อย่างที่บอกไว้พาร์ทที่แล้วนะคะ
ทริปนี้ได้ทำรีวิวลงพันทิปไปแล้ว
แต่อยากจะเก็บไว้ในบล๊อกแก็งด้วย
เลยเอามาอัพซ้ำ แบบก๊อปวางค่ะ
^^
มาต่อที่วันที่ 2 กันเลย
แพลนของวันนี้ค่ะเดินทางจากพระธาตุอินทร์แขวน ไปเที่ยวที่บาโก(หงสา)
จากนั้นบ่ายๆนั่งรถไฟไปยังย่างกุ้งค่ะ
ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเดินขึ้นไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนให้ได้ 3 ครั้ง
ดังนั้นเช้านี้เลยต้องรีบตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปไหว้รอบสุดท้ายก่อนลงเขาค่ะตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง อาบน้ำเก็บของ รีบออกไปไหว้พระธาตุตอนหกโมงเช้า
นี่ขนาดออกมาแต่เช้า กลายเป็นว่าเดินสวนกับชาวพม่าจำนวนมากที่เค้าเดินลง
คืออะไรอ่า เพิ่งหกโมงเอง กลับกันละหรอ
เย่! ทันใส่บาตรด้วย อาหารก็ซื้อจากเด็กๆแถวนั้นทำข้าวนึ่งกับปลาท่องโก๋แพ็คใส่ถุงเป็นชุดๆ ชุดละ 1000 จั๊ตเลยอุดหนุนเด็กๆไป2ชุด
บรรยากาศรอบๆพระธาตุยามเช้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยมีถาดเครื่องสักการะวางเต็มไปหมด
แล้วก็ยังมีคนนั่งจับกลุ่มสวดมนต์กระจายอยู่รอบๆ
เครื่องสักการะถาดละ 3000 จั๊ต
อากาศตอนเช้าดีสุดๆ
จากนั้นก็รีบมากินอาหารเช้าของโรงแรม
เป็นบุฟเฟต์ อาหารมีให้เลือกหลายอย่างมากๆค่ะแต่หมดซะส่วนใหญ่
เพราะกรุ๊ปทัวร์เค้ามากินกันก่อนแล้วค่อยไปไหว้พระธาตุทีหลัง
ส่วนเราไปไหว้พระธาตุก่อนค่อยลงมากิน เลยเหลืออาหารไม่เยอะ
ได้ข้าวเปล่า+ผัดวุ้นเส้น+ไข่เค็ม1เสี้ยวที่ไม่มีแดง
แถมหาโต๊ะนั่งกินไม่ได้ทุกคนนั่งกระจายตัวโต๊ะละไม่กี่คน
เห็นโต๊ะนึงมีคุณน้านั่งอยู่คนเดียว(โต๊ะนั่งได้6 คน) เลยไปขอนั่งด้วยค่ะ
คุณน้าให้นั่งแต่ทำหน้าไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่ ชี้ให้นั่งริมสุดของโต๊ะ
เพราะตรงอื่นมีคนนั่ง ยังไงก็ขอบคุณที่ให้นั่งด้วยนะคะ
เรารีบกินรีบเปิดแน่บค่ะเช็คเอ๊าเสร็จแบกเป้เดินไปขึ้นรถขนหมูเลย
นั่งรถขนหมูขาลงมันส์กว่าขึ้นอีก
เพราะคราวนี้ได้รถแบบไม่มีพนักพิง เป็นแค่ไม้กระดานกว้างประมาณ1คืบ
หุ้มเบาะพอนิ่มๆ พาดขวางบนรถ6ล้อ ประมาณ5-6แถว แล้วก็นั่งอัดๆกัน
นึกภาพซิ่งลงค่ะ รถดิ่งลงด้วยความเร็วรถ+แรงโน้มถ่วงโลก
โอ้ววววมันส์เกินจะบรรยายค่ะ อากาศเย็นๆปะทะหน้า
วู้วๆๆพร้อมกับต้องใช้กำลังกล้ามเนื้อขาและกล้ามเนื้อตรูดในการทรงตัว
เพราะมือ2ข้างต่อให้อยากเกาะ ก็ไม่มีอะไรจะให้เกาะ
จะเกาะหัวคนข้างหน้าก็ใช่ที่ 555
เหตุการณ์หลังจากนี้ขอพิมพ์ยาวนิดนึงนะคะ เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถมีรูปถ่ายได้
