สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ

ความเป็นมาของวันสารทไทย



วันสารทไทย ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นเทศกาล
ทำบุญเดือน 10 ของไทย ซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัย
โบราณตามหลักฐานพบว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย
เป็นราชธานี


สารทเป็นคำที่มาจากภาษาอินเดีย แปลว่า ฤดู ซึ่งฤดูสารทนี้
เป็นฤดูที่ต้นไม้เริ่มออกผล เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยผู้ที่ต้องการ
ให้พืชพันธุ์ธัญญาหารของตนเจริญงอกงามดี ก็ได้นำพืชพันธุ์
เหล่านั้นไปถวายสิ่งที่ตนนับถือ ซึ่งประเทศต่างๆ นั้นก็นิยมทำ
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ย เช่น ในประเทศจีน เมื่อมีการเก็บเกี่ยว
ผลิตผลในครั้งแรกนั้นประเพณีนิยมที่ต้องนำผลไม้ที่เก็บเกี่ยว
ในครั้งแรกนี้ ถวายสักการะแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชา ทั้งนี้
เพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะได้ดลบันดาลให้พืชผลเจริญ
งอกงามดี แม้แต่ในประเทศแถบตอนเหนือของยุโรป ก็มี
หลักฐานปรากฏว่ามีการนำพืชพันธุ์ธัญญาหารไปถวาย เพื่อให้
ผลิตผลอุดมสมบูรณ์เช่นกัน


ส่วนในประเทศไทยประเพณีการทำบุญวันสารทเป็นพิธีกรรม
ที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตามที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือ
ของนางนพมาศ เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เผยแพร่เข้ามา
ในประเทศไทย คนไทยจึงรับประเพณีนี้มาจากศาสนา
พราหมณ์ด้วย ดังที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือพระราชพิธี
สิบสองเดือนซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


"เมื่อพราหมณ์มีสืบเนื่องกันมาช้านนานหลายพันปีเช่นนี้
จึงเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง ในหนังสือต่าง ๆ ซึ่งชน
ที่นับถือพระพุทฐศาสนาแต่ง ที่สุดจนธัมมจักกับปปวัตนสูตร
เป็นต้น ซึ่งอ้างว่าเป็นพุทธภาษิตแท้ก็ยังเรียกสมณะกับ
พราหมณ์เป็นคู่กัน พราหมณ์เป็นที่นับถือไม่มีผู้ใดอาจ
หมิ่นประมาท ถ้าพราหมณ์เหมือนอย่างเช่นบ้านเรา
อย่างนี้แล้ว ก็เห็นจะไม่ยกขึ้นเป็นคู่กับสมณะ พราหมณ์
เป็นที่นับถืออย่างเอกอย่างนับถือพระสงฆ์เช่นนี้ จึงได้
เป็นสำหรับผู้ซึ่งปรารถนาความเจริญ คือ อยากจะให้
ข้าวในนาบริบูรณ์จึงเอาข้าวที่กำลังทอ้งมาทำยาคูเลี้ยง
พราหมณ์ และกวนข้าวปายาสเลี้ยงพราหมณ์....


ทำบุญสารท คือ ฤดูข้าวรวงเป็นน้ำนมนี้แก่พราหมณ์
เมื่อการพระราชพิธีของพราหมณ์ตกข้าวมาในแผ่นดิน
สยาม ก็พลอยประพฤติตามลัทธิพราหมาณ์ด้วย สมคำ
ซึ่งนางนพมาศได้กล่าวไว้ว่า เป็ฤดูที่ชนทั้งปวงกวนข้าว
ปายาส และทำยาคูเลี้ยงพราหมณ์ เมื่อสมณะพราหมณ์
เป็นคู่กันเช่นนั้น ผู้ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาในชั้นแรก
ที่เข้ารึตใหม่เคยถือพราหมณ์เดิมได้ทำบุญตามฤดูกาล
แก่พราหมณ์เดิมมาอย่างไร ครั้นเมื่อมาเข้ารึตถือพุทธ
ศาสนาแล้ว เมื่อถึงกำหนดที่ตัวเคยทำบุญ ผู้ใดละเลย
จะนิ่งเสียไม่ทำ เมื่อเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เป็น
เนื้อนาบุญอันวิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าพราหมณ์ ก็ต้องมาถวาย
พระสงฆ์เหมือนเช่นเคยทำอยู่แก่พราหมณ์ ถ้าผู้ใดจะละทิ้ง
ศาสนาพราหมาณ์เดิมของตัวให้ขาดไม่ได้ เพราะความ
เกรงใจก็ลงเป็นทำทั้งสองฝ่าย ถวายทานแก่สมณะด้วย
พราหมณ์ด้วย....."


