดไหนน่ะ"

"ไม่เยอะหรอกพี่ ก็แค่ขนาดทั่ว ๆ ไป" เด็กบอก

พวกเราก็สั่งมาสี่อย่าง โดยเราบอกเด็กไปว่าปลาทอด ให้เอาปลาตัวเล็ก เด็กเสิร์ฟก็หายเข้าไปสักสองสามนาทีก่อนจะวิ่งกระหืดกระหอบออกมาบอกว่า

“พี่ ปลาตัวเล็กหมดครับ เอาที่มันใหญ่ขึ้นมาอีกนิดได้ป่ะ เพิ่งตกได้เมื่อตะกี้นี่เอง"

พวกเราก็เลยบอกว่าเอางั้นก็ได้

เรารอกันอยู่ไม่กี่อึดใจ อาหารที่สั่งจานแรกก็มา เป็นผัดผัก

‘อุ๊แม่เจ้า ทำไมมันจานเบ้อเร่อขนาดนี้วะ’

พวกเราก็มองหน้ากัน แล้วทำตาปริบ ๆ แต่ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่เริ่มกินไปเงียบ ๆ จานที่สอง สาม ก็ตามมาด้วยขนาดที่ไม่แตกต่างกัน กว่าปลาทอดจะมา พวกเราก็เหน็ดเหนื่อยกับการกินอาหารทั้งสามจานที่มาก่อนซะแล้ว ในที่สุด เวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง เราเห็นเด็กเสิร์พคนเดิม (คนเดียวกับที่รับออเดอร์) ก็ยกอะไรบางอย่างมา ไม่สามารถบอกว่าเป็นจาน ต้องเรียกว่าถาด จึงจะถูก บนถาดนั้น ก็ไม่มีที่เหลือให้วางของอย่างอื่นได้นอกจากปลาทอด เราก็อึ้ง ๆ มองหน้าเด็กเสิร์ฟ แล้วถามว่า

"เมื่อตะกี้น้องบอกว่ามันใหญ่กว่าตัวเล็กที่พี่สั่งนิดเดียวไม่ใช่เหรอ"

เด็กเสิร์พพยักหน้า แล้วยิ้ม

"ครับพี่ ก็นี่แหละครับ ใหญ่กว่านิดหน่อยเอง จริงๆ นะ"

พวกเราก็เลยต้องรับผิดชอบสิ่งที่สั่งมา แต่คนอื่นๆ ก็ฝืนกินไปได้สักพักก็หยุด เว้นก็แต่วิทย์นี่แหละที่ยังคงทำหน้าที่ตัวเองอยู่ เราเห็นหน้าตอนที่เขาพยายามกินปลาให้หมดแล้วก็เลยบอกว่าไม่ต้องกินให้หมดก็ได้ ช่างมันเหอะ ไม่ต้องเสียดาย แต่เขาก็บอกว่า

"ไม่เป็นไรเจ๊ ผมยังไหว"

พอกินเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปนอนเพราะความเหนื่อยอ่อน ตอนเช้าก็ตื่นมาเพื่อจะได้ไปเที่ยวกันตามแผนที่วางไว้ พวกเราสามคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ขาดก็แต่วิทย์ พวกเราเลยเดินไปดู ปรากฏว่าเจอเขานอนหน้าซีดอยู่ในห้อง บอกพวกเราว่า

"พี่ไปกันเถอะ ผมขอนอนต่ออีกหน่อยนะ เมื่อคืนอ๊วกทั้งคืน ยังผะอืดผะอมไม่หายเลย"