และยากจากลืมจริงๆ 555
(ขออภัยหากมีคำไม่สุภาพบ้างเพื่ออรรถรสนิดนึงนะคะ)
ลงมาถึงคินปุนแคมป์ประมาณ 8โมง10นาที รีบเดินไปท่ารถที่จองตั๋วลงจากเขาเพื่อไปบาโกไว้
แต่รถรอบแปดโมงออกไปแล้ว เค้าให้รอไปรอบเก้าโมงได้
ทีนี้เริ่มรู้สึกปวดท้องถ่ายค่ะพนง.ที่ท่ารถชี้ให้ไปเข้าห้องน้ำของร้านอาหารแถวนั้น
แต่สภาพห้องน้ำแบบ...เห็นแล้วหายปวดทันที คือขรี้ไม่ลงจริงๆ
เลยไม่ได้ทำธุระแล้วมันก็หายปวดแล้วจริงๆอ่ะ
ได้เวลาขึ้นรถเฮียญี่ปุ่นที่เจอกันเมื่อวานก็ขึ้นรถรอบเดียวกันอีกแล้วนั่งอยู่ข้างหลังเราพอดี
และมีเพื่อนเดินทางคนใหม่ เป็นหนุ่มน้อยญี่ปุ่นมานั่งด้วยข้างๆ คุยเก่งเฟรนลี่มากๆ
น้องเล่าว่าเดี๊ยวเที่ยวพม่าอีกไม่กี่วันก็จะไปเที่ยวไทยต่อ
เลยแนะนำที่เที่ยวให้หลายๆที่
คุยกันไปเพลินๆเริ่มรู้สึกปวดท้องถ่ายอีกละ
ก็คิดว่าปวดขรี้ธรรมดานี่ล่ะ ซักพักเดี๋ยวก็ผ่อน
พอถึงแวะพักกินข้าวค่อยไปห้องน้ำละกันเลยนั่งอดทนไป
แต่...มันยิ่งปวดหนักขึ้นๆๆๆๆๆ
ปั่นป่วน อ๊ากกก ขนลุก ลมเย็นหวิวๆ รู้สึกจะเป็นลม
ใช่ละอาการแบบนี้เป็นบ่อยท้องเสียชัวร์
เราเป็นคนท้องเสียง่ายค่ะแล้วถ้าไม่ได้เข้าห้องน้ำทันทีมักจะเป็นลม
(แม่บอกว่าโบราณเค้าเรียกว่า ลมหัวขรี้)
ไม่ไหวแน่ๆถ้าจะนั่งทนต่อไปแบบนี้
อาจเสี่ยงต่อเหตุการณ์ขรี้ไหลบนรถบัสปรับอากาศ
หรือเป็นลมอยู่บนนี้แน่ๆ
ตัดสินใจหันหน้าไปหาน้องญี่ปุ่น
I think I got a diarrhea
น้องญี่ปุ่นทำหน้าฟังที่เราพุดไม่รู้เรื่องอยู่ประมาณครึ่งวิ
จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจอย่างมาก
ฮีคงเห็นเราหน้าซีด เหงื่อแตก
รีบช่วยตะโกนบอกเรียกให้คนช่วย
เราก็เริ่มฟังไม่ออกละว่าฮีพุดอะไรบ้างสติสัมปชัญญะใกล้จะหลุดละ
อึดใจเดียวพนง.ของรถซึ่งเป็นพี่หม่องตัวใหญ่เบ้อเริ่มเดินมา
เรารีบตะโกนเลย toilet toilet pleaseeeeeeee
พี่หม่องเดินไปบอกคนขับรถแล้วซักพักก็เดินมาคว้าเราไป
เราก็เดินตามลงไป
ระยะทางจากที่นั่งซึ่งอยู่ตอนกลางๆของรถ
รู้สึกระยะทางมันไกลมาๆ
ขาเริ่มไม่ค่อยมีแรงก้าว ยิ่งก้าวยิ่งรู้สึกขามันย่อลงๆ
แล้วก็ ฟุ่บ!! เหมือนใครปิดสวิตท์
รู้สึกตัวอีกทีมีเสียงพี่หม่องหลายเสียงตะโกนใส่
you you , stand up
ลืมตามาอีกทีอ้าวตรูกองอยู่กับพื้นข้างๆคนขับได้ไงเนี่ย
กำลังงงๆ ก็มีมือพี่หม่องคนเดิมคว้าแขนเราให้ค่อยๆลุกขึ้น
แล้วก็จับต้นแขนเราไว้ให้เราค่อยๆเดินลงจากรถพาไปยังร้านขายของชำแห่งหนึ่ง
ใจเราตอนนั้นเฮ้ยยยแล้วถ้าตรูเข้าห้องน้ำนานล่ะ
(คือท้องเสียอ่ะมันก้ต้องนานป่ะ)
เค้าจะรอมั๊ยแล้วเป้เราล่ะ อยู่บนรถ
แล้วถ้า...โอ๊ยความกลัวสารพัดอยู่ในหัว