ทำบุญสารทมิได้มีปรากฏแต่ในศาสนาพราหมณ์เท่านั้น
การทำบุญสารทเพื่อให้เกิดสิริมงคแก่พืชพันธ์ธัญญาหาร
อุดมสมบูรณ์ ในศาสนาพุทธนั้นก็มีปรากฏในหนังสือ
พระธรรมบทเล่มหนึ่งพอสรุปใจความได้ดังนี้


เมื่อพระพุทธวิปัสสี่ ได้เกิดขึ้นในโลก มีพี่น้องสองคน
ชื่อ มหากาลเป็นพี่ และจุลกาลเป็นน้องทำการเกษตรกรรม
ร่วมกันปลูกข้าวสาลีบนที่ผืนเดียวกัน จุลกาลนั้นเห็นว่า
ข้าวสาลีที่กำลังท้องนั้นมีรสหวานอร่อย เห็นว่าควรนำข้าวนั้น
ไปถวายแด่พระสงฆ์ จึงนำความไปปรึกษากับมหากาลพี่ชาย
แต่มหากาลไม่เห็นด้วยเนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อน
อีกทั้งก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น แต่จุบกาลมีความตั้งใจ
อย่างแรงกล้าที่จะนำข้าวไปถวายแด่พระภิกษุ มหากาลจึง
แบ่งที่ดินออกเป็น ๒ ส่วน ของตนส่วนหนึ่งและของจุลกาล
ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะนำข้าวส่วนนั้นไปใช้กิจอันใดก็ได้ จุลกาล
จึงนำเมล็ดข้าวที่กำลังตั้งท้องมาผ่านำเมล็ดข้าวต้มกับน้ำ
นมสด ใส่เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลทรายกรวด เมื่อเสร็จแล้ว
จึงนำไปถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อถวายภัตตาหารเหล่านี้
แด่พระสงฆ์ จุลกาลได้ทูลความปราถนาของตนกับ
พระพุทธเจ้าว่า "ด้วยศัพภสลีทานนี้จงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้า
บรรลุธรรมวิเศษก่อนชนทั้งปวง" เมื่อจุลกาลเสร็จธุระ
จากการถวายภัตตาหารแด่ภิกษุจึงกลับไปดูนาของตน
ก็พบว่าข้าวสาลีในนานั้นมีความเจริญงอกงามสมบูรณ์
เป็นอย่างมากต่อมาเมื่อข้าวสาลีเจริญขึ้นจนเป็นข้าวเม่า
จุลกาลก็นำไปถวายพระสงฆ์อีก และได้ทำต่อมาอีก
หลายครั้ง คื อเมื่อเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อทำเขน็ด เมื่อทำ
ฟ่อน เมื่อขนไว้ในลาน เมื่อนวดข้าว เมื่อรวมเมล็ดข้าว
เมื่อขนขึ้นฉาง รวมทั้งหมด ๙ ครั้งแต่ข้าวในนาของ
จุลกาลกลับอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้นมิได้ขาดหายไป ต่อมา
จุลกาลได้มาเกิดเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อ
พระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาด้วยผลบุญห่งการ
ถวายข้าวแด่พระสงฆ์ ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึง
เป็นบุคคลแรกที่สำเร็จมรรคผลบรรลุธรรมวิเศษก่อน
คนทั้งปวงตามที่ได้ปรารถนาไว้ในแต่ชาติจุลกาล


