เพราะหนังสือเปิดตา และการเดินทางเปิดใจ
วรรณกรรมในดวงใจ

อาจเป็นเพราะความเร่งรีบในการดำเนินชีวิต การแข่งขันทางเศรษฐกิจ หรือจินตนาการเบ็ดเสร็จของความบันเทิงในรูปวีซีดี ดีวีดี หรือภาพยนตร์ที่มีอยู่เกลื่อนเมือง คนสมัยนี้จึงเห็นว่าการอ่านหนังสือเป็นเรื่องเสียเวลาและไม่น่าสนใจ และถ้าคิดจะอ่าน ส่วนใหญ่ก็เลือกหนังสือประเภทฮาวทูที่เอื้อต่อการทำงาน การเติบโตของธุรกิจ การเสริมบุคลิกภาพ และการสร้างความสัมพันธ์ มากกว่าการอ่านเพื่อรับอรรถรสของคำและดื่มด่ำในความหมายของวรรณกรรมที่มีเนื้อหาจริงจัง

 

มิหนำซ้ำ เวลาพูดถึงหนังสือ หลายคนร้องยี้พลางเบือนหน้าหนีราวกับว่าหนังสือทุกเล่มนั้นมีหน้าตาและเนื้อหาสาระเหมือนหนังสือเรียนที่ต้องอ่านตอนสอบปลายภาคโดยไม่สนใจฟังข้อดีใดๆของหนังสือเล่มนั้น จะว่ารังเกียจเนื้อหาก็ใช่ที่ เพราะกระแสตอบรับความสนุกสนานในภาพยนตร์ ละคร และละครเวที ซึ่งมีที่มาจากหนังสือนั้นก็แรงไม่น้อย บางคนบ่นนักบ่นหนาว่า หนังสืออ่านเล่นราคา 80 บาท แพงเหลือเกิน แต่ควักเงินซื้อตั๋วเลิฟซีตใบละกว่าร้อยอย่างหน้าตาเฉย ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกว่า หนังสือที่ว่าแพงนักหนานั้น เมื่อซื้อมาแล้วก็สามารถหมุนเวียนเปลี่ยนกันอ่านได้คนแล้วคนเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า และแม้เมื่ออ่านจบแล้ว หนังสือเล่มนั้นก็ยังมีความหมายกับผู้ที่หมายจะรู้จักโลกกว้างผ่านตัวอักษรอีกมากมายหลายชีวิต

 

ในฐานะคนรักหนังสือที่ไม่อยากเห็นชั้นหนังสือร้างไร้ ฉันจึงอยากจะเล่าถึงหนังสือดีที่อยู่ในความทรงจำประทับใจสักหลายเล่ม เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจชวนให้นักอ่านมือใหม่ลุกไปทำความรู้จักดูบ้าง เผื่อใครที่รู้จักผ่านหูผ่านตามาแล้ว จะกลับไปคว้าหนังสือดีที่เคยอ่านแล้วมาอ่านซ้ำอีกครั้ง หรือจะไปหาหนังสือดีในดวงใจเล่มใหม่มาอวดกัน ให้ชั้นหนังสือคึกคัก...ให้คนรักหนังสือชื่นใจ

 

หนังสือที่เลือกมาเล่าให้ฟังนี้เป็นหนังสือที่ประทับใจ อ่านแล้วอ่านอีกได้ไม่เบื่อ (ถ้าเว้นระยะสักหน่อย) ถึงแม้บางเล่มจะไม่ใช่หนังสือใหม่ แต่ทุกวันนี้ก็น่าจะยังพอหาซื้อ (หรือหายืม) อ่านได้ และเพื่อไม่ให้เป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง จะว่าไปตามลำดับตัวอักษร พร้อมกับบอกรายละเอียดนิดหน่อย (เผื่อจะมีใครสนใจ)

 

ชื่อหนังสือ ข้างหลังโปสการ์ด
ผู้แต่ง หลานเสรีไทย
สำนักพิมพ์ ตาที่สาม (?)
ประเภท สารคดีท่องเที่ยว