จริงๆ แล้วมันเศร้านะ แต่เราสามคนหัวเราะก๊าก

เรื่องที่เราเคยบอกว่าคนลักษณะอย่างวิทย์ไม่น่าเหมาะมาทำงานเป็นเทคฯ ก็ด้วยนิสัยขี้อายอีกอย่างของเขานี่แหละ (ไม่ได้บอกว่าเป็นเทคฯ ต้องหน้าด้านน๊า ไม่ถึงขนาดน๊าน) เวลาที่เขาเจอสาว ๆ น่ารัก ๆ เขาก็จะได้แค่เมียง ๆ มอง ๆ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนน่าตาดีอย่างนั้น (อันนี้พูดจริง ๆ ไม่ได้ประชด ไปที่ไหน สาว ๆ ติดตรึม)

มีอยู่ครั้งนึง ก็ต้องไปทำงานแถว ๆ จังหวัดอุทัยธานีและอยุธยา ตามแผนงานแล้ววันต่อไปพวกเราต้องไปทางภาคกลางตอนใต้และต้องแวะเอาอุปกรณ์ที่ออฟฟิศกรุงเทพเสียก่อน เราก็เลยตกลงกันว่าจะมานอนที่กรุงเทพ ดีกว่า เพื่อที่ว่าเช้าขึ้นมาจะได้เข้าออฟฟิศไปเอาอุปกรณ์ได้เลย

พวกเรามาถึงกรุงเทพประมาณสามทุ่มครึ่ง เราก็ตั้งใจว่าจะไปนอนกับเพื่อน แต่ต้องพาวิทย์ไปหาที่พักก่อน ขับรถวนหาที่พักอยู่สองสามแห่งก็ยังไม่ได้สถานที่ที่ต้องการเนื่องจากงบประมาณที่บริษัทให้มาสำหรับค่าที่พักมีน้อย พวกเราเลยขับรถเข้าไปตามถนนเทียนร่วมมิตร ไม่นานก็เห็นป้ายโรงแรม ซึ่งตรงข้างทางบอกราคาด้วย

‘โอ๊ว เจ๋ง อยู่ในงบพอดี’

วิทย์ก็เลยขับรถเลี้ยวเข้าไป ตอนที่เลี้ยวรถเข้าไป เราสองคนก็นึกเอะใจแล้วว่าโรงแรมประเภทไหนกัน ทำไมต้องมีเด็กถือไฟฉายมาคอยโบกอยู่หน้าโรงแรมด้วย พอเลี้ยวเข้าไปถึงกับช็อค มีห้องพักที่เรียงรายอยู่สองฝั่ง ๆ ละประมาณ 5-6 ห้อง (ไม่ค่อยแน่ใจ) และทุกห้องมีม่านปิดอยู่หน้าห้องทุกห้องเลย

"เฮ้ย ม่านรูดนี่หว่าเจ้"

วิทย์ดูจะช็อกกว่าเราอีก ถึงกับปากสั่น เราก็นึกในใจ ‘ตรูก็เห็นอย่างที่แกเห็นนี่แหละ’ แต่ก็ต้องเก๊กไว้ ก่อนจะบอกมันว่า

"เออ ว่ะ เฮ้ย กลับรถออกไปเลย"

ที่จริงเราไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะเขากลับรถอย่างเร็ว รีบออกมาก่อนที่เราจะพูดจบซะอีก เด็กที่ถือไฟฉายโบกรถก็ทำหน้างง ๆ

ออกมาได้ เราสองคนก็มาจอดรถนังขำกันอยู่แถว ๆ ใกล้ ๆ หน้าห้างโรบินสัน ก่อนจะตั้งหลักกันใหม่ กว่าจะหาโรงแรมให้วิทย์อยู่เรียบร้อยก็ปาไปเกือบจะห้าทุ่ม แต่อะไรก็ไม่เจ็บใจเท่าประโยคสุดท้ายที่เขาบอกตอนขับรถมาส่งเราที่หอพักเพื่อนนี่แหละ

"เจ๊ เจ๊อย่าไปบอกใครนะ ว่าผมขับรถพาเจ๊เข้าม่านรูด ผมอายเค้า !!"