(ที่สติสัมปชัญญะก็ยังกลับมาไม่เต็มที่)
หันไปบอกพี่หม่องว่ากระเป๋าไออยู่บนนั้น ยูจะรอไอมั๊ย ถ้าไอไปนานล่ะ
พี่หม่องก็คงฟังอังกฤษได้รู้บ้างไม่รู้บ้าง
บอกแค่ its OK, Its OK อิทสโอเคของพี่นี่คืออะไรคะ
และเมื่อมาถึงห้องน้ำ เราก็เอาว่ะเข้าห้องน้ำก่อนละกัน
หวังว่าจะรอช้านนะ
ห้องน้ำสภาพแย่กว่าเมื่อเช้าที่เราเข้าแล้วขรี้ไม่ออกอีก
แต่จังหวะนี้แล้วไม่ต้องบิ๊วเลยค่ะ
หลังจากนั้นคงไม่ต้องบรรยายนะคะ โล่งสุดๆหมดเนื้อหมดตัว
แต่เฮ้ยยยยยย
ในห้องน้ำมีถังน้ำใบเล็กใบเดียวที่มีน้ำอยู่ไม่ถึง1ขัน
ตักราดทีเดียวเกลี้ยงถัง แต่ไม่ส่งผลใดๆต่อส้วมเลย
ตายละทำไงดี เต็มส้วมเลยน้ำชำระไม่ต้องพูดถึง
พยายามมองทั่วห้องก็ไม่มีอะไรอีกเลยนอกจากถังนี้ที่ขณะนี้ว่างเปล่าแล้ว
ทิชชู่ก็ดันอยู่ในเป้บนรถ
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า
ในกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กที่ติดตัวมาด้วยมีสมุดโน้ตที่เราเอาไว้จดบันทึกการเดินทาง
จัดไปหน้าสุดท้ายสีชมพูหวานแหวว หุหุ
ณ จุดนี้แล้วต่อให้ต้องใช้กระดาษลังเช็ดก็ยอมค่ะ
แล้วก็เดินออกมาบอกเจ้าของร้านว่าน้ำไม่มีแล้ว
ขอน้ำเพิ่มจะราดส้วม แต่นางทำหน้าฟังไม่รู้เรื่องแล้วเดินหนีอย่างเดียว
(อารมณ์ประมาณตอนเด็กๆเราเดินหนีฝรั่ง เพราะฟังมันพูดไม่ออก)
จังหวะเดียวกันพี่หม่องคนเดิมก็เดินมาคว้าเราไปขึ้นรถ
บร๊ะเฮ้ยยยยย ยะ ยะ ยังไม่ได้ราดส้วมมมม
พยายามบอกพี่หม่อง ฮีก็ฟังไม่รู้เรื่อง ลากเราขึ้นรถไป
ป่านนี้คุณป้าเจ้าของร้านคงสรรเสริญเราแย่เลย
เต็มส้วมเลยยยย
หนูขอโทษจริงๆค่ะ คือหนูพยายามแล้วนะ
แต่...เฮ้อออออ
ไหน!!!!ใครบอกพม่าคุยภาษาอังกฤษเก่ง
จังหวะก้าวขึ้นรถบัสพร้อมกับทุกสายตาจับจ้องมาที่เรา
เป็นอะไรที่สุดจะบรรยาย อยากจะเอาหน้ามุดพื้นรถ
คือทุกชีวิตบนรถนี้ ไม่ว่าจะพม่า ญี่ปุ่นทั้ง2 และฝรั่งนั่งหลังสุดอีก2 คน
รอช้านนนขรี้คนเดียว เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ
ประมาณเที่ยงครึ่งเราก็มาถึงบาโกค่ะ
พอลงจากรถ ก็มีพี่หม่องมากมายเข้าชาร์จทันที
ถามว่าไปไหนมอเตอร์ไซค์รับจ้างมั๊ยตุ๊กๆรับจ้างมั๊ย กินข้าวมั๊ยบลาๆๆ
แต่เราหาข้อมูลมาแล้วให้เดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง
จะมีร้านอาหารที่มีบริการจ้างมอเตอร์ไซค์พาเที่ยว
ตอนแรกเค้าคิดค่าจ้าง 20,000 จั๊ต รวมค่าธรรมเนียม 10 USD(ประมาณเก้าพันกว่าจั๊ต)
อีก1หมื่นจั๊ตเป็นค่าจ้าง ซึ่งเราว่าแพงอยู่อ่ะ
เลยเขียนใส่กระดาษว่า 15,000
แล้วบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ONLY!!!