หนังสือเล่มหนาที่รวบรวม (และเพิ่มเติม) เนื้อหาจากคอลัมน์ท่องเที่ยวที่ลงพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสารลลนาเมื่อหลายสิบปีก่อน นี่คือหนังสือท่องเที่ยวเล่มแรกที่ได้เป็นเจ้าของ และเป็นแรงบันดาลใจที่ทำเอาหัวใจอยู่ไม่สุข อยากออกเดินทางไปดูโลกอันกว้างใหญ่ อยากรู้จักโลกของทูตร่อนเร่ในสายตาและมุมมองของตัวเอง และอยากถ่ายรูปให้ได้อย่างเธอบ้าง บอกกับตัวเองว่าจะไม่เป็น “ตัวฤทธิ์” (tourist) ที่ยืนยิ้มถ่ายรูปหน้าป้ายต่างๆโดยหลับหูหลับตาไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชุมชนนั้นๆ จะไม่ออกเดินทางเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไป “กินอย่างที่เคยกิน นอนอย่างที่เคยนอน” ในต่างแดน แต่จะเป็นนักเดินทางที่เปิดหูเปิดตาเปิดใจเรียนรู้วัฒนธรรมอันแตกต่างอย่างถ่อมตัวและหัวใจ (ซ้า--ธุ)

 

ในขณะเดียวกัน ในภาคที่ว่าด้วยการกลับบ้านของเธอก็ตีแผ่ความจริงอันเหม็นโฉ่เบื้องหลังสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามในประเทศไทย ให้รู้ว่าสมบัติชาติในบ้านนี้เมืองนี้มีสภาพอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้เงื้อมมือของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และการดูแลอันปวกเปียกหย่อนยานของหน่วยงานรัฐ ซึ่งแม้จนบัดนี้ที่เวลาผ่านมาเนิ่นนาน (นับจากปี พ.ศ. ที่เธอเขียนงานนี้ออกมา) ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน

 

แม้จะออกตัวว่าไม่ถนัดในการใช้ภาษาไทย แต่ฉันกลับรู้สึกว่าภาษาไทยของเธอ “มัน” และ “ดี” อย่างยิ่ง อ่านลื่น สะใจ ได้อรรถรส ยิ่งความคิดและความกล้าที่จะพูดนั้นยิ่งสมควรปรบมือให้ใหญ่ ถือเป็นคัมภีร์ที่เปิดโลกการเดินทางและความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และเป็นหนังสือท่องเที่ยวที่ฉันอยากให้คนไทยทุกคนได้อ่าน...อย่างน้อยก็สักครั้ง

 

+++

ชื่อหนังสือ ความสุขแห่งชีวิต (The Human Comedy)
ผู้แต่ง/ผู้แปล วิลเลียม ซาโรยัน / มัทนี เกษกมล
สำนักพิมพ์ เรจีนา
ประเภท วรรณกรรมเยาวชนอเมริกัน


เรื่องราวของชีวิตเล็กๆที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆของแคลิฟอร์เนียระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ที่บอกเล่าถึงศรัทธาอันยิ่งใหญ่ในความดีงามของมนุษย์ ครอบครัวแมคคอลีมีชีวิตที่เรียบง่าย แม้จะขัดสนเงินทองแต่พวกเขาไม่เคยขาดแคลนความรัก ทุกคนในครอบครัวเป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่าโลกยังคงงดงาม แม้ว่าความจริงของโลกที่มาถึงอย่างไม่ได้ตั้งตัวจะโหดร้ายหรือแสนเศร้า แต่หากเราเชื่อมั่นในความรักและความดี โลกจะไม่มีวันแล้งร้ายไปได้

 

วิลเลียม ซาโรยัน เป็นนักเขียนคนโปรดคนหนึ่งของฉัน งานของเขามักจะมองโลกด้วยสายตาและทัศนคติเชิงบวก นอกจากเล่มนี้ วรรณกรรมเยาวชนเล่มอื่นๆในภาคภาษาไทยของซาโรยันก็เช่น ฟ้ากว้าง...ทางไกล คุณแม่เพื่อนรัก ผมชื่ออารัม

 

+++

ชื่อหนังสือ ดวงตากระต่าย (Usagi-no me)
ผู้แต่ง/ผู้แปล เค็นจิโร ไฮทานิ / ธราธร นางาชิมา
สำนักพิมพ์ มูลนิธิเด็ก
ประเภท วรรณกรรมเยาวชนญี่ปุ่น