การทำบุญสารทนั้นมิได้สำคัญว่ามาจากศาสนาใดเพียงแต่
เป็นการทำบุญเพื่อส่งเสริมขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรผู้ปลูก
พืชพันธุ์ธัญญาหาร เพื่อให้พืชพันธุ์มีความอุดมสมบูรณ์มาก
ยิ่งขึ้นไป อีกทั้งการทำบุญมิใช่เรื่องเสียหายหรือแปลก
ประหลาดแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
จึงนิยมทำบุญทำทานอยู่เป็นนิจ มิได้ถือวันใดเป็นพิเศษ
แต่การทำบุญสารทนั้นด้วยเหตุว่าเป็นฤดูกาลแห่งการ
เก็บเกี่ยว จึงถือโอกาสทำบุญทำทานให้เป็นของขวัญ
แก่ไร่นาของตนเท่านั้น ต่อมาประเพณีสารทได้เปลี่ยน
ความเชื่อถือไปตามกาลเวลาและความเชื่อตามท้องถิ่น
ของตน บางแห่งเชื่อว่าเป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศล
ให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว บางแห่งก็เป็นประเพณีการทำบุญ
เนื่องจากว่างจากภารกิจไร่นาจึงถือโอกาสทำบุญครั้งใหญ่
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว เป็นต้น


พิธีของประชาชนในประเพณีเกี่ยวกับการทำบุญเนื่องใน
วันสารท ไทย ซึ่งกำหนดไว้เป็นที่แน่นอนว่า วันแรม ๑๕ ค่ำ
เดือน ๑๐ ดังกล่าว มาแล้วนั้นปรากฎว่า มีประเพณี
ทำบุญทำนองเดียวกันในภาคอื่น ๆ ด้วย หากแต่กำหนด
วันและวิธีปฏิบัติอาจแตกต่างกันดังนี้


ภาคใต้ มีประเพณีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่า
ตายายญาติพี่น้องและ บุคคลอื่น ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว ใน
เดือน ๑๐ เป็นสองวาระคือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐
ครั้นหนึ่ง และวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ อีกครั้งหนึ่ง โดย
ถือคติว่า พ่อแม่ปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
โดยเฉพาะ ผู้ที่ต้องตกนรกหรือเรียกว่าเปรตนั้น จะได้รับ
อนุญาตให้มาพบกับญาติ ของตนในเมืองมนุษย์ได้ใน
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ และกลับไปสู่นรก ดังเดิม ใน
วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ดังนั้น จึงมีการทำบุญในสอง
วาระ ดังกล่าวนี้ แต่ส่วนใหญ่ทำวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐
เพราะมีความสำคัญ มากกว่า (บางท้องถิ่นทำในวันแรม ๑๔ ค่ำ
เดือน ๑๐)