เรียบร้อย ได้ราคาตามใจเราทันที ^^
มอเตอร์ไซค์ที่พาไปกึ่งเก่ากึ่งใหม่มีหมวกกันน๊อคให้ (เป้สามารถฝากไว้ที่ร้านได้)
การจราจรที่บาโกนี่โหดสุดๆบีบแตรกันเป็นว่าเล่น
ตัดหน้ากัน เบรกระยะประชิด เสียงแตรรถได้ยินทุกๆ2วินาที
คือ ดังตลอดเวลาจนไม่ร้ใครบีบแตรใส่ใคร
มันดังทั่วๆรอบตัวไปหมดเอิ่มมม
ที่แรกที่ไปคือ เจดีย์ชเวมอว์ดอว์ (พระธาตุมุเตา)
พอเข้าไปบริเวณวัดก็ต้องถอดรองเท้าเช่นเคย แต่โอ้วววว มันร้อนมากกกก
พื้นวัดตอนเที่ยงครึ่งนี่สุดๆจริงๆ เดินไม่ได้ค่ะ วิ่งเท่านั้น
ต่อไปไปดูพระนอนที่วัดแห่งหนึ่งไม่ทราบชื่อค่ะ
จริงๆเราตั้งใจจะไปวัดพระนอนชเวตาเลียว ตอนไปถึงวัดก็คิดว่าใช่
มารู้ตอนกลับมาเมืองไทย เปรียบเทียบกับรูปรีวิวอื่น
เฮ้ยยย มันไม่เหมือนกันอ่ะทั้งสภาพวัดและองค์พระ
คือพี่หม่องหลอกพาช้านไปวัดไหนมาเนี่ย
ตรงนี้พี่หม่องบอกว่าเป็นเจดีย์เก่าแก่ของวัดอายุเกือบพันปี
ที่ต่อไปตามแพลนจะต้องเป็นพระราชวังบุเรงนอง
แต่พี่หม่องถามอะไรมาซักอย่าง ฟังไม่ค่อยออก ได้ยินว่า snakepagoda อะไรซักอย่าง
เอ...หาข้อมูลมาก็เยอะ ไม่เห็นเคยได้ยินเจดีย์ชื่อนี้ สงสัยฟังผิดอ่ะๆไปก็ไป เวลาเหลือเยอะ
วัดนี้ชาวพม่าเยอะมากๆ มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีเจดีย์อะไร
พี่หม่องพาเข้าไปในอาคารชั้นเดียวหลังเล็กหลังหนึ่งที่มีคนแน่นขนัด รองเท้ากองเต็มหน้าทางเข้า
เข้าไปก็ ชรึ่งงงง เข้าใจละ snake pagoda คือสิ่งนี้นี่เอง
นางคือ งูอายุ 125 ปี
พี่หม่องใช้สรรพนามเรียกงูว่า she
ตามความเชื่อของพม่านอกจากนับถือศาสนาพุทธกันแล้ว ยังนับถือ นัต หรือเทพ
ซึ่งจะตำนานการมีตัวตนของเทพเหล่านั้นเมื่อสมัยยังเป็นมนุษย์อยู่ก่อน
เมื่อตายแล้วก็กลายเทพ ชาวพม่าจะนับถือกันมาก
ที่ดังมาถึงไทยก็มี เทพทันใจเทพกระซิบค่ะ
งูที่พี่หม่องพามาดูก็เป็นนัตองค์หนึ่งตามความเชื่อชาวพม่า
บนฝาผนังในอาคารมีรูปนางเลื้อยอยู่บนพระสงค์หลายรูป
(น่าจะเป็นเกจิอาจารย์ดังของพม่า)พี่แกก็ชี้ให้ดูว่า
นางเคยไปอยู่กับองค์นี้กี่ปี แล้วก็มาอยู่กับองค์นี้แล้วก็องค์นี้ๆๆๆ
รวมๆอายุนางก็ได้ 125 ปี
เมื่อก่อนที่บริเวณนี้ จนมาก มีแต่ bamboo hut
แต่พอนางมาอยู่ที่นี่แถวนี้ก็เจริญขึ้น ชาวบ้านจึงเลื่อมใสมากๆ
ที่ต่อไป เป็นที่สุดท้ายของบาโกแล้ว
จริงๆเราโล่งใจที่จะหมดซักที ส่วนตัวไม่ค่อยประทับใจบาโกค่ะไม่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเลย
พระราชวังบุเรงนอง
ตรงนี้เป็นส่วนจำลอง
ตรงนี้พี่หม่องไม่ได้พาเข้าไปไม่ทราบเพราะอะไร คือเค้าบอกแหละ แต่ฟังไม่ออก
เริ่มยาวไปแระ
ขอตัดตอน partต่อไปเป็นเรื่องราวการขึ้นรถไฟในพม่าค่ะ