วรรณกรรมเยาวชนญี่ปุ่นที่พูดถึงหัวใจแห่งความเมตตาปรานีอันยิ่งใหญ่ โดยเล่าผ่านตัวละครสำคัญ 2 ตัว คือคุณครูโคทานิและเท็จโช เด็กชายตัวเล็กๆที่ก้าวร้าว และไม่ยอมพูดจากับใคร เขาอาศัยอยู่กับคุณตาในบริเวณโรงกำจัดขยะ ความพยายามที่จะทำความเข้าใจเด็กชายในปกครองอย่างไม่ลดละทำให้ครูโคทานิผูกมิตรกับเท็จโชสำเร็จ และได้รู้ว่าเขามีความละเอียดซับซ้อนในตัวเองมากมาย เท็จโซเลี้ยงแมลงวันและมีความรู้เรื่องแมลงวันอย่างน่าอัศจรรย์ แต่กลับถูกรังเกียจเพราะทุกคนเห็นว่าแมลงวันเป็นสัตว์สกปรกและนำพาเชื้อโรค คุณครูตัดสินใจช่วยเท็จโชศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เธอใช้กิจกรรมนี้เป็นสื่อการสอนให้เขาหัดอ่านเขียน เมื่อเท็จโซแก้ปัญหาแมลงวันระบาดให้โรงงานแฮมได้ ศาสตราจารย์แมลงวันก็เริ่มเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ นอกจากเท็จโซ ยังมีเรื่องน่ารักๆของมีนาโกะและครูผู้เปี่ยมอุดมการณ์กับการย้ายโรงกำจัดขยะซึ่งทำให้เกิดการต่อสู้และความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน

 

เราได้เรียนรู้ว่าอุดมคติ ความเมตตา และความอดทนของครูโคทานิก็ส่งผลให้เด็กไร้อนาคตอย่างเท็จโซมีโอกาสพัฒนาและมีชีวิตอยู่ในสังคมได้ ขณะเดียวกันก็ได้รู้ว่ามิตรภาพและความสามัคคีมีค่ายิ่ง และผู้ที่อยู่ในชุมชนยากไร้ซอมซ่อก็มีศักดิ์ศรี มีน้ำใจและความรักให้กันได้

 

โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่ค่อยนิยมญี่ปุ่นเท่าไรนัก แต่กลับมีข้อยกเว้นข้อใหญ่สำหรับวรรณกรรมญี่ปุ่น ฉันรู้สึกว่าวรรณกรรมญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีการดำเนินเรื่องที่น่ารัก มีเสน่ห์ในตัวเอง และชวนอ่านไปเสียทั้งนั้น (ถึงแม้เนื้อหาบางส่วนอาจโหดจนถูก กบว. แบนไปบ้าง) จึงขอแอบซัลโวชื่อหนังสือให้สักหนึ่งชุด เริ่มจากวรรณกรรมเยาวชนอย่างโต๊ะโตจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง ไอเลิฟยูหนูรักแม่ เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม ไม่ครบห้า ไปจนถึงวรรณกรรมผู้ใหญ่อย่าง คิทเช่น นกน้อยของผม เป็นประกาย และ สารรักจากความตาย)

อันว่าดวงตากระต่ายเล่มนี้ วอดหายวายจากตลาดหนังสือไปนานมาก ถ้าเมื่อไหร่ใครเห็นสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็กเอามาปัดฝุ่น หรือว่าสำนักพิมพ์ไหนเอามาทำใหม่ละก็...บอกกันด้วยนะ จะได้หาดวงตาคู่ใหม่มาแทนคู่เก่าที่เปียกน้ำบวมเยินเสียดี

 

+++

ชื่อหนังสือ ต้นส้มแสนรัก (My Sweet Orange Tree / O Meu Pe de Laranja Lima)
ผู้แต่ง/ผู้แปล โจเซ่ วาสคอนเซลอส / มัทนี เกษกมล
สำนักพิมพ์ ดวงกมล
ประเภท วรรณกรรมเยาวชนบราซิล


ย้อนกลับสู่อดีตแห่งวัยเยาว์ที่เปี่ยมด้วยจินตนาการกับเด็กชายเซเซ่ การเติบโตขึ้นท่ามกลางพี่น้องมากมายและความยากจนที่ครอบครัวต้องประสบหล่อหลอมให้เซเซ่แข็งแกร่งและเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แม้จะสกปรกสุดๆ แก่นซนจนเพื่อนบ้านระอา แถมยังชอบโกหกและตะโกนคำหยาบคายใส่คนอื่นๆด้วยถูกปีศาจเจ้าเล่ห์ในตัวบงการ แต่จินตนาการ ความเฉลียวฉลาดช่างคิด และจิตใจอันใสสะอาดของ “เจ้ากุ้ง” ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ในโลกแห่งความจริงอันโหดร้าย

 

เซเซ่อาจเต็มใจปล่อยนกน้อยที่ร้องเพลงอยู่ในใจไปเมื่อได้พบกับเพื่อนใหม่อย่างซูซูรูกา แต่ใครเลยจะรู้ว่าความสูญเสียจากการพรากจากของคนที่หัวใจผูกพันจะยิ่งใหญ่เพียงไหนและทิ้งบาดแผลลึกไว้มากมายเพียงใดในหัวใจดวงเล็กๆ สิ่งที่คนเราปรารถนาที่สุดนั้นไม่ใช่เงินทองของขวัญ หากแต่คือความรักความเข้าใจ สายใยที่เกี่ยวร้อยให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีความหวัง

 

ชีวิตของเซเซ่ทำให้เราตระหนักถึงความจริงว่า การเติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นต้องแลกกับอะไรมากมาย และความซับซ้อนในจิตใจเล็กๆของเด็กนั้นไม่ใช่สิ่งที่มองข้ามได้ และถึงแม้จะความสูญเสียจะใหญ่หลวงเพียงใด แต่เซเซ่น้อยก็ยังต้องมีชีวิตอยู่และเติบโตขึ้น ...เราทุกคนก็เช่นกัน

 

หมายเหตุ: เซเซ่ยังมีปีศาจร้ายบงการให้ทำเรื่องแผลงๆอยู่ และแม้จะสูญเสียมิงกินโย แต่เขาก็ได้กูรูรู เพื่อนรักคนใหม่ ช่วยประคับประคองหัวใจภาคอ่อนโยนเอาไว้ ใน ต้นส้มแสนรัก ภาค 2 (คำเตือน อย่าลืมพกผ้าเช็ดหน้าไว้ใกล้ตัว)

 

+++

ชื่อหนังสือ แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง (All Quiet on the Western Front)
ผู้แต่ง/ผู้แปล เอริก มาเรีย เรอมาร์ก / ม.จ. ขจรจบกิตติคุณ กิติยากร
สำนักพิมพ์ อ่านไทย
ประเภท วรรณกรรมเยอรมัน


ภาพสะท้อนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่แสดงผ่านความรู้สึกนึกคิดของเพาล์ เด็กหนุ่มผู้พกความศรัทธา ความรัก และความหวัง เข้าสู่สงครามอันไร้ความปรานี เพาล์ก็เหมือนเด็กหนุ่มเยอรมันจำนวนมากที่ออกรบเพราะถูกชักจูงด้วยอิทธิพลของครูผู้ปลูกฝังความคิดว่า การเป็นทหารคือการรับใช้ชาติและแสดงถึงความเป็นชายชาตรี แต่เมื่อเข้าสู่สมรภูมิ พวกเขาจึงได้รู้ว่าสิ่งที่ครูพูดถึงนั้นแตกต่างจากสภาพความเป็นจริงอย่างลิบลับ

 

เด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาค่อยๆกลายเป็นมนุษย์เครื่องจักรที่ทำตามคำสั่ง วินัยอันเคร่งครัดทำให้จิตใจเหี้ยมหาญ พวกเขาต้องฆ่าก่อนที่ตัวเองจะตกเป็นเหยื่อ ลงมือโดยไม่คำนึงถึงผิดชอบชั่วดีใดๆ เมื่อปราศจากมนุษยธรรม มนุษย์ก็มิต่างจากสัตว์ป่า เพาล์ฆ่าทหารฝรั่งเศสที่บังเอิญตกลงมาในหลุมเดียวกันด้วยสัญชาตญาณว่านี่คือข้าศึก แต่หลังจากนั้นเขาต้องทรมานกับสำนึกผิดชอบชั่วดีในใจ มิหนำซ้ำ เมื่อกลับไปถึงบ้าน เพาล์กลับรู้สึกแปลกแยกจากคนในครอบครัว สงครามทำให้เขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อย่างกลมกลืนในสิ่งแวดล้อมแบบเดิมได้อีก

 

หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามกับระบบทหารไปจนถึงนิยามของความเป็นมนุษย์ และเป็นหนึ่งในหนังสือที่ถูกนาซีเผาทำลายเมื่อปี 1933 เมื่ออ่านจบ นอกจากจะรู้สึกดีใจที่มีโอกาสได้อ่านแล้ว ก็ได้แต่หวังอย่างจริงจังให้ความขัดแย้งใดๆที่จะนำไปสู่สงครามอันทำให้คนที่ไม่เคยมีความโกรธแค้นกันต้องเข่นฆ่ากันและทำให้คนบริสุทธิ์ต้องตกตาย หมดไปจากแผ่นดินนี้ (เสียที)

 

+++

ชื่อหนังสือ แผ่นดินนี้เราจอง (Pioneer, Go Home)
ผู้แต่ง/ผู้แปล ริชาร์ด เพาเวลล์ / เทศภักดิ์ นิยมเหตุ
สำนักพิมพ์ เทศภักดิ์ (พิมพ์ครั้งล่าสุดโดยแพรวสำนักพิมพ์)
ประเภท วรรณกรรมอเมริกัน