การทำบุญของชาวไทยภาคใต้ดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกเป็น
๔ อย่างคือ
๑. ประเพณีทำบุญเดือนสิบ โดยกำหนดเอาเดือน
ทำบุญเป็นหลัก
๒. ประเพณีทำบุญวันสารท โดยถือหลักของการ
ทำบุญที่มีความ สัมพันธ์กับอินเดีย เหมือนวันสารทไทย
ของคนไทยในภาคกลาง ดังกล่าวมาแล้ว บางครั้งก็เรียกว่า
ประเพณีทำบุญสารทหรือเดือนสิบ
๓. ประเพณีจัดห.ม.รับ (สำรับ) การยกห.ม.รับ
และการชิงเปรต คำว่า จัดห.ม.รับ ได้แก่ การจัดเสบียง
อาหารเป็นสำรับถวายพระภิกษุ โดยให้พระภิกษุจับสลากแล้ว
ให้ศิษย์เก็บไว้ แล้วนำถวายพระภิกษุเป็น มื้อ ๆ การยก
ห.ม.รับที่จัดเรียบร้อยแล้วไปวัดพร้อมทั้งภัตตาหารไปถวาย
พระภิกษุในช่วงเวลาเช้าก่อนเพล จะจัดเป็นขบวนแห่ใหญ่โต
ก็ได้ บาง แห่งแต่งตัวเป็นเปรตเข้าร่วมไปในขบวนด้วย ส่วน
ชิงเปรตหรือตั้งเปรต นั้น เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำบุญ
กล่าวคือ เมื่อจัดห.ม.รับ ยก ห.ม.รับไปถวายพระภิกษุแล้ว
จะเอาอาหารที่จัดไว้ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่ง ต่างหากไปจัดตั้ง
ไว้ให้เปรต โดยมากเป็นอาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ
ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือขนม ๕ อย่าง
คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง ขนมดีซำ และขนมบ้า
สถานที่ตั้งอาหาร เป็นร้านสูง พอสมควร เรียกว่า ร้าน
เปรตหรือหลา (ศาลา) เปรต มีสายสิญจน์วงรอบ โดย
ให้ปลายสายสิญจน์อีกข้างหนึ่งโยงมาสำหรับพระภิกษุ
ชักบังสุกุล ซึ่งชาวบ้านจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ
พบเก็บสายสิญจน์แล้ว ก็จะมีการแย่งอาหารและขนม
ที่ตั้งเปรตไว้นั้นอย่างสนุกสนานเรียกว่า ชิงเปรต แล้วนำ
มากิน ถือว่าได้กุศลแรงและเป็นสิริมงคล การทำบุญด้วย
วิธีตั้งเปรตและชักบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลนี้ บางครั้งเรียกว่า
การฉลอง ห.ม.รับและบังสุกุล ถือว่าสำคัญเพราะถือว่า
เป็นวันส่งญาติผู้ล่วงลับไป แล้วด้วย
๔. ประเพณีทำบุญตายายหรือประเพณีรับส่งตายาย
โดยถือคติ ว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้วกลับมาเยี่ยมลูกหลาน
ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ และกลับนรกตามเดิมในวันแรม
๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ แต่มีบางแห่งถือว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
เหล่านี้เป็นตายาย เมื่อท่านมาก็ทำบุญรับ เมื่อท่าน กลับก็
ส่งกลับ จึงเรียกประเพณีดังกล่าวนี้ว่า ทำบุญตายาย
ของทำบุญก็ เหมือนกับที่กล่าวไว้ในข้อ ๓


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หรือภาค อีสาน มีประเพณีการทำบุญในเดือน ๑๐ เหมือนกัน
คือ ทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ แต่แบ่งระยะเวลาของ
ประเพณีการทำบุญออกไปเป็น ๒ ระยะ ดังนี้