พูดเสร็จเขาก็ขับรถออกไป ก่อนที่เราจะทันได้พูดอะไรออกไป

"ไอ้.... ชั้นควรจะอายเค้ามากกว่าแกอีก"

ความจริงอันแสนเศร้าของเราอย่างหนึ่งก็คือ เราเป็นคนประเภทลืมง่าย หรือที่เรียกกันว่าความจำสั้นค่ะ จากที่ตอนกลางคืนที่วิทย์ได้ฝากรอยเท้า เอ้ย ฝากคำพูดทำร้ายจิตใจเราไว้ พอเช้าขึ้นมาเราก็ลืมไปหมดซะแล้ว

แต่ในคืนเดียวกันนั้นแหละ มันก็มีความลับอีกอย่างที่ไม่เคยมีใครรู้ นอกจากเรากับเจ้าวิทย์

ถ้ายังจำกันได้ หลังจากที่ความเฟอะฟะของเราสองคนเกือบจะพาพวกเราไปเข้าม่านรูดมาแล้ว เราพาวิทย์ไปหาห้องพักอยู่นานเกือบสองชั่วโมง แต่ก็ด้วยเหตุที่เวลาในตอนนั้นมันก็ค่อนข้างดึกแล้ว โรงแรมปกติที่ไม่ใช่ม่านรูดส่วนใหญ่ (ที่ราคาอยู่ในงบที่เขาพอจะจ่ายได้) ก็เต็มหมด

สุดท้าย วิทย์ก็เลยต้องได้ไปนอนที่โรงแรมม่านรูดจนได้ แต่เป็นคนละที่กับที่เจอครั้งแรก

"เอางี้แล้วกันเจ๊ เดี๋ยวผมไปส่งเจ๊พี่บ้านเพื่อนเจ๊ก่อน แล้วผมค่อยกลับมานอนที่นี่"

ตอนเช้า วิทย์ก็ขับรถมารับเราตั้งแต่เช้า เพราะพวกเราต้องรีบเข้าไปเอาอุปกรณ์ที่ออฟฟิศก่อนที่จะไปนครปฐมต่อ

"เป็นไง เมื่อคืนหลับสบายป่ะ" เราทักขึ้น

"สบายอะไรกันหละเจ๊ เมื่อคืนนี้ผมแทบไม่ได้นอน" เขาพูดด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว เราก็นึกว่าเออ สงสัยจะนอนผิดที่หรือไม่ก็ยังไม่หายตื่นเต้นจากเรื่องเมื่อคืน

"เอ๊า ทำไมหละ พี่งี้ หลับเป็นตายเลย" เราบอก

"โธ่ เจ๊ไม่เคยเห็นอ่ะดิ ว่าห้องในโรงแรมม่านรูดมันเป็นไง"

'อ้าว ไอ้นี่ วอนซะแล้ว ตรูจะรู้ได้ไงว่ามันเป็นไง' เรางี้นึกอยากจะตบกะโหลกไอ้น้องเวรนี่ซักที พักนี้มันพูดจากวนอวัยวะเบื้องล่างดีจัง

"แล้วมันเป็นไงหละ" เราถาม

"ก็ในห้องนั้น มันมีแต่กระจกอยู่ทุกด้านเลย พลิกตัวไปทางไหนก็เห็นแต่ตัวเอง"

ฮ่ะๆๆๆๆๆ ที่แท้มันก็กลัวเงาตัวเองนั่นเอง สงสัยว่าจะกลัวเงาในกระจกจะลุกขึ้นมาปล้ำมันหละมั้ง

"เอ๊า แล้วทำไมแกไม่ปิดไฟนอนวะ ปิดไฟก็ไม่เห็นอะไรแล้ว" เราก็พูดไปหัวเราะไปแล้วหละตอนนี้

"โธ่ เจ๊ ใครจะกล้าปิดไฟนอน ก็ผมกลัวผีนี่"