เมื่อครอบครัวควิมเปอร์ ซึ่งประกอบด้วย พ่อผู้มีปัญหาเรื้อรังกับรัฐบาลที่เคารพรักยิ่ง โทบี ลูกชาย พี่น้องฝาแฝดจอมซน และสาวพี่เลี้ยงเด็ก บังเอิญหลงเข้าไปพบดินแดนที่ยังไม่มีเจ้าของ พวกเขาจึงตัดสินใจจับจองแผ่นดินผืนเล็กๆที่ติดทะเล และปักหลักต่อสู้กับอุปสรรคนานัปการ ผู้อ่านรับรู้เรื่องราวทั้งหมดผ่านมุมมองใสสะอาดของโทบี ควิมเปอร์ หนุ่มซื่อที่ต้องใช้สูตรคูณเป็นเครื่องระงับจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านเวลานึกถึงเรื่องผู้หญิง และจิตใจอันใสซื่อบริสุทธิ์นั้นเองที่ช่วยให้เขาพิชิตเรื่องร้ายทั้งหลาย และพลิกสถานการณ์ให้ร้ายกลายเป็นดีได้


หนังสือของริชาร์ด เพาเวลล์ แทบทุกเล่มมีเสน่ห์ตรงอารมณ์ขันที่ทำให้เรื่องอ่านสนุก และผู้แปลก็สามารถถ่ายทอดเป็นภาษาไทยได้อย่างยอดเยี่ยม เชื่อว่าทุกคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะอ่านไปยิ้มไป และอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยให้ควิมเปอร์ต่อสู้กับอำนาจทางการและอำนาจมืดจนได้ครอบครองแผ่นดินผืนนั้นสมใจปรารถนา (ถ้าชอบเรื่องแบบนี้ โปรดไปตามหา พระจันทร์กระดาษ น้ำวน สวรรค์สาป และ อเล็กซานเดอร์ บอทท์ส เป็นลำดับต่อไป ได้ยินว่าแพรวสำนักพิมพ์เอามาทำใหม่ และเห็นตามแผงแล้วหลายเล่ม รับรองว่าสนุกไม่แพ้กัน)

+++

ชื่อหนังสือผู้บริสุทธิ์ (To Kill a Mocking Bird) (2 เล่มจบ)
ผู้แต่ง/ผู้แปล ฮาร์เปอร์ ลี / ศาสนิก
สำนักพิมพ์ เรจีนา
ประเภท วรรณกรรมเยาวชนอเมริกัน


ทัศนคติและการกระทำที่มาจากอคติต่อคนผิวสีในเมืองเมย์คอมบ์ รัฐแอละแบมาส่งผลต่อความคิดและจิตใจและโลกสีขาวของเด็กๆ เด็กหญิงสเกาต์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตวัยเด็กของเธอ ทั้งเรื่องราวสนุกๆและจินตนาการเพ้อเจ้อของเธอและเจเรมี พี่ชาย เพื่อนบ้านผู้ลึกลับ และคนอื่นๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อพ่อของเธอว่าความให้กับทอม โรบินสัน หนุ่มผิวดำที่ตกเป็นจำเลยในคดีข่มขืนสาวผิวขาว แม้การทำหน้าที่ตามกฎหมายและคุณธรรมประจำใจของแอตติคัสจะทำให้ลูกๆตกเป็นเป้าแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบข้าง และคำพิพากษาของคณะลูกขุนจะไม่ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลง แต่เหตุผลและความหนักแน่นของผู้เป็นพ่อสอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ให้พวกเขาได้รู้ว่า อันธพาลหรือคนดีไม่ได้อยู่ที่สีผิว และผู้บริสุทธิ์สมควรได้รับการปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

 

ไม่รู้ว่ามีการพิมพ์ครั้งใหม่ที่แก้ไขต้นฉบับเดิมหรือเปล่า แต่ฉบับแปลที่ฉันมีนั้นมีข้อผิดพลาดที่ชวนให้หงุดหงิดสายตาเวลาอ่านอยู่ไม่น้อย ถ้ายังไม่มีการแก้ไขหรือพิมพ์ครั้งใหม่ อยากชวนให้อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อให้ได้อรรถรสอย่างเต็มที่

 

+++

ชื่อหนังสือ ปรัชญาชีวิต (The Prophet)
ผู้แต่ง/ผู้แปล คาลิล ยิบราน / ดร. ระวี ภาวิไล
สำนักพิมพ์ ผีเสื้อ
ประเภท ปรัชญา/กวีนิพนธ์ อิหร่าน