ระยะแรก ก่อนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวบ้าน
จะเตรียม ข้าวเม่าพอง และข้าวตอก (บางแห่งเรียกดอกแตก)
ขนมและอาหาร หวานคาวอื่น ๆ เพื่อจะทำบุญในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ
เดือน ๑๐ มาถึงโดย เฉพาะ ข้าวเม่าพอง กับข้าวตอกนั้น
จะคลุกให้เข้ากันแล้วใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าวให้เป็น
ข้าวสาก ซึ่งตรงกับคนไทยภาคกลาง เรียกว่า กระยาสารท
เมื่อเตรียมของทำบุญไว้เรียบร้อย ก็จะเอาข้าว ปลาอาหาร
ไปส่งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ถ้าหากบุคคลเหล่านั้นอยู่
ห่างไกล ก็จะไปค้างคืน นอกจากมอบของแล้วจะถือโอกาส
เยี่ยมเยียนถามทุกข์ สุขเป็นประเพณีที่เรียกว่า ส่งเขาส่งเรา
ผลัดกันไปผลัดกันมา เป็นการ แลกเปลี่ยนกัน
ส่วนข้าวสารหรือกระยาสารทนั้น จะส่งก่อนวันทำบุญ
หรือใน วันทำบุญก็ได้ เรียกว่า ส่งข้าวสาก
ระยะที่สอง คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เวลาเช้า
ชาวบ้านไป ทำบุญตักบาตรที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ใหญ่
ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ อาจมีบางคนอยู่วัดรักษาศีล ฟังเทศน์ก็ได้
ครั้นถึงเวลาใกล้เพล ก็เตรียม ภัตตาหารไปวัดอีกครั้งหนึ่ง
มีห่อข้าวน้อย ห่อข้าวใหญ่ ข้าวสาก และ อาหารอื่น ๆ
บางแห่งอาจจัดของที่จะถวายเป็นกัณฑ์เทศน์ไปด้วย เมื่อถึง
วัดแล้ว ก็จะจัดภัตตาหารและของพี่จะถวายพระภิกษุ ถวาย
เสียก่อน บางแห่งนิยมทำเป็นสลาก ชาวบ้านคนไหนจับ
สลากถูก ชื่อพระภิกษุรูปใด ก็ถวายรูปนั้น ทำนองเดียวกับ
การทำบุญสลากภัต จึงเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจว่า การทำ
บุญข้าวสาก ก็คือทำบุญด้วยวิธี ถวายตามสลาก ส่วนห่อ
ข้าวน้อย ห่อข้าวใหญ่ ชาวบ้านแจกกันเอง ห่อข้าวน้อยนั้น
เมื่อแจกแล้วก็แก้ห่อออกกินกันในวัดทีเดียว ถือกันว่า
เป็นการกินใน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนห่อข้าวใหญ่
เอากลับไปบ้าน เก็บไว้ ในเวลาต่อไป เพราะอาหารใน
ห่อนั้นเป็นพวกของแห้ง เช่น ปลาแห้ง เนื้อแห้ง ซึ่งสามารถ
เก็บไว้ได้เป็นเวลานาน ๆ ถือคติว่าเอาไปกินใน ปรโลก
ประเพณีแจกห่อข้าวน้อยและห่อข่าวใหญ่นี้ ปัจจุบันเกือบ
ไม่มี แล้ว จะจัดเพียงภัตตาหารไปถวายพระภิกษุพร้อมด้วย
ข้าวสากหรือ ถวายกระยาสารทเท่านั้น


สำหรับข้าวสากที่จะนำไปแจกกันเหมือนกระยาสารทของ
คนไทย ภาคกลางนั้นวิธีห่อผิดกับทางภาคกลาง เพราะ
ห่อด้วยใบตองกลัดด้วย ไม้กลัด หัวท้ายมีรูปลักษณะ
คล้ายข้าวต้มมัด แต่ตรงปลายทั้งสองข้าง ที่เรียกว่า
สันตองไม่ต้องพับเข้ามา ของที่ใส่ในห่อ มีข้าวต้ม (ข้าว
เหมือนแบบข้าวต้มผัด) ข้าวสาก แกงเนื้อ แกงปลา หมาก
พลู บุหรี่ ห่อแล้วเย็บติดกันเป็นคู่ ๆ เอาไปห้อยไว้ตามต้นไม้
รั้วบ้าน เมื่อห้อยไว้ แล้วก็ตีกลองหรือโปง เป็นสัญญาณให้
เปรตมาเอาไปและปล่อยทิ้งไว้ ชั่วพักหนึ่งกะเวลาที่เปรต
ได้มารับเอาอาหารที่ห้อยไว้นั้นไปแล้ว ชาวบ้าน ก็แย่งกัน
ชุลมุน ใครแย่งเก่งก็ได้มากกว่าคนอื่น เรียกว่า แย่งเปรต