เอิ๊กกกกกก เราหัวเราะเสียงดังลั่น แต่วิทย์มันยังทำหน้าเศร้าอยู่

"เรื่องมันเศร้านะพี่ ไม่ใช่เรื่องตลก ผมกลัวผีจริง ๆ" วิทย์บอก

"แล้วอีกอย่าง ผมก็เพิ่งเคยนอนม่านรูดเป็นครั้งแรกด้วย คิดดูดิ จะนอนม่านรูดทั้งที ก็ต้องมานอนคนเดียวอีก"

ฮ่ะๆๆๆๆ เอิ๊กกกกๆๆๆๆ ถึงตอนนี้เราก็หัวเราะเหมือนคนบ้าไปแล้ว กลายเป็นว่าเขาต้องนั่งบ่นให้เราฟังไปเรื่อยโดยที่เราช่วยอะไรไม่ได้เลย

"แต่พี่ห้ามบอกใครเด็ดขาดเลยนะ เรื่องที่ผมนอนม่านรูดเนี่ย ผมหละอายจริง ๆ"

"โดยเฉพาะแฟนผมนี่ รู้ไม่ได้เด็ดขาด" เขายังไม่วายจะกำชับเราอีก

'ตายห่ะ หละน้องชั้น เข้าชมรมกลัวเมียตั้งแต่ยังไม่แต่งเลยเหรอนี่'

ก็อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่าวิทย์เป็นเทคฯ หน้าตาดี แถมยังหน้าเด็กอีกซะด้วย วิทย์คบกับแฟนคนนี้มานานพอสมควร แล้วเขาก็รักแฟนเขามากซะด้วย

มีอยู่วันหนึ่ง เราก็ต้องทำงานที่กาญจนบุรีกับวิทย์อีกเช่นเคย ขับรถไปถึงที่ไซด์งาน เราก็ช่วยกันขนของเข้าไปข้างใน หน้าที่ของเราสองคนในครั้งนี้ก็คือ เอาการ์ดของอุปกรณ์ชุมสายของ Router มาใส่เพิ่ม แล้วก็ต้องทำการ Set up ให้มันสามารถติดต่อไปยังส่วนกลางได้ ซึ่งหน้าที่ใส่การ์ดเป็นของวิทย์ ส่วนเราก็ทำหน้าที่ Set up ข้อมูล

ข้อควรระวังของการใส่การ์ดพวกนี้ก็คือ ต้องระวังไม่ให้การ์ดใหม่ที่เราจะใส่ สัมผัสกับการ์ดเดิมที่มีอยู่แล้วและต้องระวังไม่ให้มือสัมผัสตัวการ์ดโดยตรง เนื่องจากอุปกรณ์อิเลคทรอนิคเหล่านี้มีความอ่อนไหวต่อการสัมผัสอย่างมาก เวลาจับจะต้องจับส่วนที่เป็นหน้าสัมผัสด้านนอกของการ์ด (ทำนองเดียวกับเวลาที่เราจับแผ่นซีดี) ซึ่งวิทย์ก็เข้าใจในเรื่องพวกนี้ดี

หลังจากเสร็จงานที่ไซด์ เราสองคนก็เข้าไปหาที่พักในเมือง หลังจากนั้นก็ชวนกันไปเดินช็อบปิ้งที่ห้าง (ซึ่งตอนนั้นเพิ่งจะเปิดใหม่ ๆ )

"จะไปหลีสาวหละซี้" เราแซว วิทย์หน้าแดงก่อนจะตอบ

"ไปกะเจ๊แบบนี้ ผมจะไปหลีสาวได้ไง ผู้หญิงที่ไหนเห็น เค้าก็หลบหมดแล้ว"

อืม..มันพูดจากำกวมแบบนี้ จะเอายังไงกะมันดีหละ นี่มันว่าเราหน้าเด็กพอ ๆ กับมัน หรือมันว่าเราน่ากลัวจนใคร ๆ ขวัญกระเจิงกันหละเนี่ย