คาลิล ยิบราน เป็นนักเขียนชาวเลบานอนที่มีผลงานทั้งภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ ซึ่งสะท้อนถึงสัจธรรมและทัศนะในการแก้ปัญหาชีวิต แต่หนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดเล่มนี้กล่าวถึงสัจธรรมแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งกินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก การแต่งงาน การงาน มิตรภาพ  ความปราโมทย์และความเศร้าโศก ความงาม และความตาย ฯลฯ ผ่านคำสอนของอัลมุสตาฟาที่มีต่อประชาชนชาวเมืองออร์ฟาลีส

 

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน (มากๆ)  สองแปดเคยนำบทประพันธ์เรื่องนี้มาทำเป็นละครเวทีกลางแจ้งที่ตึกร้างในซอยสาทร ตอนดูละคร รู้สึกอัศจรรย์กับความสามารถในการจดจำบทพูดอันยาวเหยียดของศรัญยู วงศ์กระจ่าง ผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดคำสอนของอัลมุสตาฟา แต่เมื่อได้อ่านและย่อยข้อความแต่ละบทอย่างช้าๆ ข้อคิดที่แฝงอยู่ในทุกถ้อยคำในหนังสือเล่มนี้กลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่า (หนังสือเล่มอื่นๆของยิบรานที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว เช่น ทรายกับฟองคลื่น รหัสย์แห่งหัวใจ วิญญาณขบถ)

 

+++

ชื่อหนังสือโมโม่ (Momo)
ผู้แต่ง/ผู้แปล มิฆาเอล เอ็นเด / ชินนรงค์ เนียวสกุล
สำนักพิมพ์ บานชื่น (ฉบับล่าสุดพิมพ์โดยแพรวเยาวชน)
ประเภท วรรณกรรมเยาวชนเยอรมัน


เรื่องราวอันแปลกประหลาดของโจรขโมยเวลาในชุดสีเทากับเด็กหญิงกำพร้าผู้นำเวลากลับคืนสู่มวลมนุษย์ เมื่อชายในชุดสีเทาที่ถือซิการ์อยู่ในมือป้วนเปี้ยนเข้ามาในเมือง ชีวิตของผู้คนก็เปลี่ยนไป การใช้ชีวิตอันสนุกสนานผ่อนคลายกลายเป็นความรีบเร่งร้อนรน เวลากลายเป็นของมีค่าที่มนุษย์ใช้ไปกับธุระต่างๆอย่างกระเบียดกระเสียรแทนที่จะใช้อย่างมีคุณภาพ โมโม่เป็นคนเดียวที่ยังมีเวลาเหลือเฟือให้กับทุกคน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมีเวลาให้เธออีกต่อไป ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ จีจี้มักคุเทศก์ และเป๊ปโป้คนกวาดถนน เพื่อนรักของเธอ ล้วนถูกเล่ห์เหลี่ยมของโจรชุดเทาหลอกล่อไปเสียสิ้น มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะช่วยปลดปล่อยคนเหล่านั้นได้

 

มาถึงวันนี้ โมโม่ไปอยู่เสียที่ไหนหนอ ทำอย่างไรเราจึงจะรู้จักวิธีใช้เวลาอย่างมีคุณค่า มีความสุข และสำนึกได้อย่างจริงจังว่า ความร่ำรวยทางวัตถุนั้นมิใช่จุดหมายที่แท้จริงของชีวิต (เอ็นเด้เขียนเรื่อง โรงเรียนคาถาวิเศษ จินตนาการไม่รู้จบ ส่วน จินตนาการแห่งชีวิต ที่มีชื่อคล้ายๆกันนั้น แม้เป็นของนักเขียนคนอื่นซึ่งก็คือเอลีนอร์ ฟาร์เจิน แต่ก็ขอแนะนำให้ติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน)

 

+++

ชื่อหนังสือ โลกของโซฟี (Sophie’s World)
ผู้แต่ง/ผู้แปล โยสไตน์ กอร์เดอร์ / สายพิณ ศุพุทธมงคล
สำนักพิมพ์ คบไฟ
ประเภท วรรณกรรมนอร์เวย์


หนังสือเล่มนี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ที่ทำให้ตำราประวัติศาสตร์ปรัชญากลายเป็นจุดสนใจของนักอ่านทั่วโลก โครงเรื่องที่สลับซับซ้อน มีตัวละครและบทสนทนาอย่างนิยายทั่วไป ช่วยฉาบความรื่นรมย์ชวนติดตามให้กับศาสตร์แห่งตรรกะอันยากเย็น คำถามที่โซฟีได้รับจากครูลึกลับที่ชื่ออัลแบร์โตชวนให้ผู้อ่านคิดหาคำตอบไปในขณะที่ฉงนฉงายว่า ทำไมโลกของคนทั้งสองจึงคู่ขนานไปกับจินตนาการของนายพันตรีอัลเบิร์ต น้าค ซึ่งกำลังเขียนหนังสือเป็นของขวัญให้ฮิลเด บุตรสาว เสน่ห์ของหนังสืออยู่ที่การนำจินตนาการและความจริงมาเขย่ารวมกันให้ผู้อ่านขบคิดบทเรียนทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆกับการตั้งคำถามว่าใครคือโซฟี ใครคือครูลึกลับ ใครคือฮิลเด ใครเป็นตัวจริงและใครเป็นจินตนาการกันแน่