ของที่แย่งเปรตไปได้นี้ ชาวบ้านจะเอาไปไว้ตามไร่นา
เพื่อเลี้ยง ตาแฮก (ยักษินีหรือเทพารักษ์ รักษาไร่นาซึ่ง
เคยเลี้ยงมาเมื่อตอนเริ่ม ทำนาในเดือน ๖ มาครั้งหนึ่งแล้ว)
นอกจากเลี้ยงตาแฮกแล้วก็เอาไปให้ เด็กรับประทาน
เพราะถือว่าเด็กที่รับประทานแล้วจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่เจ็๋บ
ไข้ได้ป่วย


วันสารท เป็นวันที่ถือเป็นคติและเชื่อสืบกันมาว่า ญาติที่
ล่วงลับไปแล้วจะมีโอกาสได้กลับมารับส่วนบุญจาก
ญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น จึงมีการทำบุญอุทิศ
ส่วนกุศลไปให้ญาติในวันนี้และเชื่อว่า หากทำบุญ
ในวันนี้ไปให้ญาติแล้วญาติจะได้รับส่วนบุญได้เต็มที่
และมีโอกาสหมดหนี้กรรม และได้ไปเกิดหรือมีความสุข


อีกประการหนึ่งสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ทำนา
เป็นอาชีพหลักในช่วงเดือน 10 นี้ ได้ปักดำข้าวกล้าลง
ในนาหมดแล้ว กำลังงอกงาม และรอเก็บเกี่ยวเมื่อสุก
จึงมีเวลาว่างพอที่จะทำบุญเพื่อเลี้ยงตอบแทน และ
ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือแม่พระโพสพ หรือผีไร่ ผีนา
ที่ช่วยรักษาข้าวกล้าในนาให้เจริญงอกงามดี และออกรวง
จนสุกให้เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมาก


การกำหนดทำบุญวันสารท มีความคลาดเคลื่อนกันบ้างใน
แต่ละท้องถิ่นของไทย เช่น

ภาคกลาง กำหนดในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
ภาคใต้ กำหนดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันรับตายาย
และวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันส่งตายาย ชาวมอญ
กำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
อย่างไรก็ตาม สารทไทยโดยทั่วไป ในวันแรม 15 ค่ำ
เดือน 10 เนื่องจากนับถัดจากวันสงกรานต์ ตามจันทรคติ
จนถึงวันสารทจะครบ 6 เดือน พอดี


ก่อนวันงาน ชาวบ้านจะทำขนมที่เรียกว่า กระยาสารท และ
ขนมอื่น ๆ แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น ในวันงาน
ชาวบ้านจัดแจงนำข้าวปลา อาหาร และข้าวกระยาสารทไป
ทำบุญตักบาตรที่วัดประจำหมู่บ้าน ทายก ทายิกา ไปถือศีล
เข้าวัด ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล นำข้าวกระยาสารท
หรือขนมอื่นไปฝากซึ่งกันและกันยังบ้านใกล้เรือนเคียง
หรือหมู่ญาติมิตรที่อยู่บ้านไกลหรือถามข่าวคราวเยี่ยมเยือนกัน
บางท้องถิ่นทำขนมสำหรับบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม่พระโพสพ
ผีนา ผีไร่ด้วย เมื่อถวายพระสงฆ์เสร็จแล้วก็นำไปบูชาตามไร่นา
โดยวางตามกิ่งไม้ต้นไม้ หรือที่จัดไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ


วิธีปฏิบัติในการทำบุญวันสารทจะมีความแตกต่างกันออกไป
แล้วแต่หมู่ชน และขนบธรรมเนียมประเพณีตามภูมิภาค ควร
ยอมรับว่าแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน และปฏิบัติตาม
แต่ละท้องถิ่นจะนิยม การทำบุญวันสารท ควรถือเป็นการ
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ญาติสนิทมิตรสหายทั้งที่ล่วงลับไปแล้ว
และยังมี ชีวิตอยู่เพราะเป็นช่วงที่ว่างจากการทำนาบ้างหรือ
ไม่เร่งรัดเหมือนกับช่วงปักดำ หรือช่วงเก็บเกี่ยว การไปวัด
ฟังธรรมในอดีต มักเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่เป็นส่วนใหญ่
ในวันเช่นนี้ควรส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนและคนหนุ่มสาว
ไปวัดทำบุญและรักษาศีลให้มากขึ้น เพราะเป็นวัยที่ยังมี
พลังที่จะเป็นหลักต่อไปในอนาคต และเป็นช่วงเวลาที่
ไม่เร่งรัดงานมากนัก พระสงฆ์ควรเป็นกำลังสำคัญในการ
เผยแพร่ประเพณีวันสารทให้ประชาชนเข้าใจและรู้ซึ้งถึง
วัตถุประสงค์ที่แท้จริง เพื่อส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติได้
อย่างถูกต้อง ควรส่งเสริมฟื้นฟูประเพณีวันสารท ให้มีการ
ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในหมู่คนไทยทุกกลุ่ม เพื่อเป็น
ที่รู้จักและแพร่หลายต่อไป


ทำบุญตักบาตร วันสารทไทยเป็นประเพณีไทยที่แตกต่าง
จากประเพณีอื่น ๆ โดยเฉพาะในส่วนของการทำบุญตักบาตร
ด้วยมีความเชื่อว่าการทำบุญวันสารทเพื่ออุทิศส่วนกุศล
ให้แก่ผู้ที่ล่ง ลับไปแล้ว การตักบาตรจึงมีลักษณะที่
แตกต่างกันไปในลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
นั้น ๆ การตักบาตรที่สำคัญในแต่ละท้องถิ่นได้แก่

ตักบาตรขนมกระยาสารท
ขนมกระยาสารทเป็นขนมประจำวันสารทในทุก
ท้องถิ่นของประเทศไทย ซึ่งจะขาดเสียมิได้ด้วยมีความเชื่อ
ที่ว่า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรขนมกระยาสารทในวันสารทไทยแล้ว
ญาติผู้ล่วงลับก็จะไม่ได้ส่วนบุญส่วนกุศลที่กระทำในวันนั้น
ขนมกระยาสารทมีส่วนประกอบ คือ ข้าวตอก ข้าวเม่า
ถั่ว งา และน้ำตาล นำทั้งหมดมากวนเข้าด้วยกัน เมื่อสุกแล้ว
จึงนำมาปั้นเป็นก้อนกลม หรือจะตัดเป็นแผ่นก็ได้

ตักบาตรน้ำผึ้ง
เป็นที่นิยมในบางท้องถิ่นเท่านั้น โดยส่วนใหญ่มัก
เป็นชาวไทยมอญที่นิยมตักบาตรน้ำผึ้งประเพณีการตักบาตร
น้ำผึ้งเนืองจากมีเรื่องเล่าตามพุทธประวัติว่า "ในสมัยพุทธกาล
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษา ณ ป่าปาริไลยก์ เพียง
พระองค์เดียว แต่มีผู้ถวายอุปัฏฐากเป็นช้างปาริเยยกะ
เป็นผู้คอยถวายน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และลิงเป็นผู้หา
ผลไม้มาถวาย วันหนึ่งลิงได้นำน้ำผึ้งมาถวาย การถวายน้ำผึ้ง
จึงเป็นประเพณีปฏิบัติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"
ฟังธรรมเทศนา
ถือศีลภาวนา
ปล่อยนกปล่อยปลา


เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพชนผู้มีพระคุณ
ได้แสดงความเอื้อเฟื้อให้แก่เพื่อนบ้าน เป็นกาผูกมิตร
ไมตรีกันไว้ เป็นการแสดงความเคารพ และอปจายนธรรม
แก่ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นการกระทำจิตใจของตนให้สะอาด
หมดจดไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ ขจัดความตระหนี่ได้
เป็นการบำรุงหรือจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบไป




 

Create Date : 19 กันยายน 2551
0 comments
Last Update : 19 กันยายน 2551 10:41:27 น.
Counter : 1420 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
19 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.