"ถึงชั้นจะหน้าดุ แต่ก็คงไม่ถึงกับทำให้สาว ๆ ของแกกระเจิงหละมั้ง" เราว่า

"ไม่ช่ายอย่างน้านนน" มันลากเสียงยาว

"สาว ๆ เค้าคงจะคิดว่าเจ๊เป็นแฟนผม คงไม่มีใครสนใจผมแล้วแหละ" พูดซะน่าสงสารเลยนะเนี่ย

"แกเคยสองกระจกดูหน้าตัวเองมั่งมั๊ยเนี่ย" เราถาม

"ผมก็ส่องทุกเช้าหละเจ๊ ทำไมเหรอ ผมว่าผมก็หล่อพอใช้ได้นะ" ฟังมันว่าแล้วก็คันไม้คันมือจริง ๆ เลย

"ก็เออดิ แกหน้าอ่อนซะขนาดนี้ ไปกะพี่ เค้าก็คงจะคิดว่าแกมากะแม่หละมั้ง" เราประชด แต่วิทย์มันยิ้มหน้าบาน

ตลอดเวลาปีกว่า ๆ ที่ทำงานที่ทำงานที่ชลบุรี ถึงเราจะมีเพื่อนสนิทหลายคน แต่วิทย์นี่จะเป็นคนที่เราไปไหนมาไหนด้วยบ่อยที่สุด ถือได้ว่าเป็นคู่หูคู่ฮากันเลย แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ไม่นานนักหลังจากทริบที่กาญจนบุรีครั้งนั้น ชีวิตเราก็พบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ในตอนนั้น เวลาที่เราทำงาน เราก็ทำงานเหมือนกับวิศวกรและเด็กจบใหม่ที่ไฟยังแรงอยู่ทั่ว ๆ ไป คือวัน ๆ ก็ทำแต่งาน ไม่ได้คิดที่จะสนใจความเป็นไปของคนอื่นและไม่ได้สนใจความเปลี่ยนแปลงที่มันจะเกิดขึ้นกับบริษัทของเราเลยแม้แต่น้อย ซึ่งไม่ดีเลย น้อง ๆ อย่าเอาเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะเรา (ในตอนนั้น) ไม่เคยคิดจะสนใจ ว่าหัวหน้าเราจะเป็นยังไง คิดแต่เพียงว่า ถ้าเราทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว แต่มันไม่ใช่เลย มันไม่เพียงพอที่จะทำให้หน้าที่การงานของเราก้าวหน้าได้อย่างที่ควรจะเป็น

ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เราจึงได้ลาออกจากงานที่บริษัทนี้ แล้วย้ายมาทำงานกับบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ วันที่เราไปยื่นใบลาออก วิทย์ก็เข้ามาพูดกับเราว่า

"เจ๊ไม่อยู่อย่างงี้ ผมก็แย่เลยดิ" ความที่เราสองคนก็ทำงานด้วยกันมานาน พอเขาพูดแบบนี้ก็ทำเอาเราใจหายไปเลยเหมือนกัน พาลจะเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ ว่าที่ตัดสินใจไปนั้นถูกหรือผิด

"ทำไมหละ" เราถาม

"ใครจะปกป้องผมหละ" เอา เอาเข้าไป เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย เห็นเรากล้ามใหญ่พอที่จะปกป้องใครได้เลยรึ ตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอดเลยนะนั่น

"อีกอย่าง เจ๊ไม่อยู่ แล้วผมจะกัดใครหละ กะเจ๊ยู้ ผมก็ไม่กล้ากัดเค้า"

'กำลังจะซึ้งจนน้ำตาไหลอยู่แล้วเชียว แกก็ดั๊นมาทำให้ชั้นอารมณ์ค้างอีกแล้วเรอะ' แต่ก่อนที่เราจะพูดอะไรไป เขาก็รีบพูดต่อ