 

หนังสือหนาหนักเล่มนี้ต้องใช้เวลาเคี้ยวและย่อยพอสมควร แต่ก็เป็นเรื่องดีที่จะบริหารสมองด้วยการครุ่นคิดบ้าง ฉันเห็นด้วยกับกอร์เดอร์ว่าคนเราจำเป็นต้องรู้จักรากเหง้าของตนเอง รู้ประวัติและที่มาของสังคมเพื่อจะได้พ้นจากสภาวะลิงเปลือยเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ เพราะการรู้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของภูมิปัญญาแห่งมนุษยชาติและจักรวาลอันยิ่งใหญ่อาจทำให้เรามีสำนึกไตร่ตรองในการ “ทำ” หรือ “ไม่ทำ” อะไรมากยิ่งขึ้น (หนังสือเล่มอื่นๆของกอร์เดอร์ เช่น สวัสดีชาวโลก ปราสาทกบ และ ปริศนาคริสต์มาส ส่วนหนังสือแนวปรัชญาชวนคิดที่น่าสนใจอื่น ก็เช่น ในสวนฝรั่ง เวรอนิกาขอตาย ดิอัลเคมิสต์ เป็นต้น)

 

+++

ชื่อหนังสือ ฤทธิ์มีดสั้น (3 เล่มจบ)
ผู้แต่ง/ผู้แปล โกวเล้ง / ว. ณ เมืองลุง
สำนักพิมพ์ สื่อสัจจา
ประเภท นวนิยายจีน


เรื่องราวของความรักและการยึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตรระหว่างสองบุรุษผู้กล้าในบู๊ลิ๊ม หนึ่งคือลี้คิมฮวง เจ้าของสมญาลี้น้อยมีดบิน ผู้ยอมสละความสุขกับหญิงในดวงใจเพื่อเพื่อนและเลือกที่จะฝังตัวเองอยู่กับอดีตและป้านสุรา กับอีกหนึ่งคืออาฮุย ยอดฝีมือหนุ่มน้อยใจซื่อจากป่าลึก ผู้มีความรักอันพิสุทธิ์แต่ต้องตกเป็นเครื่องมือของโฉมสะคราญเจ้ามารยา เล่ห์ลวงในยุทธจักร การชิงดีชิงเด่น ความรักความหลังและความชิงชังแต่อดีตดึงให้คนทั้งสองเข้าไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวและต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในแผ่นดินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

ที่เลือกเรื่องนี้มาชวนอ่านแทนที่จะเป็นมังกรหยก มังกรคู่ แปดเทพ สิบหกมาร และเดชกระยาจกอื่นๆ ก็เพราะฤทธิ์มีดสั้นมีขนาดไม่สั้นไม่ยาวเกินไป เนื้อเรื่องสนุกอ่านเพลิน มีแง่คิดและมุมมองน่าสนใจ เชื่อว่าถ้าคนอ่านหลวมตัวกระโจนเข้าสู่ยุทธภพ เอ๊ย บรรณภพ และปรับตัวให้เข้ากับสำนวนและลีลาของวรรณกรรมแดนตงง้วนได้แล้ว แม้คิดถอนตัวจากไป ไหนเลยจะหักใจทำได้โดยง่าย (คำเตือน: อาการติดนิยายไม่มียาแก้พิษ หมอเทวดาก็ยากจะรักษาได้)

 

+++

ชื่อหนังสือ สองดวงจันทร์ (Walk Two Moons)
ผู้แต่ง/ผู้แปล ชารอน ครีช / รัตนา รัตนดิลกชัย
สำนักพิมพ์ มติชน
ประเภท วรรณกรรมเยาวชนอเมริกัน