"ล้อเล้นนนน ก็เจ๊ไม่อยู่ ก็ไม่สนุกแล้วดิ ทำงานกะเจ๊นี่มันส์สุด ๆ แล้ว"

"ก็จริงเนอะ คงจะมีแต่ชั้นคนเดียวนี่แหละ ที่ยอมให้แกพาเข้าม่านรูด" พูดจบก็ขยิบตาให้มันทีนึง

"จุ๊ๆๆๆๆ เจ๊อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน" ดู๊ ดูมัน จนป่านนี้แล้ว มันยังจะกลัวชาวบ้านเค้าจะรู้อีกแน่ะ

"เออๆๆ ก็ได้ แต่อย่าไปซี้ซั้วพาใครเค้าเข้าไปอีกหละ เดี๋ยวก็ได้ติดคุกหัวโต ชั้นไม่ตามไปประกันแกออกมานะเว้ย" เราบอก

"โอ๊ย ไม่ต้องห่วงเจ๊ ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าชื่อแบบไหน มันจะเป็นม่านรูด ถ้าเข้าไปคราวนี้ ผมก็ตั้งใจเข้าเลยแหละ"

"โธ่ ทำมาคุย พี่ขอแค่ว่า แกไม่โดนสาว ๆ หลอกเข้าม่านรูดก็พอแล้ว ฮ่ะๆๆๆ"

เรื่องที่เราสองคนบังเอิญเข้าไปในม่านรูด กับเรื่องที่วิทย์ต้องเข้าไปนอนในม่านรูดในวันนั้นก็ยังคงเป็นความลับที่เรามันเคยบอกใคร ตอนนี้วิทย์ก็แต่งงานมีลูกและมีครอบครัวที่น่ารักไปแล้ว แต่ความรักที่เรามีให้เขายังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ถึงวันนี้ผ่านไปแล้วสิบปี วิทย์มันจะรู้หรือเปล่าน้อ ว่าเราเอามันมาเผาให้ชาวโลกรู้กันหมดแล้ว อิอิอิ

มีโอกาสเมื่อไหร่ จะกลับมาอีก กับ "คันปาก อยากเล่า" ซึ่งตอนต่อไปจะมาเล่าให้ฟังว่าทำไปเราจึงได้ย้ายมาทำงานที่บริษัทที่เราทำอยู่ปัจจุบัน และทำไม เราถึงได้มาทำงานให้กับ Regional Office ที่ต่างประเทศซึ่งเป็นออฟฟิศที่บริษัทนี้ใช้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

ที่บริษัทใหม่นี่เอง ที่เราได้เรียนรู้ว่า ทำงานยังไงจึงจะได้ดี และทำงานยังไงจึงจะมีความสุข บอกได้เลยว่าสนุกสนานไม่แพ้ตอนที่ทำงานอยู่ที่ชลบุรีเลยทีเดียว เพราะเพื่อน ๆ แต่ละคนที่ที่ทำงานปัจจุบันก็เพี้ยนมากพอ ๆ กับวิทย์เลยหละ เอ..หรือว่าเพี้ยนกว่า อิอิอิ







Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2551 19:36:24 น. 1 comments
Counter : 361 Pageviews.

 
หาที่เรียนไม่ได้ไปที่ไหนก็ไม่มีคนรับเลย


โดย: โจ้ IP: 118.172.197.84 วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:8:39:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

NoiseN
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Noise219 นะคะเพื่อน ๆ มาในบล็อกใหม่เพราะของเดิมโดนไวรัสค่ะ

ขอบคุณป้ามด คุณ N_BEE810 และคุณเนยสีฟ้า สำหรับของแต่งบล็อกสวย ๆ นะคะ

^-^ ^_^ ^_^ ^_^

I love Melbourne Long Live the King
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
17 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add NoiseN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.