นี่คือวรรณกรรมเยาวชนที่ประทับใจมากอีกเรื่องหนึ่ง เด็กหญิงเชื้อสายอินเดียนแดงที่มีชื่อเก๋ๆว่าซาลามังกา (ในฉบับแปลเรียกว่าซาลามานคา) ออกเดินทางไปหาแม่กับปู่และย่า ระหว่างทาง เธอเลือกปิดบังความรู้สึกคิดถึงแม่ไว้ในใจโดยหันมาเล่าความลับของเพื่อนสนิทให้ปู่กับย่าฟัง แต่ปรากฏว่าเรื่องของเพื่อนกลับทำให้เธอพบกุญแจไขเข้าสู่ห้องแห่งความลับในหัวใจของตัวเองในที่สุด

 

เงื่อนปมและความลับต่างๆที่ผู้แต่งผูกไว้ค่อยๆคลายออกอย่างมีศิลปะ การมองเข้าไปในชีวิตของคนอื่นทำให้ซาลามังกามองเห็นและทำความเข้าใจความคิดและความรู้สึกของตัวเองทีละน้อย เธอเรียนรู้ที่จะยอมรับความจริงเกี่ยวกับชีวิต ความรัก และการพลัดพราก และนั่นคือขั้นตอนสำคัญของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ หนังสือหลายรางวัลเล่มนี้มีคำพูดสำคัญประโยคหนึ่งคือ “Don’t judge a man until you’ve walked two moons in his moccasins.” ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่ามีคำแปลภาษาไทยที่เหมาะใจ ก็บอกกันด้วย

 

เป็นยังไงบ้าง มีเล่มไหนที่กระตุ้นต่อมให้รู้สึกคันไม้คันมือ...อยากหามาอ่านบ้างไหม อันที่จริง หนังสือพวกนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆในโลกหนังสือเท่านั้น ยังมีหนังสือดีเล่มอื่นๆที่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่ได้รับเชิญให้ได้รู้จักกัน อย่าง เจ้าชายน้อย หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว พี่น้องคารามาซอฟ สิทธารถะ แด่หนุ่มสาว ฯลฯ โดยส่วนตัวแล้ว รู้สึกว่าหนังสือพวกนั้นเป็นหนังสือดีที่ต้องใช้พลังในการอ่านค่อนข้างมาก สำหรับการชวนอ่านครั้งแรก อยากเล่าถึงหนังสือที่อ่านสนุกแต่มีแง่งามที่น่าประทับใจมากกว่า เพราะสำหรับฉัน หนังสือเหล่านี้คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ปิดหน้าสุดท้ายลงด้วยความปรารถนาที่จะเปิดหน้าแรกของเล่มต่อไป ก่อนจะค่อยๆขยับไปหาเรื่องราวที่ยากและท้าทายความคิดมากขึ้น และ (หวังว่าสักวัน จะนำไปสู่) การกลับมาหยุดที่หมวดหนังสือซึ่งเป็นความสนใจของเราเองอย่างแท้จริง

 

แต่ถึงแม้พยายามเลือกหนังสือให้ได้หลากแบบหลายที่แล้ว ปรากฏว่ายังเลือกวรรณกรรมเยาวชนมาเสียหลายเล่ม เลือกหนังสือของคนไทยมาแค่เล่มเดียว แถมไม่มีกวีนิพนธ์เลย คิดได้ตอนนี้ก็ออกจะสายไปสักหน่อย เอาเป็นว่า ถ้ายังไม่เบื่อ จะหาหนังสือที่หลากหลายกว่านี้มาชวนอ่านในโอกาสต่อไปก็แล้วกัน







Create Date : 03 ตุลาคม 2551
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 22:12:03 น. 2 comments
Counter : 1576 Pageviews.

 
ใคร ๆ พูดถึงหนังสือที่ชอบ
แต่ตัวเองกลับเป็นคนที่ติดนักเขียน (ในดวงใจ) ซะงั้น อิอิ

แต่วรรณกรรม / นวนิยาย ที่ประทับใจก็มีอยู่ 2 เรื่อง
คือ เพชรพระอุมา ของ พนมเทียน กับ ผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบค่ะ

แวะมาเยี่ยมคนรักการอ่านเหมือนกันค่ะ


โดย: JinnyTent วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:23:53:52 น.  

 
มีหลายเรื่องเลยที่ชอบตรงกับจขบ.
ดวงตากระต่าย ต้นส้มแสนรัก สองดวงจันทร์ โลกของโซฟี
และฤทธิ์มีดสั้น (แม้จะอ่านไม่จบ)

ขออนุญาต add ไว้นะคะ
จะได้แวะกลับมาถูก


โดย: quin toki วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:16:42:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

lunaloca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ง า น แ ป ล


ช่างเป็นนักแปลที่ทำงานได้หลากแบบหลายแนว
นามปากกาคละเคล้า เดาทางไม่ถูกจริงๆนิเรา

Group Blog
 
 
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add lunaloca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.